อุตสาหกรรมผลิต-ขายอาวุธ ในประเทศไทยโตพุ่ง 150%

เรื่อง งบซื้ออาวุธ ของ กองทัพ เป็นประเด็นที่สังคมให้ความสนใจมาตลอด เพราะงบซื้ออาวุธคือเงินภาษีประชาชน ซึ่งที่ผ่านมาถูกตั้งคำถามถึงเหตุผล-ความจำเป็น ตลอดจนเสียงวิจารณ์เรื่องความโปร่งใสในการจัดซื้ออาวุธ

 ยิ่งเมื่อพรรคฝ่ายค้านตั้งแต่ยุคอนาคตใหม่-ก้าวไกล มาจนถึงพรรคประชาชน เป็นหัวหอกหลักในการตรวจสอบงบจัดซื้ออาวุธของทุกเหล่าทัพ ก็ทำให้สังคมให้ความสำคัญกับการติดตามตรวจสอบ "งบซื้ออาวุธ" มากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด 

มีข้อมูลส่วนหนึ่งบันทึกไว้ใน รายงานการพิจารณาศึกษาขีดความสามารถอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ ความท้าทาย และโอกาสของประเทศไทย ที่จัดทำโดย คณะกรรมาธิการการทหารและความมั่นคงของรัฐ วุฒิสภา ที่มี พลเอกสวัสดิ์ ทัศนา เป็นประธาน กมธ. ที่กมธ.จะนำเสนอต่อที่ประชุมวุฒิสภา เมื่อวันที่ 1 เม.ย. ที่ผ่านมา

อย่างไรก็ตาม เมื่อถึงตอนจะมีการประชุมพิจารณารายงานดังกล่าว เมื่อ 1 เม.ย. ปรากฏว่า พลเอกสวัสดิ์ ประธาน กมธ.ได้มีหนังสือขอให้ถอนรายงานดังกล่าวออกจากระเบียบวาระการประชุม เพื่อนำกลับไปพิจารณาปรับปรุงแก้ไขให้มีความสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น ซึ่งที่ประชุมเห็นชอบ

กระนั้นเมื่อตรวจสอบรายงานดังกล่าว มีข้อมูลบางส่วนที่น่าสนใจ เพราะในรายงานให้ข้อมูลเรื่องสถานการณ์อุตสาหกรรมป้องกันประเทศ ทั้งในระดับโลกและประเทศไทย โดยระบุว่า อุตสาหกรรมป้องกันประเทศทั่วโลกเติบโตอย่างต่อเนื่อง อันเป็นผลมาจากความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ที่เพิ่มขึ้นในหลายภูมิภาค

ข้อมูลจากสถาบันวิจัยสันติภาพนานาชาติสตอกโฮล์ม (Stockholm International Peace Research Institute : SIPRI) รายงานว่า ค่าใช้จ่ายทางทหารทั่วโลกในปี พ.ศ.2566 เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.7เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า คิดเป็นมูลค่าประมาณ 2.4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่มีการเก็บข้อมูล

ประเทศที่มีงบประมาณด้านกลาโหมสูงที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่ สหรัฐอเมริกา จีน รัสเซีย อินเดีย และซาอุดีอาระเบีย 

 ผู้ส่งออกอาวุธรายใหญ่ที่ขายไปทั่วโลก ได้แก่ สหรัฐอเมริกา รัสเซีย ฝรั่งเศส จีน และเยอรมนี ซึ่งทั้ง 5 ประเทศครองส่วนแบ่งการส่งออกอาวุธทั่วโลกรวมกันมากกว่าร้อยละ 75

โดยสหรัฐ ประเทศยักษ์ใหญ่มหาอำนาจ ครองตำแหน่งผู้ส่งออกอาวุธรายใหญ่ที่สุดของโลก มีส่วนแบ่งการตลาดร้อยละ 39

สำหรับภูมิภาคเอเชียและโอเชียเนียเป็นผู้นำเข้าอาวุธรายใหญ่ที่สุด คิดเป็นร้อยละ 40ของการนำเข้าอาวุธทั่วโลก ตามมาด้วยตะวันออกกลางและยุโรป

ข้อมูลดังกล่าวระบุว่า สถานการณ์อุตสาหกรรมป้องกันประเทศในภูมิภาคอาเซียนเติบโตต่อเนื่อง อันเป็นผล มาจากปัจจัยหลายประการ ทั้ง ความตึงเครียดในทะเลจีนใต้ การเปลี่ยนแปลงดุลอำนาจในภูมิภาค ความต้องการพัฒนาขีดความสามารถในการป้องกันตนเอง

ที่น่าสนใจ ข้อมูลจากสถาบันวิจัยความมั่นคงระหว่างประเทศ (International Institute for Strategic Studies : IISS) ระบุว่า ประเทศอาเซียนที่มีการใช้จ่ายด้านกลาโหมสูงสุด ได้แก่ สิงคโปร์ อินโดนีเซีย ไทย เวียดนาม และฟิลิปปินส์

สำหรับ อุตสาหกรรมป้องกันประเทศ ที่ผลิตขึ้นเองภายในประเทศไทย ปัจจุบันอยู่ในช่วงของการพัฒนา และการเปลี่ยนผ่านที่สำคัญ

พบว่า มูลค่าตลาดของอุตสาหกรรมป้องกันประเทศเติบโตอย่างต่อเนื่อง เพิ่มขึ้นจาก 20,000 ล้านบาท ในปี 2558 เป็นประมาณ 50,000 ล้านบาท ในปี 2567 คิดเป็นการเติบโตร้อยละ 150 ในช่วง 10 ปี เป็นผลมาจากการส่งเสริมการพัฒนาอุตสาหกรรมป้องกันประเทศอย่างต่อเนื่อง และนโยบายของรัฐบาลในการสนับสนุนการจัดหายุทโธปกรณ์ภายในประเทศ

“รายงานการพิจารณาศึกษาขีดความสามารถอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ” ดังกล่าวระบุว่า ภาคเอกชนไทยมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ โดยมีบริษัทที่มีศักยภาพในการผลิตและซ่อมบำรุงอาวุธยุทโธปกรณ์หลายแห่ง ได้แก่

-บริษัท ชัยเสรี อินเตอร์กรุ๊ป จำกัด ซึ่งผลิตยานเกราะล้อยาง First Win ที่ได้รับการยอมรับจากกองทัพบก และมีการส่งออกไปยังต่างประเทศ

-บริษัท มารีนโกลด์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ซึ่งผลิตเรือเร็วตรวจการณ์ที่มีขีดความสามารถสูง และได้รับการใช้งานในกองทัพเรือ

-บริษัท มาร์ซัน จำกัด (มหาชน) ซึ่งมีความเชี่ยวชาญในการผลิตชิ้นส่วนและอุปกรณ์ทางทหาร เป็นหนึ่งในผู้ผลิตเรือเร็วตรวจการณ์ที่มีคุณภาพสูง ได้รับความไว้วางใจจากกองทัพเรือและหน่วยงานความมั่นคงทางทะเลของประเทศไทยและในต่างประเทศ

-บริษัท ที่ดินไทย จำกัด ผู้ผลิตยานพาหนะกู้ซ่อมและเก็บกู้ทางทหาร เป็นอีกหนึ่งบริษัทเอกชนไทยที่มีศักยภาพในการผลิตยานพาหนะทางทหาร ขณะที่การพัฒนายานรบหลัก เช่น รถถังหลักสำหรับการรบ (Main Battle Tank) ยังอยู่ในระดับเริ่มต้น ทำให้กองทัพบกต้องพึ่งพาการนำเข้าจากต่างประเทศเป็นหลัก โดยเฉพาะรถถัง VT-4 จากจีน และยานเกราะล้อยาง Stryker จากสหรัฐอเมริกา

-บริษัท มิลคอม ซิสเต็มส์ จำกัด ผลิตระบบสื่อสารทางทหาร ทั้งระบบสื่อสารแบบ Tactical Data Link และระบบวิทยุสื่อสารทางยุทธวิธี ซึ่งได้รับ การจัดหาเข้าประจำการในกองทัพไทย

นอกจากนี้มีอีกบางบริษัทที่ก็มีส่วนแบ่งการตลาดอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ เช่น บริษัท ไทยรุ่งยูเนี่ยนคาร์ จำกัด (มหาชน) ที่ผลิตยานพาหนะทางทหารบางประเภท เช่น รถบรรทุกทางยุทธวิธี และรถบรรทุกเฉพาะกิจทางทหาร

กระนั้นอาวุธหนักของกองทัพบก พบว่า เอกชนไทยยังขาดความสามารถในการผลิต เช่น รถถังหลักสำหรับการรบ (Main Battle Tank) และยานเกราะลำเลียงพล ที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง ทำให้กองทัพบกไทยยังคงต้องนำเข้าจากต่างประเทศ เช่น จีน รัสเซีย สหรัฐอเมริกา

นอกจากนี้ยังมี บริษัท เอเชียน มารีน เซอร์วิสส์ จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นอู่ซ่อมเรือขนาดใหญ่ที่มีศักยภาพสูง เคยผ่านการต่อเรือตรวจการณ์ปืนชุด คือเรือหลวงศรีราชา ให้กับกองทัพเรือ, บริษัท โชคนำชัย ไฮ-เทค เพรสซิ่ง จำกัด ที่ช่วงหลังเริ่มมีบทบาทสำคัญในอุตสาหกรรมป้องกันประเทศในส่วนของการต่อเรือ และอีกบางบริษัทที่อยู่ในธุรกิจการต่อเรือ เช่น บริษัท ไทยอินเตอร์เนชั่นแนล ด๊อคยาร์ด จำกัด, บริษัท ซีเครสมารีน จำกัด

ขณะที่ในส่วนของ การผลิตอาวุธปืนและชิ้นส่วน บริษัทเอกชนที่อยู่ในอุตสาหกรรมดังกล่าว เช่น บริษัท ไทยอาร์มส์ จำกัด และบริษัท กรุงไทยอุตสาหกรรม จำกัด (มหาชน) แต่กำลังการผลิตยังไม่เพียงพอต่อการใช้งานของกองทัพ รวมถึงขาดเทคโนโลยีการผลิตสมัยใหม่ ทำให้อาวุธปืนและกระสุนที่ผลิตยังมีข้อจำกัดด้านคุณภาพเมื่อเทียบกับต่างประเทศ

ข้อมูลระบุว่า สำหรับการจัดหายุทโธปกรณ์ที่สำคัญของกองทัพ ในช่วงปี 2563-2567 เหล่าทัพมีโครงการจัดหายุทโธปกรณ์สำคัญหลายโครงการ แยกเป็น

-กองทัพอากาศ

มีโครงการจัดหาเครื่องฝึกนักบินขับไล่ขั้นต้น T-50 จากสาธารณรัฐเกาหลี (ระยะที่ 4) จำนวน 2 เครื่อง วงเงิน 2,450 ล้านบาท โครงการจัดหาเครื่องบินฝึกทดแทน 12 เครื่อง วงเงิน 5,195 ล้านบาท และโครงการอื่นๆ เช่น การปรับปรุงซอฟต์แวร์ของเครื่องบินขับไล่ Gripen วงเงิน 1,700 ล้านบาท

-กองทัพเรือ

มีการปรับลดงบประมาณในช่วงปี 2563-2565 ลงร้อยละ 11.01 เป็น 36,321 ล้านบาท ส่งผลให้มีการชะลอโครงการจัดหาเรือดำน้ำลำที่ 2 และ 3 แต่ยังมีโครงการสำคัญอื่นๆ เช่น การจัดหาอากาศยานไร้คนขับ วงเงิน 4,693 ล้านบาท และการปรับปรุงเรือหลวงปัตตานี วงเงิน 3,425 ล้านบาท

-กองทัพบก

มีการจัดหายุทโธปกรณ์ตามโครงการที่เกี่ยวข้องกับ “ยานรบ” เช่น ยานเกราะ ล้อยางสไตรเกอร์ (Stryker) ผ่านโครงการความช่วยเหลือทางด้านการทหารจากสหรัฐอเมริกา และการจัดหารถถัง VT-4 จากจีน และยังมีการจัดหาเฮลิคอปเตอร์ใช้งานทั่วไประยะที่ 2 วงเงิน 3,635 ล้านบาท

 “ไทยต้องพึ่งพาการนำเข้าอาวุธยุทโธปกรณ์จากต่างประเทศในสัดส่วนสูงถึงร้อยละ 85-90 ของมูลค่าการจัดหาทั้งหมด ในขณะที่ผลิตและจัดหาภายในประเทศได้ เพียงร้อยละ 10-15 เท่านั้น ส่งผลให้ไทยเสียดุลการค้าด้านอุตสาหกรรมป้องกันประเทศคิดเป็นมูลค่าหลายหมื่นล้านบาทต่อปี นอกจากนี้การพึ่งพาการนำเข้า ยังส่งผลต่อความมั่นคงทางยุทธศาสตร์ของประเทศในระยะยาว เช่น อาจเกิดความเสี่ยงในการขาดแคลนอะไหล่หรือการซ่อมบำรุงในยามวิกฤต” รายงานระบุ

ถือเป็นข้อมูลเบื้องต้นที่ทำให้เข้าใจ “คลังแสง-คลังอาวุธ” ของกองทัพไทย โดยเฉพาะตลาดผลิตและขายอาวุธที่ผลิตภายในประเทศไทยที่น่าสนใจไม่ใช่น้อย.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

เมื่อคน.. สังคม! .. ไร้คุณค่าความเป็นมนุษย์.. ประเทศชาติหายนะ!!

เจริญพรสาธุชนผู้มีจิตศรัทธา.. คำว่า “ศรัทธา” ในพระพุทธศาสนา มีความหมายกินลึกลงไปมากกว่าความเชื่อโดยทั่วไป ด้วยต้องมีความรู้ความเข้าใจในคุณค่าของคุณสมบัติสิ่งนั้นๆ

สมดังเป็น .. “วีรกษัตรี มหาราชินี...” ของชาวไทย!!

เจริญพรสาธุชนผู้มีจิตศรัทธาในพระพุทธศาสนา.. โครงการร้อยใจไทย สืบสานราชธรรม ทั้งแผ่นดิน น้อมอุทิศถวายพระราชกุศลแด่ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง

“โมหมูลจิต” .. ..มูลเหตุของการถูกหลอกลวง โดย Scammer!

เจริญพรสาธุชนผู้มีจิตศรัทธาในพระพุทธศาสนา.. ในกระแสสังคมยุคไอที ที่มีความเจริญอย่างรวดเร็วทางเทคโนโลยีชั้นสูง จนเข้าสู่ ยุควัตถุ AI ในปัจจุบัน ที่แสดงความเสมือนจริงให้สัมผัสได้ใกล้เคียงอย่างน่าศึกษายิ่ง

โครงการร้อยใจไทย สืบสานราชธรรม ทั้งแผ่นดิน น้อมอุทิศถวายเป็นพระราชกุศลแด่ “สมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง”

เจริญพรสาธุชนชาวไทยทุกหมู่เหล่า.. นับตั้งแต่วันที่ ๒๔ ตุลาคม ๒๕๖๘ เป็นต้นมา พสกนิกรไทยทุกหมู่เหล่า ได้พร้อมเพรียง.. ร่วมไว้อาลัยแด่การเสด็จสู่สวรรคาลัย ใน “สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง”