เจริญพรสาธุชนผู้มีจิตศรัทธาในพระพุทธศาสนา... พระพุทธเจ้าของเราทั้งหลายได้ตรัสพระคาถาปรากฏอยู่ในคัมภีร์ธรรมบทหนึ่งว่า...
“...ภิกษุทั้งหลาย ชื่อว่าคนประมาทแล้ว ไม่ว่าเขาผู้นั้นจะเป็นคฤหัสถ์หรือบรรพชิต ย่อมเศร้าโศกเดือดร้อนในโลกทั้งสองแน่แท้....”
เมื่อวันที่ ๒๓ พฤษภาคม ๒๕๖๘ ที่ผ่านมา.. นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ/รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย.. นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ได้นำผู้ว่าราชการจังหวัดและคณะแม่บ้านมหาดไทย ภาคเหนือ ๑๗ จังหวัด ที่นำโดย นางจิณณารัชช์ สัมพันธรัตน์ นายกสมาคมแม่บ้านมหาดไทย ไปทัศนศึกษาดูงาน เพื่อทำการส่งเสริมอาชีพประชาชนในภาคเหนือ โดยเฉพาะพื้นที่จังหวัดลำพูน จึงได้แวะไปกราบสักการะสนทนาธรรมที่ วัดป่าพุทธพจน์หริภุญไชย (ธ) ในพระราชูปถัมภ์ฯ
การสนทนาธรรมปฏิสันถาร กับคณะผู้ทำหน้าที่บริหารบ้านเมืองในวันนั้น เป็น หัวข้อเรื่อง กระแสชีวิต.. โดยตั้งคำถามขึ้นว่า.. ชีวิตคืออะไร.. อะไรคือความสำคัญยิ่งในการดำเนินชีวิต.. ซึ่ง นายอรรษิษฐ์/ปลัดกระทรวงมหาดไทย ได้ตอบสั้นๆ อย่างระมัดระวังว่า.. ความสำคัญของชีวิตคือ ต้องมีสติ.. และอีกหลายๆ ท่านได้ตอบไปในทำนองคล้ายๆ กัน
สาเหตุที่ตั้งคำถามเรื่องของชีวิตนั้น.. เพื่อชักนำเข้าสู่การสนทนาธรรมอย่างที่ควร.. เพื่อการศึกษาสัจธรรมของชีวิต ซึ่งหากไม่รู้เข้าใจในธรรมชาติของชีวิตว่าคืออะไร ก็คงยากที่จะเข้าใจธรรมะที่พระพุทธองค์ตรัสแสดงไว้ในความเป็นอริยสัจธรรม ๔ ประการ และคงยากจะเข้าใจในธรรมที่ทรงแสดงไว้บ่อยครั้ง.. ที่ประมวลธรรมลงในครั้งสุดท้ายว่า.. อย่าประมาทในชีวิต.. หมายถึง อย่าใช้ชีวิตอย่างประมาท เพราะชีวิตเป็นของน้อยนิดนัก
จึงได้ขยายความตามคำตอบของท่านปลัดกระทรวงฯ ว่า การดำเนินชีวิตอย่างมีสติ.. จึงได้ชื่อว่าไม่ประมาท.. ทั้งนี้ เพื่อการประกอบความเพียรชอบในทุกขณะจิตอย่างมี สติปัญญา
เมื่อกล่าวธรรมไปได้สักสิบห้านาที ได้เห็นควรว่าพอเหมาะกับเวลา จึงได้ถามทุกคนว่า.. มีใครจะถามปัญหาในเรื่องใดบ้าง.. ซึ่งปรากฏเป็นปกติเหมือนกับหลายๆ ครั้งของหมู่ชนที่มาวัด.. คือ ไม่ได้เตรียมคำถามใดๆ มาเลย
จึงได้กล่าวให้ทุกคนได้ทราบว่า.. การมาวัดนั้น แท้จริงเพื่อมาถามธรรม.. มาฟังธรรมที่ตนเองต้องการเรียนรู้ เพื่อจะได้นำไปศึกษาปฏิบัติ.. ฝึกอบรม กาย วาจา ใจ และทิฏฐิ ให้เป็นไปตาม
การไปวัด.. เพื่อเที่ยวชมศาสนวัตถุ หรือเพียงเพื่อเยี่ยมเยียนพระสงฆ์องคเจ้าเพียงอย่างเดียวนั้น.. ไม่ใช่จุดมุ่งหมายที่ควรคำนึงถึงว่าเป็นประโยชน์อย่างแท้จริง
ที่สำคัญ จะทำให้เข้าใจคลาดเคลื่อนไปจากความเป็นจริงในการไปวัด ทำบุญ สร้างกุศล โดยคำนึงเพียงแค่วัตถุทานที่น้อมถวาย โดยไม่ได้ก้าวไปให้ถึงประโยชน์โดยธรรม ด้วย การเคารพธรรม การปฏิบัติธรรม การประพฤติธรรม ที่หมายถึง การได้สดับฟังธรรม.. พิจารณาธรรม ถามปัญหาธรรม.. และการจดจำธรรมนั้นไว้ เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ในการดำเนินชีวิต เพื่อการไม่ประมาทในธรรม.. จะได้ไม่ดำเนินชีวิตให้ผิดพลาด.. คลาดไปจากธรรม
ต่อจากนั้น จึงได้ชวนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยพูดคุย ด้วยการถามว่า.. ท่านมท.๑ ขับเครื่องบินเป็นใช่ไหม ซึ่งได้รับคำตอบว่า.. ขับเป็นครับ.. ด้วยเสียงที่สุภาพตามบุคลิกของ นายอนุทิน ชาญวีรกูล ดังที่เห็นปรากฏในภาพข่าวทางสื่อ..
จึงได้กล่าวนำต่อไปว่า.. การขับเครื่องบินได้ แสดงว่า ท่าน มท.๑ จะต้องมี สติ สัมปชัญญะ ที่มีประสิทธิภาพ และต้องรู้จักหลักความเพียรชอบ.. หาไม่แล้วก็ยากที่จะบังคับควบคุมให้เครื่องบินลำนั้น แล่นไปในเวหา มุ่งสู่ทิศทางแห่งจุดหมายที่พึงประสงค์ได้ไม่.. และนั่นแสดงว่า ท่านกำลังปฏิบัติธรรมเพื่อชีวิต...
..ที่เปรียบชีวิตของเรา เช่นเดียวกับการขับเครื่องบินลำนั้น ซึ่งจะต้องมี สติ สัมปชัญญะ และวิริยะ ในการบังคับควบคุมขับเคลื่อนเครื่องบินลำนั้นแล่นไปตามความต้องการ มุ่งสู่จุดหมายคือประโยชน์และความควรอย่างแท้จริง.. ซึ่งจะต้องมีการเจริญสติอยู่ในทุกขณะจิต.. ที่ต้องทำความรู้ชัดในประโยชน์ ทำความรู้ชัดในความควร.. ทำความรู้ชัดในโคจรที่ดำเนินไป และทำความรู้ชัดในความเป็นจริงในสภาวธรรมที่ปรากฏมีอยู่.. จึงได้ชื่อว่า ดำรงชีวิตอยู่อย่างไม่ประมาท.. ไม่ปรามาสธรรม.. ซึ่งเป็นธรรมอันยิ่งในพระพุทธศาสนา
ในวันนั้น.. จึงได้ฝากธรรมไว้ในจิตใจของตนว่า.. อย่าใช้ชีวิตอย่างประมาท.. อย่าล้อเล่นกับอำนาจแห่งกรรม.. ด้วยอำนาจเป็นใหญ่ในโลกที่แท้จริง คือ อำนาจแห่งกรรม.. ซึ่งควบคุมสัตว์ทั้งหลายไว้อย่างยุติธรรมและเสมอภาค ไม่ว่า.. ท่านเหล่านั้นจะเป็นใคร.. จะมาจากชาติตระกูลใด...
ในระหว่างที่สนทนาธรรม.. ได้สังเกตในพฤติกรรมของทุกคนที่เข้ามานั่งฟังธรรมในธรรมศาลา วัดป่าพุทธพจน์ฯ ลำพูน ได้เห็นอาการแห่งความสงบ สำรวม ไม่พูดคุย.. ไม่เล่นโทรศัพท์.. จึงได้แนะนำต่อเนื่องให้รู้จักสำรวมจิต.. ตั้งดำริเมตตาธรรมขึ้นในจิตในท้ายสุดแห่งการสนทนาธรรม ว่า..
“พึงตั้งจิตระลึกตามว่า.. ขอข้าพเจ้า จงมีความสุข จงปราศจากทุกข์.. ปราศจากความพยาบาท-ความเบียดเบียน จงปราศจากความคับแค้นใจ-ความทุกข์ใจ
ขอข้าพเจ้า จงมีความสุขกาย-สุขใจ ปลอดจากทุกข์โรคภัยทั้งปวงเถิด
แม้สัตว์ทั้งหลายทั้งปวง.. รวมความว่า เทพดา มนุษย์ และสัตว์ทั้งหลาย ทุกภพภูมิ ในแว่นแคว้นแห่งนี้ จงมีความสุขเถิด.. จงปราศจากความพยาบาท ความเบียดเบียนเถิด.. จงปราศจากความทุกข์กาย-ทุกข์ใจ เถิด.. จงรักษาตนให้มีความสุขกาย-สุขใจ ปราศจากทุกข์โรคภัยทั้งปวงเถิด”
โดยปิดท้ายด้วยคำกล่าวที่ว่า...
“ขอศัตรูทั้งหลายของเรา จงฟังธรรมเถิด..
ขอศัตรูทั้งหลายของเรา จงขวนขวายในพระพุทธศาสนาเถิด..
ขออมนุษย์ทั้งหลาย ภูตผีปีศาจทั้งหลาย ที่เป็นศัตรูของเรา จงคบสัตบุรุษผู้ชวนให้ถือธรรมเถิด..
ขอจงฟังธรรมตามกาล และจงกระทำตามธรรมนั้นเถิด.. ผู้ที่เป็นศัตรู.. ไม่พึงเบียดเบียนเรา หรือใครๆ อื่นเลย..
ขอผู้ถึงซึ่งความสงบอย่างยิ่งแล้ว พึงรักษาไว้ซึ่งสัตว์ที่สะดุ้งและมั่นคงเถิด.....”
ในระหว่างที่มีการเจริญเมตตาธรรม แม้จะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ .. เพื่อเหมาะควรกับสภาพความพร้อมของทุกคนที่มา.. ได้เห็นหลายท่านตั้งใจทำความเพียรชอบ ด้วยการเจริญสติไปตามลำดับอย่างต่อเนื่อง โดยเห็นอาการกิริยาทางกายที่ตั้งตรง ดำรงสติอยู่เฉพาะหน้าในทุกขณะ.. แม้จะจบสิ้นการสนทนาธรรมแล้ว ก็ยังดำรงอยู่ ไม่ว่าจะเป็น นางสาวธนนนท์ นิรามิษ ภริยาท่านรัฐมนตรีฯ นางจิณณารัชช์ สัมพันธรัตน์ ภริยาปลัดกระทรวงฯ ในฐานะนายสมาคมแม่บ้านมหาดไทย ตลอดจนถึงบรรดาแม่บ้านมหาดไทย คือ ภริยาของผู้ว่าราชการจังหวัดในภาคเหนือ ที่ตั้งใจฟังธรรมอย่างจริงจัง มีความรื่นเริงเบิกบานตลอดที่ได้ให้ธรรม..
ในวันนั้น ก่อนจะกราบลา.. นางจิณณารัชช์ สัมพันธรัตน์ นายกสมาคมแม่บ้านมหาดไทย จึงได้กล่าวว่า.. จะขอนำแม่บ้านมหาดไทยมาปฏิบัติธรรมสักครั้ง.. โดยคาดว่า น่าจะจัดการปฏิบัติธรรมที่กระทรวงมหาดไทย เพื่อการพัฒนาบุคลากรของกระทรวงมหาดไทยให้มีคุณธรรมความดี เพื่อควบคุมความรู้-ความสามารถที่คนมหาดไทยมีอยู่แล้วนั้น ให้เป็นไปในทิศทางที่มีประโยชน์โดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขของมหาชน.. และประเทศชาติ... โดยเฉพาะกำลังสำคัญของการขับเคลื่อนจาก แม่ๆ ทั้งหลาย ที่เป็นภริยาของนักปกครอง.. พ่อบ้านพ่อเมือง ที่จะได้ยึดมั่นยึดถือในธรรมเป็นที่พึ่ง.. โดยการพัฒนาตนเองให้รู้ธรรม.. เป็นธรรม.. มีธรรม.. ก็จักช่วยเหลือการสร้างธรรมให้เกิดขึ้นในแผ่นดินต่อไป.. ซึ่งต้องยอมรับความจริงว่า บรรดาแม่ๆ เหล่านั้นล้วนเป็นกำลังหลัก.. เป็นกำลังใจแท้จริงของบรรดานักปกครอง-บริหารราชการแผ่นดินทั้งหลาย.. เป็นกำลังสนับสนุนที่สำคัญยิ่งต่อความสำเร็จในการงานตามบทบาทหน้าที่ของสามี.. ดังที่มีผู้กล่าวว่า เบื้องหลังความสำเร็จในกิจการงาน.. ชีวิตของพ่อบ้านพ่อเมืองเหล่านั้น แท้จริงมีบรรดาแม่ๆ เหล่านี้แหละอยู่เบื้องหลัง.. จึงควรยิ่ง หากคณะแม่บ้านมหาดไทยจะก้าวไป.. สู่การพัฒนาตนเองให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น.. ในทางคุณธรรมความดีที่จะเป็นไปเพื่อช่วยเหลืองาน “บำบัดทุกข์ บำรุงสุข” ให้กับประชาชน.. ประเทศชาติสืบไป... เจริญพร!!.
เจริญพร
dhamma_araya@hotmail.com
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
พระทุศีล .. คนชั่ว ก็คือกัน!!
เจริญพรสาธุชนผู้มีจิตศรัทธาในพระพุทธศาสนา ในกระแสฝนตกขี้หมูไหล คนจัญไรมาพบกัน.. ยามฝนฉ่ำฟ้า ป่าฉ่ำน้ำเช่นนี้ จึงควรดำรงตนอย่างมีสติและศีลด้วยดี.. พึงตามรักษาจิต และตราบใดที่มีดำริชอบ มั่นคงในธรรม และตั้งอยู่ในความไม่ประมาทในพระธรรมวินัย.. ผู้นั้นย่อมจักผ่านพ้นปัญหาอุปสรรค.. ละชาติสงสาร หมดสิ้นซึ่งความทุกข์ได้แน่นอน...
วิชารัฐมนตรี (4)
เนื้อหาหนังสือ "วิชารัฐมนตรี" ศาสตร์และศิลป์ของ "การนำ" ผ่านมุมมองเอนก เหล่าธรรมทัศน์ เขียนโดย ดร.ยุวดี คาดการณ์ไกล และณัฐธิดา เย็นบำรุง จัดทำโดยมูลนิธิสถาบันสร้างสรรค์ปัญญาสาธารณะ มีทั้งหมด 6 บท รวม 156 หน้า
จิตที่ .. ไร้ยางอาย .. กับอำนาจที่ไร้ธรรม..!!
เจริญพรสาธุชนผู้มีจิตศรัทธาในพระพุทธศาสนา.. ในยามที่วิถีสังคม ประเทศชาติ ดำเนินไปอย่างไร้ทิศทาง ด้วยพลังขับของความไร้สาระแห่งธรรม.. อะไรๆ ก็เกิดขึ้นได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องในศาสนจักรหรืออาณาจักร ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของพระหรือของคนหัวดำทั้งหลาย
วิชารัฐมนตรี (3)
เนื้อหาหนังสือ "วิชารัฐมนตรี" ศาสตร์และศิลป์ของ "การนำ" ผ่านมุมมองเอนก เหล่าธรรมทัศน์ เขียนโดย ดร.ยุวดี คาดการณ์ไกล และณัฐธิดา เย็นบำรุง จัดทำโดยมูลนิธิสถาบันสร้างสรรค์ปัญญาสาธารณะ มีทั้งหมด 6 บท รวม 156 หน้า
“ปัญหาไม่รู้จบ” เงินทอง-ผู้หญิง และโทรมือถือ.. .. ในหมู่บรรพชิต!!
เจริญพรสาธุชนผู้มีจิตศรัทธาในพระพุทธศาสนา.. มีข่าวที่น่าสังเวชยิ่ง เกิดขึ้นอีกครั้งในแวดวงภิกษุสงฆ์ในบ้านเรา เมื่อ พระเทพวชิรปาโมกข์ หรือที่รู้จักกันในนาม เจ้าคุณอาชว์ เจ้าอาวาสวัดตรีทศเทพ กรุงเทพฯ ได้ลาสิกขา โดยมีการวิจารณ์สะพัดวงการสงฆ์ ถึงสาเหตุในการสึกที่น่าจะมาจากความสัมพันธ์กับผู้หญิง..
วิชารัฐมนตรี (2)
เนื้อหาหนังสือ "วิชารัฐมนตรี" ศาสตร์และศิลป์ของ "การนำ" ผ่านมุมมองเอนก เหล่าธรรมทัศน์ เขียนโดย ดร.ยุวดี คาดการณ์ไกล และณัฐธิดา เย็นบำรุง จัดทำโดยมูลนิธิสถาบันสร้างสรรค์ปัญญาสาธารณะ มีทั้งหมด 6 บท รวม 156 หน้า