เนื้อหาหนังสือ "วิชารัฐมนตรี" ศาสตร์และศิลป์ของ "การนำ" ผ่านมุมมองเอนก เหล่าธรรมทัศน์ เขียนโดย ดร.ยุวดี คาดการณ์ไกล และณัฐธิดา เย็นบำรุง จัดทำโดยมูลนิธิสถาบันสร้างสรรค์ปัญญาสาธารณะ มีทั้งหมด 6 บท รวม 156 หน้า
บทที่ 2
การเข้าสู่ตำแหน่งรัฐมนตรีของไทย
"รัฐมนตรีไม่มีการฝึกงาน ไม่มีระบบพี่เลี้ยงคอยให้คำแนะนำและไม่มีโอกาสสำหรับการศึกษาเชิงลึกเกี่ยวกับโครงสร้างและภารกิจของกระทรวงก่อนเข้ารับตำแหน่ง อย่างไรก็ตาม การเตรียมตัวที่ดีที่สุดคือการพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง “หากเราไม่พร้อม ก็จะพลาดโอกาสสำคัญไป แต่หากเรามีความพร้อมอยู่เสมอ เราจะสามารถรับมือกับสถานการณ์ที่คาดไม่ถึง และคว้าโอกาสใหม่ๆ ที่เข้ามาในชีวิตได้....”
การเข้าสู่การเป็นรัฐมนตรีของไทย
การเข้าสู่การเป็นรัฐมนตรีของไทย ไม่ว่าจะเป็นในรัฐบาลทหารที่มาจากการยึดอำนาจ หรือรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งนั้น ไม่ได้แตกต่างกันมากนัก มีขั้นตอนคล้ายกัน คือ นายกรัฐมนตรีจะเป็นผู้นำรายชื่อบุคคลซึ่งสมควรได้รับแต่งตั้งขึ้นกราบบังคมทูลเพื่อทรงแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรี ซึ่งพระมหากษัตริย์ทรงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรี จึงจะถือว่าได้เป็นรัฐมนตรีโดยสมบูรณ์ ทั้งนี้คุณสมบัติของรัฐมนตรีจะเป็นอย่างไรนั้น ขึ้นอยู่กับการกำหนดของรัฐธรรมนูญแต่ละฉบับที่ยึดถือนั่นเอง
หลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ.2475 คณะราษฎรใช้รัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ.2475 ในการปกครองประเทศไทยเป็นเวลาเกือบ 25 ปี ในรัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ.2475 นั้น กำหนดว่า สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) ครึ่งหนึ่งมาจากการเลือกตั้ง และ สส.อีกครึ่งหนึ่งมาจากการแต่งตั้ง แต่ไม่มีข้อกำหนดที่ว่าข้าราชการที่จะเป็นรัฐมนตรีนั้นต้องลาออกจากตำแหน่ง ทำให้รัฐมนตรีในยุคนั้นยังเป็นข้าราชการประจำได้ สามารถสวมหมวกได้ 2 ใบพร้อมกัน ในช่วงต่อมารัฐธรรมนูญแต่ละฉบับมีการเปลี่ยนแปลงคุณสมบัติของรัฐมนตรีบางอย่าง เช่น รัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ.2517 กำหนดไว้ว่าข้าราชการไม่สามารถเป็นรัฐมนตรีพร้อมกันได้ หากข้าราชการจะเป็นรัฐมนตรีนั้นจะต้องลาออกจากการเป็นข้าราชการประจำเสียก่อน
ในสมัยคณะราษฎร ใช้วิธีการสรรหารัฐมนตรีด้วยการดึงข้าราชการผู้ใหญ่มาเป็นรัฐมนตรี รัฐมนตรีหลายคนสวมหมวก 2 ใบ บางคนเป็นรัฐมนตรีด้วยเป็นข้าราชการด้วย เช่น จอมพลหลายคนเป็นผู้บัญชาการทหารบกด้วย เป็นรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมด้วย หรือบางคนเป็นรัฐมนตรีกระทรวงคมนาคมด้วย เป็นรัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทยด้วย บางคนเป็นอธิบดีกรมตำรวจและเป็นรัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทยด้วย
ไม่ว่าจะเป็นยุคสมัยของคณะราษฎร จวบจนมาถึงยุคสมัยรัฐบาลทหารหรือพลเรือน ก็ยังคงสรรหารัฐมนตรีเช่นนี้ ด้วยการใช้วิชารัฐมนตรี 23 รัฐธรรมนูญฉบับคณะราษฎรอยู่ ในแง่หนึ่งที่เลือกข้าราชการมาเป็นรัฐมนตรีนั้น ส่วนหนึ่งคิดว่าข้าราชการชั้นผู้ใหญ่รู้งานกระทรวงเป็นอย่างดี การเป็นข้าราชการจึงน่าจะทำงานตำแหน่งรัฐมนตรีได้ไม่ยาก แต่ในอีกแง่หนึ่งก็ไม่เกี่ยวกับการรู้งานของกระทรวง เพราะว่าบางคนก็ไม่ได้เป็นรัฐมนตรีกระทรวงที่ตัวเองทำงาน บางคนเคยเป็นข้าราชการกระทรวงหนึ่งสามารถข้ามไปเป็นรัฐมนตรีกระทรวงอื่นก็ได้ ที่เป็นเช่นนี้เพราะเหล่าคณะผู้นำได้เลือกคนมาเป็นรัฐมนตรีจากคนที่ร่วมอุดมการณ์ ร่วมกันยึดอำนาจ ร่วมกันต่อสู้ทางการเมือง จึงเลือกคนเหล่านี้ให้มาเป็นรัฐมนตรี ตอบแทนคนเหล่านี้ที่ร่วมต่อสู้ด้วยกันมาด้วยตำแหน่งรัฐมนตรี ในรัฐบาลคณะราษฎรหลัง 24 มิถุนายน พ.ศ.2475 คณะรัฐมนตรีก็จะประกอบด้วยผู้ก่อการเกือบทั้งนั้น
ในสมัยรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม ซึ่งเป็นที่ชัดเจนว่าเป็นส่วนหนึ่งของคณะราษฎร หรือเป็นทายาทของคณะราษฎร ก็ใช้ข้อกำหนดของรัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ.2475 ในการแต่งตั้งรัฐมนตรี ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่และผู้ร่วมอุดมการณ์ของจอมพล ป. พิบูลสงคราม อย่างไรก็ตาม เป็นที่น่าสังเกตว่าต่อมารัฐบาลทหารในสมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์, รัฐบาลจอมพลถนอม กิตติขจร หรือแม้แต่รัฐบาลนายพจน์ สารสิน ที่เป็นรัฐบาลเพียงชั่วคราว รัฐบาลทหารเหล่านี้กลับมีรัฐมนตรีที่ส่วนใหญ่เป็นเทคโนแครต หรือเป็นนักวิชาการ กลุ่มคนที่ได้ชื่อว่ามีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างก้าวกระโดดในช่วงทศวรรษที่ 70-80 มากกว่ารัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม ด้วยซ้ำ รัฐมนตรีในรัฐบาลเหล่านี้เป็นที่จดจำได้ว่าเป็นรัฐมนตรีที่เก่งและมีความสามารถ ส่วนใหญ่เป็นนักวิชาการหรือข้าราชการที่มีความรู้ เป็นนักเรียนนอก เช่น นายสุนทร หงส์ลดารมภ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของรัฐบาลจอมพล พลสฤษดิ์ หรือคุณถนัด คอมันตร์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศในรัฐบาล จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ จนถึงรัฐบาลจอมพลถนอม กิตติขจร และอีกหนึ่งยุคของคณะรัฐบาลที่คนมักจดจำว่าเก่ง คือ ยุคของรัฐบาลนายอานันท์ ปันยารชุน ที่มาจากคณะทหาร ผู้คนก็จำได้ว่าคุณอานันท์เป็นนายกรัฐมนตรีที่เก่ง มีรัฐมนตรีที่เก่งหลายคนซึ่งล้วนมาจากการแต่งตั้ง เช่น ดร.เสนาะ อูนากูล รองนายกรัฐมนตรี, ดร.วีรพงษ์ รามางกูร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง, หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร เทวกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นต้น
ในรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง รัฐมนตรีได้ขึ้นชื่อว่าเป็นรัฐมนตรีที่มาจากประชาชน รัฐมนตรีที่มาจากการเลือกตั้งส่วนใหญ่ก็มักจะเป็นนักการเมืองอาชีพ หรือคนสำคัญของพรรคการเมือง โดยหลักการของประชาธิปไตย มีความเชื่อกันอยู่แล้วว่า รัฐมนตรีของรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งเป็นตัวแทนของประชาชน ต้องเป็นคนเก่งและได้รับการยอมรับจากประชาชนเพราะมาจากการเลือกตั้ง ก็มีตั้งแต่รัฐบาลของหม่อมราชวงศ์เสนีย์ ปราโมช, รัฐบาลของหม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช, รัฐบาลของพลเอกเปรม ติณสูลานนท์, รัฐบาลของพลเอกชวลิต ยงใจยุทธ, รัฐบาลของนายบรรหาร ศิลปอาชา, รัฐบาลของนายทักษิณ ชินวัตร และรัฐบาลของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นต้น แต่ในทางปฏิบัติของการเมืองไทย เป็นที่ทราบกันดีว่า รัฐมนตรีบางส่วนนั้นเก่ง มีความสามารถ เป็นเทคโนแครต เป็นนักวิชาการ เป็นข้าราชการมาก่อน และเป็นนักการเมือง แต่บางส่วนนั้นไม่ได้มีความสามารถหรือมีความรู้เรื่องการพัฒนาประเทศ หรือรู้เรื่องการทำงานของกระทรวงมากนัก แต่ได้เป็นรัฐมนตรีเพราะเล่นการเมืองเก่ง หรือสนับสนุนเงินให้พรรคและให้กับการเลือกตั้งจำนวนมากนั่นเอง
ข้อสังเกตรัฐมนตรีของไทยสะท้อนระบบการเมืองไทย
แม้คณะราษฎรอยู่ในคราบของคนเริ่มต้นประชาธิปไตยจริง แต่วิธีการแต่งตั้งรัฐมนตรีในสมัยคณะราษฎรนั้นใช้วิธีการแต่งตั้ง โดยคัดเลือกรัฐมนตรีจากข้าราชการประจำ จากคนต่อสู้ร่วมอุดมการณ์ ไม่ได้เป็นรัฐมนตรีที่มาจากประชาชน คณะราษฎรใช้ข้าราชการฝ่ายทหารที่คุมกำลัง พวกนี้จะได้เป็นรัฐมนตรีกระทรวงที่สำคัญ ฐานการเมืองของคณะราษฎรอยู่ที่การกุมกองทัพ ไม่ได้อยู่ที่การกุมประชาชน รวมทั้งในยุคสมัยของจอมพล ป. พิบูลสงครามเช่นเดียวกัน และในยุคหลัง พ.ศ.2489 ก็ใช้การแต่งตั้งรัฐมนตรีแบบเดียวกับคณะราษฎร
สิ่งที่เกิดขึ้นนี้ เอนก เหล่าธรรมทัศน์ กล่าวว่า ในแง่หนึ่งเราสามารถพินิจการเมืองไทยได้ว่า การเมืองไทยเป็นการเมืองของคณะราษฎรอยู่ถึง 25 ปี เพราะใช้รัฐธรรมนูญที่เป็นมรดกจากคณะราษฎร หรือมองว่าเป็นการเมืองของทหารก็ได้ เพราะว่าในประเทศไทย รัฐธรรมนูญเกิดจากทหารยึดอำนาจ หรือจะมองเป็นการเมืองแบบอำมาตยาธิปไตย หรือการเมืองการปกครองที่ถูกครอบงำด้วยระบบข้าราชการประจำก็ได้ เพราะทหารก็เอาข้าราชการพลเรือน เอาพลเรือนมาร่วมยึดด้วย ร่วมกันยึดอำนาจ ร่วมกันปกครองในฐานะคณะรัฐมนตรีทั้งสิ้น
คณะราษฎรไม่ได้ตั้งพรรคการเมืองด้วย ไม่มีพรรคการเมืองมาตั้งแต่ พ.ศ.2475-2489 จนมาเกิดพรรคการเมืองขึ้นมา เช่น พรรคของนายปรีดี พนมยงค์ และพรรคประชาธิปัตย์ เป็นต้น พรรคประชาธิปัตย์ถือเป็นพรรคเดียวที่เกิดขึ้นเป็นพรรคแรกๆ และพรรคเดียวที่หลงเหลือในปัจจุบัน เป็นพรรคที่เก่าแก่ที่สุด ในขณะที่พรรคการเมืองอื่นๆ แทบจะหายไปเกือบทั้งหมด ในแง่หนึ่งแม้ว่าการเมืองจะเปลี่ยน บางครั้งเป็นรัฐบาลทหารสลับกับรัฐบาลพลเมือง จะเห็นว่าประชาธิปไตยโดนทำลายเป็นระยะๆ แต่พรรคประชาธิปัตย์ก็ยังอยู่ยงคงกระพันในฐานะพรรคการเมืองที่อยู่ในทุกยุคทุกการเปลี่ยนแปลงของการเมืองไทย
ดังนั้น การจะได้รัฐมนตรีที่เก่งนั้น วิธีการคัดสรรเป็นสิ่งที่สำคัญก็จริง การได้มาของรัฐมนตรีที่มาจากประชาชนเป็นเรื่องที่สำคัญก็จริง แต่สำหรับรัฐมนตรีไทย ข้อสังเกตหนึ่งคือ รัฐมนตรีที่เก่งและได้รับเสียงชื่นชนจากประชาชนหรือสื่อนั้น ก็ไม่เสมอไปว่าจะต้องมาจากการเลือกตั้งของประชาชน การแต่งตั้งตำแหน่งสำคัญในรัฐบาลและตำแหน่งรัฐมนตรีก็ทำให้มีคนเก่งและเป็นที่ยอมรับได้เช่นกัน เช่น ในสมัยรัฐบาลนายอานันท์ ปันยารชุน บางครั้งการแต่งตั้งอาจจะได้คนเก่งมากกว่าการเลือกตั้งด้วยซ้ำ รัฐมนตรีในรัฐบาลทหารหลายคนก็ดูเหมือนจะทำหน้าที่ได้ดีไม่แพ้รัฐมนตรีของรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง หรือบางคนอาจจะทำได้ดีกว่าด้วยซ้ำไป
ในสมัยที่รัสเซียมีรัฐบาลแบบโซเวียตปกครองก็ใช้วิธีการแต่งตั้งรัฐมนตรี แต่เมื่อโซเวียตล่มสลาย พ่ายแพ้ให้กับสหรัฐอเมริกา ทำให้เรามีความเชื่อกันมากว่าระบบการเลือกตั้งต้องดีกว่าการแต่งตั้ง หากแต่ในความจริงนั้นก็ไม่เป็นเช่นนั้นเสมอไป
ในสหรัฐอเมริกา ระบบการเลือกตั้งนั้นจะเลือกแค่ประธานาธิบดีคนเดียวเท่านั้น เมื่อได้ประธานาธิบดีแล้ว เขาก็จะตั้งรัฐมนตรี ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเทคโนแครตที่มีจุดยืนในทางการเมืองที่เห็นด้วยกับพรรคและประธานาธิบดี โดยรัฐมนตรีไม่จำเป็นต้องเป็น สส.ด้วย คนเหล่านี้ส่วนใหญ่ก็จะเป็นรัฐมนตรีครบเทอม เกาหลีใต้เองก็ใช้ระบบเช่นนี้ สำหรับการเข้าสู่รัฐมนตรีของไทยคล้ายกับของอังกฤษหรือญี่ปุ่น แต่ว่ารัฐมนตรีแบบอังกฤษหรือแบบญี่ปุ่นนั้น รัฐมนตรีจะมีระยะฝึกงานเป็น สส.หลายสมัย และทำงานคลุกคลีกับการเมืองเป็นเวลานาน
สำหรับประเทศไทยนั้น การเมืองไทยมีรัฐบาลประชาธิปไตยและรัฐบาลทหารสลับกัน ไทยจึงไม่มีนักการเมืองที่ฝึกการทำงานแบบต่างประเทศทำ เพราะไทยมีการเปลี่ยนแปลงการเมืองตลอด มีการยึดอำนาจเป็นระยะๆ ขาดการฝึกงานของนักการเมือง ทำให้รัฐมนตรีของไทยส่วนใหญ่ค่อนข้างรู้เรื่องกระทรวงนั้นๆ น้อย ทำงานโดยใช้ข้าราชการชง (เสนอ) เรื่อง ชงนโยบาย และทำตามนโยบายของพรรคต้นสังกัดของตนเองมากกว่าที่จะคิดนโยบายผ่านการนำของตนเอง คนส่วนใหญ่ที่เป็นรัฐมนตรีนั้นเป็นเพราะเข้าใจประชาชน เป็นที่ชื่นชอบของประชาชน เข้าใจการเมือง อภิปรายในสภาได้ดี สามารถรวมเสียงประชาชนได้ เป็นคนสำคัญของพรรค สนับสนุนพรรค เมื่อพรรคชนะการเลือกตั้ง จึงมีโอกาสในการเป็นรัฐมนตรี บางคนก็เป็นนักการเมืองมานาน ซึ่งหลายคนก็มีความรู้ในกระทรวงไม่มากนัก
นอกเหนือจากเรื่องวิธีการคัดสรรรัฐมนตรี สิ่งที่ต้องคิดและพิจารณาให้มากกว่าคือ จะทำอย่างไรให้ระบบการเมืองสามารถสร้างรัฐบาลที่มีธรรมาภิบาล (Good Governance) ให้ได้มากที่สุด มีนายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรีที่เก่ง การบริหารและการจัดการดี มีความสามารถและมีคุณธรรมที่ดีในการทำงานเพื่อพัฒนาประเทศ
เมื่อเราไปดูระบบการเมืองของจีนแล้ว จีนรับแนวทางมาจากโซเวียตก็จริง แต่จีนปรับระบบจนสามารถแต่งตั้งและได้มาซึ่งคนที่เก่งและมีคุณธรรม เลขาธิการของพรรคคอมมิวนิสต์ต้องคัดเลือกจากคนที่เคยเป็นเลขาธิการพรรคในมณฑลสำคัญ ใช้วิธีการคัดจากพื้นที่ขึ้นมาเช่นกัน คนที่จะได้เป็นรัฐมนตรีต้องผ่านการทำงานมาจำนวนมาก ทำงานจริง ทำงานเป็น ถึงจะก้าวขึ้นมาเป็นรัฐมนตรีได้ จีนมีระบบการฝึกผู้นำตั้งแต่อายุยังน้อย มีโรงเรียนผู้นำของพรรค ฝึกจนเหมือนเป็นเรื่องปกติ ฝึกตั้งแต่อายุยังน้อย คนที่จะมาเป็นรัฐมนตรีแต่ละกระทรวงต้องเป็นผู้ที่มีความรู้และผลงานในเรื่องนั้นมาก ในแง่หนึ่งระบบของจีนจะเห็นว่าแตกต่างจากระบบประชาธิปไตยที่นักการเมืองหลายคนอาจจะไม่ได้เก่งมาก แต่หากเป็นผู้ที่รวมคะแนนเสียงได้มาก ก็ทำให้สามารถก้าวขึ้นมาเป็นรัฐมนตรีได้
การเข้าสู่การเป็นรัฐมนตรีของเอนก เหล่าธรรมทัศน์
เอนก เหล่าธรรมทัศน์เข้าสู่การเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) สมัยรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ตามรัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ.2560 การเข้าสู่การเมืองครั้งนี้เริ่มมาจากการเป็นผู้ก่อตั้งพรรครวมพลังประชาชาติไทย ต่อมาได้เป็นกรรมการบริหารและเป็นหัวหน้าพรรคฯ ในภายหลัง เขาเป็นแกนนำ เป็นบุคคลสำคัญ และเป็นผู้ทรงคุณวุฒิที่ขับเคลื่อนความคิดและนโยบายของพรรคฯ พร้อมหาเสียงและเดินสายทำงานการเมืองร่วมกับพรรครวมพลังประชาชาติไทย และได้รับเลือกให้อยู่ในลำดับที่ 9 ของผู้สมัคร สส.ระบบบัญชีรายชื่อ “ปาร์ตี้ลิสต์” 8 ของพรรครวมพลังประชาชาติไทย เพื่อแข่งขันในการเลือกตั้ง พ.ศ.2562 30 วิชารัฐมนตรี
หลังการเลือกตั้ง พ.ศ.2562 เสร็จสิ้น พรรครวมพลังประชาชาติไทยได้ที่นั่ง สส.จำนวน 5 ที่นั่ง และได้เข้าร่วมรัฐบาลของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา โดยพรรคได้โควตาตำแหน่งรัฐมนตรี 1 กระทรวง ในขณะนั้นหม่อมราชวงศ์จัตุมงคล โสณกุล หรือหม่อมเต่า ดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรครวมพลังประชาชาติไทย ได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ในวันที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ.2562 แต่หลังจากนั้นเพียง 1 ปี หม่อมราชวงศ์จัตุมงคล โสณกุล ได้ลาออกจากการเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน และลาออกจากพรรครวมพลังประชาชาติไทย ทำให้พรรครวมพลังประชาชาติไทยเสนอชื่อ เอนก เหล่าธรรมทัศน์ เป็นรัฐมนตรีในโควตาของพรรคฯ เป็นคนต่อไป
ในขณะนั้น สื่อ ประชาชน หรือแม้แต่คนในพรรครวมประชาชาติไทยคิดว่าเอนก เหล่าธรรมทัศน์ จะได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานต่อจากหม่อมราชวงศ์จัตุมงคล โสณกุล แต่สถานการณ์ไม่เป็นเช่นนั้น ด้วยการตัดสินใจของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้แต่งตั้ง เอนก เหล่าธรรมทัศน์ ให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) แทน โดยได้รับโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีวันที่ 5 สิงหาคม พ.ศ.2563 กล่าวได้ว่า เอนก เหล่าธรรมทัศน์ ได้เข้าสู่การเป็นรัฐมนตรีด้วยระบบการคัดสรรรัฐมนตรีแบบประชาธิปไตย
ระบบการจัดตั้งรัฐบาลของไทยนั้น เมื่อพรรคการเมืองหลายพรรครวมกันเป็นเสียงข้างมากจัดตั้งรัฐบาลได้ แต่ละพรรคก็ได้โควตาตำแหน่งสำคัญในรัฐบาลตามสัดส่วนของจำนวน สส. ของพรรคร่วมรัฐบาล และพรรคการเมืองจะเสนอชื่อบุคคลใดเป็นรัฐมนตรี ก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของพรรคและการเห็นชอบของนายกรัฐมนตรี ซึ่งส่วนใหญ่พรรคการเมืองมักจะเสนอชื่อหัวหน้าพรรคการเมือง หรือบุคคลสำคัญของพรรคขึ้นรับตำแหน่งในรัฐบาลนั่นเอง
เอนก เหล่าธรรมทัศน์มักพูดเสมอว่า การเข้าสู่การเมืองและการได้เป็นรัฐมนตรีของตนเองนั้น เป็นเรื่องที่ “บังเอิญ” แม้ว่าตนเองจะเป็นนักวิชาการทางรัฐศาสตร์ที่มีชื่อเสียง ดำรงตำแหน่งการบริหารของสถาบันวิชาการ และมหาวิทยาลัยมาหลายแห่ง ได้ทำงานเป็นนักการเมืองคนสำคัญของหลายพรรคมาโดยตลอด เป็นทั้งรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ หัวหน้าพรรคมหาชน มาจนถึงหัวหน้าพรรครวมพลังประชาชาติไทย แต่หากดูชีวิตทางการเมืองของเอนก เหล่าธรรมทัศน์ ที่ผ่านมา อาจเรียกได้ว่า “ล้มเหลว” ก็ว่าได้ เพราะพรรคที่ตนเองสังกัดนั้นมักจะแพ้การเลือกตั้งอยู่เสมอ ได้จำนวน สส.น้อยมาก ตนเองไม่ใช่นักการเมืองที่ได้รับความนิยมมากกว่านักการเมืองคนอื่นๆ อีกทั้งการเลือกตั้ง พ.ศ.2562 หม่อมราชวงศ์จัตุมงคล โสณกุล ในฐานะหัวหน้าพรรคฯ คนแรกได้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีไปแล้ว จึงไม่น่าจะมีใครในพรรคฯ มีโอกาสได้เป็นรัฐมนตรีอีก
ด้วยสถานการณ์ที่ไม่คาดคิด สุดท้ายเอนก เหล่าธรรมทัศน์ ก็ได้รับการแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวง อว. เขาจึงย้อนคิดว่า การจะได้เป็นรัฐมนตรีในประเทศไทยนั้น หากทำตามระบบของไทย ความสามารถเป็นเพียงส่วนหนึ่ง อีกส่วนที่สำคัญ คือ “โชคชะตา” และการมี “บุญวาสนา” ในประเทศไทยนั้นคนเก่งจำนวนมากไม่มีโอกาสได้เป็นรัฐมนตรี ด้วยเหตุนี้ เขาจึงตั้งปณิธานว่า เมื่อตนมี “บุญ” และ“โอกาส” ที่ได้เข้ามาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวง อว. ซึ่งเป็นตำแหน่งที่มีอำนาจและสำคัญ ที่จะทำให้ตนสามารถนำพาการบริหารประเทศให้ได้รับการพัฒนา จึงมุ่งมั่นที่จะใช้ความคิด ประสบการณ์และความสามารถที่ตนเองมีทั้งหมด ทำหน้าที่ของการเป็นรัฐมนตรีในฐานะผู้นำของข้าราชการในสังกัดหลายพันคน และในฐานะหนึ่งในคณะรัฐมนตรีของรัฐบาล ที่จะรับความคิดนายกรัฐมนตรี มาสร้างสรรค์และพัฒนางานในกระทรวง อว. ให้ดีที่สุด
รัฐมนตรีกระทรวง อว.
สำหรับประเทศไทย ตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ.2534 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน (ฉบับที่ 5) พ.ศ.2545 ได้กำหนดอำนาจหน้าที่ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวง ว่า เป็นผู้บังคับบัญชาของข้าราชการในกระทรวง และระบุว่า มีหน้าที่กำหนดนโยบาย เป้าหมาย ผลสัมฤทธิ์ของงานในกระทรวงให้สอดคล้องกับนโยบายที่คณะรัฐมนตรีแถลงต่อรัฐสภาหรือที่คณะรัฐมนตรีกำหนดหรืออนุมัติ ซึ่งเป็นการกำหนดกว้างๆ
ก่อนอื่นมาทำความรู้จัก กระทรวง อว.ว่าทำงานอะไร มีหน้าที่และความรับผิดชอบอย่างไร
บทบาทของกระทรวง อว. ต่อสังคมไทย กระทรวง อว. มีชื่อเต็มว่า กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (อว.) ตั้งขึ้นเมื่อ พ.ศ.2562 ในสมัยรัฐบาลนายกรัฐมนตรีประยุทธ์ จันทร์โอชา เกิดจากการรวมสี่หน่วยงานหลักเข้าด้วยกันคือ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา สำนักนายกรัฐมนตรีในส่วนของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) และสำนักงานคณะกรรมการการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ปัจจุบัน ส่วนราชการใหม่ในสังกัดกระทรวง อว.ประกอบด้วย 1.สำนักงานรัฐมนตรี 2.สำนักงานปลัดกระทรวง 3.กรมวิทยาศาสตร์บริการ 4.สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ 5.สำนักงานปรมาณูเพื่อสันติ และ 6.สถาบันอุดมศึกษาของรัฐที่เป็นส่วนราชการ พร้อมกับการจัดตั้งหน่วยงานขึ้นใหม่ระดับนโยบายและหน่วยงานบริหารงบประมาณด้านการวิจัยของประเทศได้แก่ สำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษาวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ (สอวช.) และสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) อีกด้วย
เอนก เหล่าธรรมทัศน์ ได้รับโปรดเกล้าให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีรับผิดชอบงานกระทรวง อว. ในช่วงปี 2563-2566 มีข้อสังเกตว่า เป็นช่วงที่กระทรวง อว.เป็นหน่วยงานที่เพิ่งก่อตั้งขึ้นใหม่ ผู้ใต้บังคับบัญชาในฐานะผู้ปฏิบัติงานก็เพิ่งเข้ามาทำงานภายใต้โครงสร้างใหม่ และเขาก็เป็นรัฐมนตรีใหม่ จึงเป็นความท้าทายยิ่งสำหรับรัฐมนตรีใหม่ที่เข้ามารับหน้าที่ผู้นำของกระทรวงที่เพิ่งจัดตั้งขึ้นไม่นาน ในแง่หนึ่งก็เป็นโอกาสที่ดีในการสร้างสรรค์งานรูปแบบใหม่
การเตรียมความพร้อมสำหรับการดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี
คำถามที่ควรพิจารณาคือ รัฐมนตรีสามารถเตรียมความพร้อมสำหรับบทบาทและหน้าที่ของตนได้หรือไม่?
ในกรณีของเอนก เหล่าธรรมทัศน์ การได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเจ้าตัวทราบล่วงหน้าเพียงไม่กี่สัปดาห์เท่านั้น กระบวนการนี้ไม่มีช่วงเวลาในการฝึกงาน ไม่มีระบบพี่เลี้ยงคอยให้คำแนะนำ และไม่มีโอกาสสำหรับการศึกษาเชิงลึกเกี่ยวกับโครงสร้างและภารกิจของกระทรวงก่อนเข้ารับตำแหน่ง อย่างไรก็ตาม เขาได้เน้นย้ำว่า การเตรียมตัวที่ดีที่สุดคือการพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง เขากล่าวว่า “หากเราไม่พร้อม ก็จะพลาดโอกาสสำคัญไป แต่หากเรามีความพร้อมอยู่เสมอ เราจะสามารถรับมือกับสถานการณ์ที่คาดไม่ถึง และคว้าโอกาสใหม่ๆ ที่เข้ามาในชีวิตได้” แนวคิดนี้สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของการสั่งสมประสบการณ์ และการฝึกฝนตนเองให้สามารถรับบทบาทผู้นำได้อย่างทันท่วงทีเมื่อถึงเวลาอันเหมาะสม
เอนก เหล่าธรรมทัศน์ ก้าวเข้าสู่ตำแหน่งรัฐมนตรีเป็นครั้งแรก ซึ่งในสายตาของหลายคนอาจมองว่าเขาเป็น “รัฐมนตรีใหม่” แต่หากพิจารณาจากประสบการณ์ด้านความคิด การทำงานเพื่อสังคมและประเทศชาติ ตลอดจนการบริหารองค์กรระดับสูง ทั้งในแวดวงการศึกษาและการเมือง เอนก เหล่าธรรมทัศน์ ถือว่า “เก่า” และ “เก๋า” ที่เต็มไปด้วยประสบการณ์อันโชกโชน
สำหรับเอนก เหล่าธรรมทัศน์ แล้ว ความใหม่ในตำแหน่งไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อการทำหน้าที่ เพราะสิ่งที่สำคัญกว่าคือความสามารถในการเรียนรู้และปรับตัว บางคนไม่เคยเป็นรัฐมนตรีมาก่อน บางคนไม่เคยเป็นอธิการบดีมาก่อน ไม่เคยเป็นประธานบริษัทมาก่อน แต่เมื่อได้มีโอกาสแล้วก็ทำได้ดี เพราะเขามีความสามารถในการเรียนรู้สิ่งใหม่ และปรับเข้ากับความคิด ส่งต่อออกเป็นไอเดียหรือนโยบายให้คนทำตามได้อย่างรวดเร็ว
จากประสบการณ์ของ เอนก เหล่าธรรมทัศน์ การทำหน้าที่รัฐมนตรีในช่วงแรกเริ่ม เขาเรียนรู้ทุกอย่างด้วยตัวเอง ทุกวันในการทำงานคือการเรียนรู้เรื่องใหม่ๆ ต้องมองเห็น ต้องถาม ต้องสังเกต และต้องคิดไปพร้อมๆ กัน กระทรวง อว. เป็นกระทรวงที่เต็มไปด้วยบุคลากรระดับสูง นักวิชาการ นักวิทยาศาสตร์ และผู้เชี่ยวชาญจำนวนมาก ในมุมมองของเขา รัฐมนตรีของกระทรวงนี้จึงต้องเป็นคนที่มีบุคลิกภาพที่พร้อม “เรียนรู้ได้เร็ว” เร็วแค่ไหนนั้น ก็คือเร็วพอที่จะ “นำ” คนที่เก่งที่สุดในแต่ละสาขาได้
เอนก เหล่าธรรมทัศน์ ใช้เวลาไม่นานจับประเด็นสำคัญ เข้าใจระบบและงานของกระทรวงได้ เขามีความสามารถในการ transfer หรือเปลี่ยนปรับความรู้และถ่ายทอดแนวคิดของตนให้เข้ากับสถานการณ์ที่กำลังเผชิญอยู่ได้ดี แม้ไม่เคยเป็นรัฐมนตรีมาก่อน แต่สามารถนำองค์กรที่ซับซ้อนอย่างกระทรวง อว. ได้ ผสมผสานความรู้เข้ากับวิสัยทัศน์ของตัวเอง จึงมองเห็นแนวทางที่จะนำพากระทรวงไปข้างหน้า ทำให้สามารถคิดนโยบายที่สอดคล้องกับการพัฒนาประเทศ และ “นำ” คนในกระทรวง อว.ได้.
(อ่านต่อวันพฤหัสฯ หน้า)
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ร้ายกว่าวิกฤตการณ์ธรรมชาติ ..ภัยมนุษย์ .. ขาดศีลธรรม!!
เจริญพรสาธุชนผู้มีจิตศรัทธาตั้งมั่นในพระพุทธศาสนา...
เมื่อคน.. สังคม! .. ไร้คุณค่าความเป็นมนุษย์.. ประเทศชาติหายนะ!!
เจริญพรสาธุชนผู้มีจิตศรัทธา.. คำว่า “ศรัทธา” ในพระพุทธศาสนา มีความหมายกินลึกลงไปมากกว่าความเชื่อโดยทั่วไป ด้วยต้องมีความรู้ความเข้าใจในคุณค่าของคุณสมบัติสิ่งนั้นๆ
สมดังเป็น .. “วีรกษัตรี มหาราชินี...” ของชาวไทย!!
เจริญพรสาธุชนผู้มีจิตศรัทธาในพระพุทธศาสนา.. โครงการร้อยใจไทย สืบสานราชธรรม ทั้งแผ่นดิน น้อมอุทิศถวายพระราชกุศลแด่ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง
“โมหมูลจิต” .. ..มูลเหตุของการถูกหลอกลวง โดย Scammer!
เจริญพรสาธุชนผู้มีจิตศรัทธาในพระพุทธศาสนา.. ในกระแสสังคมยุคไอที ที่มีความเจริญอย่างรวดเร็วทางเทคโนโลยีชั้นสูง จนเข้าสู่ ยุควัตถุ AI ในปัจจุบัน ที่แสดงความเสมือนจริงให้สัมผัสได้ใกล้เคียงอย่างน่าศึกษายิ่ง
โครงการร้อยใจไทย สืบสานราชธรรม ทั้งแผ่นดิน น้อมอุทิศถวายเป็นพระราชกุศลแด่ “สมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง”
เจริญพรสาธุชนชาวไทยทุกหมู่เหล่า.. นับตั้งแต่วันที่ ๒๔ ตุลาคม ๒๕๖๘ เป็นต้นมา พสกนิกรไทยทุกหมู่เหล่า ได้พร้อมเพรียง.. ร่วมไว้อาลัยแด่การเสด็จสู่สวรรคาลัย ใน “สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง”
AI กับการสนับสนุนจากภาครัฐ ไม่ให้ใคร ถูกทิ้งไว้ข้างหลัง
เป็นที่ประจักษ์ชัดว่า ปัจจุบันเทคโนโลยี AI ( Artificial intelligence ) มีความสำคัญมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะในโลกของ”การศึกษา-การทำงาน”


