แก้วิกฤตการณ์สงฆ์.. ..ด้วยการคืนกลับสู่พระวินัย!!

เจริญพรสาธุชนผู้มีจิตศรัทธาในพระพุทธศาสนา หลากหลายเรื่องราวในกระแสสังคมที่ผลัดเปลี่ยนกันเกิดปรากฏดับสิ้นสลาย.. อย่างมิยอมหยุดพักให้ได้สงบใจนิ่งอยู่กับเรื่องใดเรื่องหนึ่งอย่างจริงจัง จึงส่งผลต่อสภาพจิตใจของหมู่ชนที่ถูกเกาะกุมด้วยกิเลสก่อเกิด ความฟุ้งซ่าน-ความหดหู่ใจ กันมากมาย

วิธีการแก้ไข โรคจิตฟุ้งซ่าน จึงต้องนิ่งสงบอยู่กับอารมณ์หนึ่งที่เป็นกุศล ด้วยการเจริญ ปัสสัทธิ สมาธิ และอุเบกขา (โดยการนำของ สติ..)

โรคจิตฟุ้งซ่าน ไม่ควรแก้ไขโดย การปรุงคิด .. คิดปรุง แม้จะเจริญ ธรรมวิจัย วิริยะ และปีติ ก็ไม่ควร.. พระพุทธองค์ทรงเปรียบดุจบุคคลต้องการดับไฟกองใหญ่ เขาจึงใส่หญ้าแห้ง ไม้แห้ง เอาปากเป่า.. เป็นต้น บุรุษนั้นยากที่จะดับไฟกองใหญ่นั้น

ในวิถีสังคมยุคไอที ที่หมู่ชนชอบเสพคบข่าวสารมากมายหลากหลายมิติ จึงเกิดภาวะจิตฟุ้งซ่านกันมาก ก่อเกิดภาวะจิตอ่อนแอ อ่อนไหว และเหลวไหล แสดงออกในเชิงไร้สาระเป็นปกติวิสัย ดังได้เห็นการสื่อสารเชิงลบ เป็นอกุศล อย่างไม่เกรงกลัวต่อผลการกระทำทุจริตทางวาจาและใจ ที่จะให้โทษคืนกลับเป็น บาปมหันต์ ก่อเกิดทุกข์โรคภัยต่างๆ นานา อย่างยากจะแก้ไข

นอกจากโรคจิตฟุ้งซ่านแล้ว ก็ยังมีอาการตรงกันข้ามที่แสดงโรคร้ายเช่นเดียวกัน ได้แก่ โรคจิตหดหู่ ซึมเศร้า.. ซึ่งโรคชนิดนี้ต้องอาศัย ธรรมวิจัย วิริยะ และปีติ เพื่อช่วยบำบัดอาการหดหู่ให้สิ้นไป ภายใต้การบังคับบัญชาของ สติ.. ซึ่งจะต้องทำหน้าที่เป็นหลัก.. ไม่ว่าจะบำบัดโรคจิตฟุ้งซ่านหรือจิตหดหู่ และ จะต้องเป็นสติในระดับโพชฌงค์ หมายถึง มีปัญญาควบคุมควบคู่อยู่กับสตินั้น.. ก่อเกิดภาวะ รู้เท่า-รู้ทัน สามารถพัฒนาจิตให้เข้าสู่คุณธรรมชั้นสูงได้

เรื่อง จิตฟุ้งซ่านและจิตหดหู่.. จึงเป็นปกติวิสัยในวิถีจิตของคนเราโดยทั่วไป แม้ในหมู่ พระปฏิบัติ ที่พยายามเพ่งเพียรอย่างยิ่งยวด ก็จะพบกับโรคดังกล่าวบ่อยครั้ง วันละหลายเวลา จนกว่าจะเกิด ภาวะรู้เท่าทันสภาพธรรมนั้นๆ มีปัญญารู้เห็นตามความเป็นจริงในสภาพจิตปรุงแต่ง ที่เรียกว่า จิตสังขาร สามารถแยกแยะ อารมณ์ออกจากจิตได้ จนเห็นความเกิด-ดับของตัวสังขารที่ไร้อัตตาตัวตนได้จริง ด้วยญาณ.. จนก่อเกิดปัญญาให้จิต ละ (ปล่อยวาง).. ซึ่ง ตัวละ นี้แหละ คือ หัวใจวิปัสสนาญาณแท้จริง!

สมัยหนึ่ง ได้เพ่งเพียรปฏิบัติอย่างหนักหน่วง ผสมผสานทั้งขบฉันอาหารพอเป็นยา และไม่เอนกายนอนทั้งกลางวันและกลางคืนในเขตวัดป่าบ้านเหล่า จ.เชียงราย ที่มีป่าช้าอยู่ด้านหลังวัด สมัยหลวงปู่ขานยังมีชีวิตอยู่...

การเพ่งเพียรอย่างหนัก ด้วยความตั้งใจมุ่งมั่น จนขาดมัชฌิมาปฏิปทา จึงเป็นเหตุให้จิตฟุ้งซ่านอุตลุดอยู่ในเขตป่าช้า ภาวะจิตใจสับสนวุ่นวายกับ ความรู้ที่เสพมามากและความหลากหลายในวิธีการปฏิบัติจากสำนักครูบาอาจารย์ต่างๆ.. จนเริ่มลังเลสงสัย (วิจิกิจฉา) ที่เคยมั่นใจก็ขาดความมั่นใจ.. สมาธิ ที่เคยปรากฏก็เริ่มกระจัดกระจายสูญหายไป

ต้องประสบกับสภาพหน้าเขียวหน้าเหลืองอยู่หลายวัน ยิ่งบีบเค้นด้วยศีล ข้อวัตร.. ก็ยิ่งส่งผลต่อภาวะจิต ให้เคร่งเครียดจนเริ่มหดหู่.. จึงเกิดความรู้สึกว่าคนเราที่จะบ้าก็คงเป็นเช่นนี้...

จะเปลี่ยนอิริยาบถเป็นเดินไป-เดินกลับ หรือจะนั่งจะยืน.. ก็ไม่หาย.. จะนอนก็ไม่หลับสนิท เพราะจิตไปติดอารมณ์ฟุ้งซ่าน-หดหู่.. จะหาสหธรรมิกมาพูดคุยก็ยาก เพราะแลดูส่วนใหญ่ก็จะฟุ้งซ่านไปตามวิสัยของแต่ละบุคคล ที่พยายามหลีกเลี่ยงอยู่ตามสถานที่ของตน เพื่ออาศัยความวิเวกดับความเร่าร้อนใจ...

ในคืนหนึ่ง เมื่อได้เวลาอันเหมาะควร จึงได้เดินทางเข้าสู่เขตป่าช้าด้านหลังวัด.. ที่สงบสงัดอยู่กับความมืดเพื่อเจริญภาวนา ตัดสินใจปล่อยวางความคิดความอ่านทั้งหมด.. ไม่ยึดติดกับวิธีการใดๆ ทำใจเป็นกลางๆ อยู่กับการเพ่งรู้อย่างสงบในเบื้องหน้าที่มีความวิเวกเป็นเครื่องเกื้อหนุน

การเจริญจิตที่ถูกทาง.. การปล่อยวางจิตเป็นกลางที่ถูกต้อง.. ไม่ไปหลงทึกทักว่า จิตเป็นกู กูเป็นจิต.. โดยรู้อยู่กับรู้.. รู้คือรู้.. รู้ไม่ใช่ความคิดนึกปรุงแต่ง.. เจริญสติ สัมปชัญญะ และความเพียรที่ถูกต้อง.. ที่สุด จิตจึงรวมลงเป็น หนึ่งรู้ที่สว่างไสว.. เห็นแจ่มแจ้งในสภาวธรรมที่ปรากฏอยู่เฉพาะหน้า..

อัศจรรย์แห่งธรรม.. ปรากฏเกิดขึ้นในคืนที่รู้จักฝึกฝนจิตให้รู้อยู่กับรู้.. ละความปรุงแต่งทั้งปวง.. ไม่รู้มาก.. ไม่คิดนึกมาก.. จึงได้ระลึกถึงคำกล่าวของ หลวงปู่ขาน ที่ท่านเทศน์ใส่หน้าว่า.. ไอ้รู้ปลอมๆ.. ไอ้สัญญาปลอมๆ!!” ..ว่า อ้อ! เป็นอย่างนี้เอง...

บนเส้นทางของความเพียร จึงต้องกลับมาศึกษาศีลของพระ ทั้งในพระปาติโมกข์และนอกพระปาติโมกข์ ซึ่งมีหลายอย่างที่ยังไม่ชัดเจน.. ยังเข้าใจไม่ถึงรากเหง้าของเจตนาแห่งศีลว่า ทำไม.. อย่างไร เพื่อประโยชน์ของการบำเพ็ญ สมณธรรม... ที่จะต้องยึดมั่นการปฏิบัติตามพระธรรมวินัย ด้วยการสำรวมในพระปาติโมกข์ ถึงพร้อมด้วยอาจาระและโคจร เห็นโทษในการล่วงสิกขาบทแม้เล็กๆ น้อยๆ และสมาทานศึกษาอยู่ในสิกขาบทน้อยใหญ่.. จะชื่อว่า เป็นผู้มีศีลบริสุทธิ์

อาจจะเป็นความโชคดีของชีวิต ที่เกิดมาพบกับหลวงตาในป่าช้าตั้งแต่วัยเด็ก.. ไม่จบประถมปีที่ ๔.. ซึ่งเป็น พระสุปฏิปันโนแท้จริง มีอาจาระและโคจรที่ถูกต้อง เคร่งครัดในพระธรรมวินัย บนกุฏิในป่าช้าที่หลวงตาเพ่งเพียรภาวนาอยู่เพียงรูปเดียว มีแต่กลดและเสื่อหนึ่งผืน พร้อมอัฐบริขาร นอกนั้นไม่มีอะไรเลย

จำได้ว่า ใต้กุฏิที่ทำด้วยไม้ไผ่สานมุงจากของหลวงตา มีก้อนหินวางพอเป็นเตาไว้หุงต้มน้ำร้อนที่ก่อด้วยไม้ฟืน.. รายรอบล้อมกุฏิของหลวงตาด้วยหลุมศพจำนวนมากมายทั้งเก่าและใหม่ โดยในทุกยามเย็นหลังเลิกเรียน อาตมาจะต้องไปกราบหลวงตา เพื่อรับคำสั่งสอน พร้อมทั้งเจริญอานาปานสติ..

ต่อมา ด้วยความใกล้ชิดและรักศรัทธาในปฏิปทาของหลวงตา จึงได้รับอนุญาตให้ติดตามไปยังพื้นที่ต่างๆ ตามป่าเขา ด้วยการเดินเท้าไปและกลับ นับเป็นประสบการณ์ที่แปลกและชื่นชอบมาก ต่อการได้เดินตามหลวงตาจาริกไปในพื้นที่ต่างๆ ในวันเสาร์-อาทิตย์

จึงได้เห็นปฏิปทาของหลวงตาในด้านต่างๆ ที่ยังจดจำไว้ในใจจนเป็นต้นแบบพระสงฆ์แท้จริงในพุทธศาสนา.. ไม่ว่าการไม่รับเงินทอง.. ไม่สั่งสมของมีค่าอื่นใดเกินสมณสารูป.. การไม่คลุกคลีกับหมู่คณะ.. การศึกษาปฏิบัติที่แตกฉานทั้งปริยัติ-ปฏิบัติของหลวงตา.. ที่เป็นที่ร่ำลือสรรเสริญน่าศรัทธาเลื่อมใส ทั้งในแวดวงพระสงฆ์และชาวบ้าน

ที่สำคัญยิ่ง การได้สัมผัสพลังจิตที่ศักดิ์สิทธิ์.. ญาณที่หยั่งรู้ไปในมิติต่างๆ อย่างพิสูจน์ได้จริง มีพรั่งพร้อมอยู่ในหลวงตา พระสุปฏิปันโนที่ควรแก่การกราบสักการะอย่างยิ่ง

ต้องนับเป็นความโชคดีอย่างยิ่งต่อการเริ่มต้นชีวิตที่ได้พบแสงสว่างอันสดใสนำทางและชี้ทางที่ถูกต้อง เพื่อการดำเนินชีวิตไปในภายภาคหน้า ซึ่งในวันนี้ เป็นผลมาจากวันนั้น ด้วยความมั่นใจว่า.. หากต้องการเป็นพระดี ต้องมีศีล...”

ความรู้-ความเข้าใจ.. ที่ไร้ศีล.. เสมือนอาวุธที่อยู่ในมือคนพาล.. นอกจากจะให้โทษต่อตนเองแล้ว ยังให้โทษต่อผู้อื่นด้วย.. นี่เป็นสัจธรรม!!

วันนี้ในแวดวงศาสนาบ้านเรา ที่ก่อเกิดความเสื่อมมากกว่าความเจริญ เพราะมีแต่พวกทุศีลจำนวนมาก..​ แม้ในแวดวงสงฆ์ จึงทำให้พระเราไม่สม่ำเสมอกัน.. ไม่เป็น เอกีภาวะ ไม่มีสีลสามัญญตา ด้วยไม่ตั้งใจปฏิบัติสิกขาบทอันมีในพระปาติโมกข์และนอกพระปาติโมกข์

การปฏิบัติที่ย่อหย่อน ไม่ถูกต้องตามความหมายแห่งพระวินัย ที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติ ทั้งนี้ เพราะความเข้าใจที่แตกต่างกัน การไม่เอาใจใส่.. จึงเกิดปรากฏแพร่หลายไปทั่วสังฆมณฑล.. เรียกว่า เข้าสู่ยุค วิกฤตแห่งพระวินัย!!

ดังปรากฏผล กรณีพระเถระชั้นพระสังฆาธิการ ฐานะพระราชาคณะ จำนวนมากประพฤติผิด.. ถึงขั้นปาราชิก.. ซึ่งไม่เคยปรากฏมากมายขนาดนี้... จนต้องอุทานในใจทุกครั้งที่พิจารณาเรื่องนี้ว่า.. ถึงเวลาหรือยังที่พระสงฆ์ควรสังคายนาในเรื่องพระวินัย.. ที่มีอธิกรณ์เกิดขึ้นมากมายและยังไม่ได้รับการชำระ.....!! เพื่อความอยู่ร่วมกันอย่างผาสุกของหมู่สงฆ์.. เพื่อยังให้เกิดความศรัทธาเลื่อมใสในหมู่มหาชนสืบตลอดไป!!.

เจริญพร

[email protected]

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

เมื่อคน.. สังคม! .. ไร้คุณค่าความเป็นมนุษย์.. ประเทศชาติหายนะ!!

เจริญพรสาธุชนผู้มีจิตศรัทธา.. คำว่า “ศรัทธา” ในพระพุทธศาสนา มีความหมายกินลึกลงไปมากกว่าความเชื่อโดยทั่วไป ด้วยต้องมีความรู้ความเข้าใจในคุณค่าของคุณสมบัติสิ่งนั้นๆ

สมดังเป็น .. “วีรกษัตรี มหาราชินี...” ของชาวไทย!!

เจริญพรสาธุชนผู้มีจิตศรัทธาในพระพุทธศาสนา.. โครงการร้อยใจไทย สืบสานราชธรรม ทั้งแผ่นดิน น้อมอุทิศถวายพระราชกุศลแด่ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง

“โมหมูลจิต” .. ..มูลเหตุของการถูกหลอกลวง โดย Scammer!

เจริญพรสาธุชนผู้มีจิตศรัทธาในพระพุทธศาสนา.. ในกระแสสังคมยุคไอที ที่มีความเจริญอย่างรวดเร็วทางเทคโนโลยีชั้นสูง จนเข้าสู่ ยุควัตถุ AI ในปัจจุบัน ที่แสดงความเสมือนจริงให้สัมผัสได้ใกล้เคียงอย่างน่าศึกษายิ่ง

โครงการร้อยใจไทย สืบสานราชธรรม ทั้งแผ่นดิน น้อมอุทิศถวายเป็นพระราชกุศลแด่ “สมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง”

เจริญพรสาธุชนชาวไทยทุกหมู่เหล่า.. นับตั้งแต่วันที่ ๒๔ ตุลาคม ๒๕๖๘ เป็นต้นมา พสกนิกรไทยทุกหมู่เหล่า ได้พร้อมเพรียง.. ร่วมไว้อาลัยแด่การเสด็จสู่สวรรคาลัย ใน “สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง”