เจริญพรสาธุชนผู้มีจิตศรัทธาในพระพุทธศาสนา.. เข้าสู่เทศกาลถวายผ้ากฐินประจำปี ๒๕๖๘ ระหว่างแรม ๑ ค่ำ เดือน ๑๑-ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๒ (๙ ตุลาคม-๕ พฤศจิกายน ๒๕๖๘) อันเป็นไปตามพุทธานุญาต จึงได้เห็นการเดินสายถวายผ้ากฐินของพุทธศาสนิกชนไปสู่วัดวาอารามต่างๆ ทั่วประเทศ.. นับเป็นคลื่นศรัทธามหาชนที่น่ายินดียิ่ง
การถวายผ้ากฐินนั้น.. เป็นพุทธานุญาตให้พระสงฆ์ที่จำพรรษาครบไตรมาส อยู่ในวัดวาอารามนั้นๆ สามารถรับการถวายผ้าจากญาติโยมผู้มีจิตศรัทธาเลื่อมใส เพื่อพระสงฆ์ในอาวาสนั้นๆ ที่มีคุณสมบัติถึงพร้อม สามารถรับผ้ากฐิน และนำไปทำการ กรานกฐิน ด้วยผ้าที่น้อมถวายได้ จึงเป็นเรื่องสำคัญยิ่งที่พระสงฆ์จะต้องเรียนรู้ปฏิบัติให้ถูกต้องตามพระธรรมวินัย
สำหรับการ ถวายผ้ากฐิน นั้น หัวใจสำคัญจึงอยู่ที่การถวายผ้า อันควรแก่การรับไปแล้ว ทำการ กรานกฐิน อันเป็นกระบวนการที่ต้องครบลักษณะ ๗ ประการ ได้แก่ การซัก การกะ การตัด การเนา การเย็บ การย้อม และ การทำพินทุ..
ส่วนบริวารใดๆ ของผ้ากฐินนั้น เป็นองค์ประกอบเพื่อการเสริมสร้างให้เกิดความสมบูรณ์ในการกรานกฐิน ไม่ว่าจะเป็นวัตถุสิ่งของใดๆ จนถึงการจัดหาปัจจัย เพื่อดูแลซ่อมแซม หรือจัดสร้างเสนาสนะต่างๆ ที่ควร โดยมักจะอาศัยเทศกาลถวายผ้ากฐินเป็นมูลเหตุในการกระทำ
...จึงทำให้เกิดการไขว้เขว สับสนอลเวง ในการให้ความสำคัญที่ผิดเพี้ยนไปจากการถวายผ้ากฐิน โดย กรรมการวัดที่ทำหน้าที่ช่วยถวายงานหลวงพ่อ หลวงตา หลวงอาทั้งหลาย มักจะยกเรื่องการแสวงหาปัจจัยมาเป็นเรื่องใหญ่ กล่าวป่าวประกาศเชิญชวน ว่าการถวายผ้ากฐินในปีนี้ จะต้องจัดหาปัจจัยจำนวนเท่านั้นเท่านี้ เพื่อจัดสร้างเจดีย์ อุโบสถ วิหาร กุฏิ.. ห้องน้ำ สระน้ำ ถนนหนทาง.. ในวัดวาอารามแห่งนั้นๆ.. จนมักจะลืมให้ความสำคัญกับการถวายผ้ากฐิน... ที่ว่าด้วยเรื่องของ ผ้าเพื่อนำมาตัดเย็บเป็นจีวร (ผ้ากฐิน)
ยิ่งหลวงตา หลวงปู่ หลวงพ่อ.. ออกมาร่วมด้วยช่วยกันป่าวร้องว่า.. “ถวายผ้ากฐินปีนี้ของวัดเรา จะต้องจัดหาปัจจัยเท่านั้นเท่านี้ เพื่อจัดสร้างเสนาสนะ..” จึงยิ่งเร่งปลุกเร้าใจญาติโยมให้ร่วมกันจัดทำต้นกฐินติดเงินทองมาถวายวัด ที่เรียกว่า “พุ่มกฐิน” ..
จึงนำไปสู่การจัดหาเงินทองมาจัดทำเป็น “ต้นกฐิน” หรือ “พุ่มกฐิน” มากกว่าการให้ความรู้ ความเข้าใจ ในความสำคัญของ ผ้ากฐิน ตามพุทธานุญาต ที่ค่อยๆ ด้อยค่าลงไป จนเกือบจะไร้ความสำคัญในการจัดถวาย ดังที่วัดทั้งหลายนิยมป่าวร้องกันว่า .. “ในปีนี้ วัดของเราได้เงินทองจากการทอดกฐินมาจำนวนเท่านั้นเท่านี้บาท...” ซึ่งถ้าวัดไหนมีลูกศิษย์ลูกหามาก สามารถระดม ต้นกฐิน เข้ามาได้เยอะ ยอดกฐิน ก็จะสูงตามเป้าหมาย.. จึงได้เห็นการออกแบบต้นกฐินสูงๆ ต้นละหลายหมื่นหลายแสนบาท.. หรือว่ากันเป็นล้านบาทต่อต้น ก็เคยปรากฏ...
ต้นกฐิน .. พุ่มกฐิน .. และยอดกฐิน จึงเป็นส่วนงอกเพิ่มเติมมาจาก การถวายผ้ากฐิน โดยมีท่าทีว่า จะมีบทบาทสำคัญยิ่งไปกว่า การถวายผ้ากฐินตามพุทธานุญาต โดยเฉพาะเมื่อมีการสร้างค่านิยมในการวัดบารมี หลวงปู่.. หลวงพ่อ.. วัดนั้นๆ ด้วย ยอดกฐิน คือ จำนวนปัจจัยเงินทองที่คณะญาติโยมจัดหาถวายเป็นบริวารกฐิน...
เรื่องของเรื่อง.. จึงกลายเป็นไม่ได้เรื่อง.. เมื่อผู้เกี่ยวข้องทั้งฝ่ายผู้ถวายและผู้รับได้แสดงเจตนาที่ผิดเพี้ยนไปจากพระธรรมวินัย ที่ทำให้ การถวายหรือการรับผ้ากฐินนั้นเป็นโมฆะ ไปโดย โมหะจิต
และน่าพิจารณายิ่งเมื่อ การถวายผ้ากฐิน.. และ/หรือการรับผ้ากฐิน.. นั้น เป็นไปอย่าง หลอกลวง-ลบหลู่ หรือ ไร้ความใส่ใจในความสำคัญของพระธรรมวินัย
จึงปรากฏอาบัติหรือบาปเกิดขึ้นมาแทน อานิสงส์ผลบุญที่ควร ด้วยการกระทำในสิ่งที่ห้ามไว้และไม่กระทำตามสิ่งที่อนุญาตไว้ตามพระธรรมวินัย ดังเช่น การรับเงินทอง.. การใช้ให้ผู้อื่นรับ หรือการผูกใจยินดีที่มีผู้รับเงินทองแทนตน.. ซึ่งมีพุทธบัญญัติห้ามกระทำ ดังมีการปรับอาบัติอย่างชัดเจน
ผู้รู้จึงกล่าวไว้ว่า.. สิ่งที่น่ากลัวเกรงของพระสงฆ์.. สิ่งที่ควรระมัดระวังในการกระทำของญาติโยม คือ การกระทำที่ผิด.. หรือส่งเสริมมีส่วนให้เกิดการกระทำที่ผิดของทั้งสองฝ่าย ที่ร่วมสมคบกัน ก่อการกระทำที่นำไปสู่การบั่นทอนทำลายพระธรรมวินัย (พระพุทธศาสนา) ให้ตั้งอยู่ได้ไม่นาน ... ด้วยความโง่เขลาเบาปัญญาของผู้ที่อ้างว่าเป็นบริษัทในพระพุทธศาสนา
การถวายผ้ากฐิน พร้อมบริวาร.. ที่ไม่ใช่บริขารอันควรในการสนับสนุนการกรานกฐิน โดยเฉพาะการแทรกเรื่องเงินทองของมีค่า ที่ห้ามพระภิกษุ รับ.. ใช้ให้รับ หรือยินดีในการมีผู้รับไว้ให้.. จึงเป็นอันตรายสถานเดียวต่อการประพฤติพรหมจรรย์ของพระสงฆ์ ไม่มีส่วนดีเลยแม้เล็กน้อย..ดังที่นิยมกันอย่างยิ่งในสังคมศาสนาแบบฉบับบ้านเรา ที่มักจะกล่าวถวายผ้ากฐินว่า..
“ขอถวายผ้ากฐินผืนนี้ เพื่อพระสงฆ์จะได้รับไปกรานกฐิน ตามวินัยนิยมบรมพุทธานุญาต พร้อมบริวารทั้งหลาย อันมีปัจจัยที่ร่วมถวายจำนวน...บาท .. ขอพระสงฆ์ได้โปรดรับ เพื่อประโยชน์และความสุขของข้าพเจ้าทั้งหลาย...” ซึ่ง หากพระสงฆ์สาธุการรับ... ก็สามารถปรับอาบัติได้ทันทีในบัดนั้น ...
การกล่าวถวายผ้ากฐิน พร้อมปัจจัยเงินทองที่ระบุยอดจำนวนเงิน.. ที่เรียกว่า ยอดกฐิน จึงนำไปสู่ความฉิบหายของผู้รับส่วนเดียว.. และไม่เป็นบุญกุศลของผู้ถวาย ที่ไม่รู้จักวิธีการถวายอันควรในวัดนั้นๆ ตามพระธรรมวินัย อันหมายถึง.. แม้ผู้ถวายมีเจตนาดี แต่กระทำการถวายด้วยวัตถุต้องห้าม.. แด่พระสงฆ์ จึงเปรียบเสมือนการถวายยาพิษให้ขบฉันดื่มกิน.. ซึ่งย่อมเป็นการกระทำที่เป็นโทษ.. กล่าวสรุปได้ว่า หากกล่าวถวายผ้ากฐิน ผูกมากับเงินทองเป็นบริวาร ที่ระบุยอดเงินชัดเจน ว่า ขอพระสงฆ์ได้โปรดรับ... ซึ่งแค่เพียงพระสงฆ์กล่าว สาธุการ .. ก็ย่อมเอวังด้วยอาบัตินิสสัคคีย์ปาจิตตีย์.. อย่างไม่ควรกระทำเลย..
ดังนั้น การถวายผ้ากฐินประวัติศาสตร์ครั้งแรกของชาวพุทธในอินเดีย ณ นครปูเน่ รัฐมหาราษฎระ อันเป็นสถานที่ตั้งพุทธมหาวิหาร ชื่อ "Dhamma Vinaya Monastery of Pune in India" .. (DVMP มหาวิหาร) ... ซึ่งชาวอินเดียร่วมสร้างถวายอย่างใหญ่โต ด้วยการสนับสนุนของรัฐบาลท้องถิ่นรัฐมหาราษฏระ.. จึงมุ่งเน้นการถวายผ้ากฐิน.. โดยมิให้มีมลทิน อันเกิดจากการแปรเปลี่ยนไปจากพระธรรมวินัย เพื่อวางรากฐานพระพุทธศาสนาให้ชาวพุทธในอินเดียได้เรียนรู้และปฏิบัติอย่างถูกต้อง ตรงตามเจตนาของพระธรรมวินัยในเรื่องการถวายผ้ากฐิน... อันเป็น สังฆทาน ประเภท กาลทาน ที่มีความเป็นเฉพาะในการประกอบ วินัยกรรม.. (ญัตติทุติยกรรม)
การถวายผ้ากฐินประวัติศาสตร์ บนแผ่นดินเกิดพระพุทธศาสนา ที่ นครปูเน่ รัฐมหาราษฏระ อินเดีย ที่มีชาวอินเดียมา ร่วมงาน ๓-๔ พันคน จึงเป็นไปอย่างควรยินดี โดยเน้นการให้ความรู้ถึงความสำคัญของการถวายและการรับผ้ากฐินตามพุทธานุญาต.. โดยเฉพาะการได้เห็นการดำเนินการ กรานกฐิน ตามพระวินัยทุกขั้นตอน ตั้งแต่การกระทำสังฆกรรม เพื่อรับผ้าและมอบผ้าให้กับพระภิกษุรูปที่กรานกฐิน.. ไปจนถึงกระบวนการกรานกฐินด้วยการ ซัก กะ ตัด เนา เย็บ ย้อม และพินทุ.. โดยเมื่อสำเร็จเรียบร้อยด้วยการทำจริงๆ ให้ดูทุกขั้นตอน จึงได้มีการกรานกฐินด้วยการจัดทำ ผ้าสบง (อันตรวาสก) ที่เสร็จสิ้นก่อนบ่าย ๔ โมงเย็น จึงได้เห็นพระสงฆ์ประชุมกันอีกครั้ง เพื่อทำการเสนอ.. และอนุโมทนาผ้ากฐินที่กรานกฐินเสร็จสิ้นสมบูรณ์ด้วยดีแล้วนั้น อันเป็นไปตามพระวินัยนิยมบรมพุทธานุญาตทุกประการ โดยมีการบรรยายเป็นภาษาอังกฤษ มารตี ให้ชาวอินเดียจำนวนมากที่รอเฝ้าดูอย่างใส่ใจในทุกขั้นตอน ได้รับฟัง รับรู้.. รับทราบ และได้มีส่วนร่วม อนุโมทนากับคณะสงฆ์ ที่มีทั้งภิกษุชาวไทยและอินเดีย อันนำไปสู่ความปีติยินดีกันถ้วนหน้า ในการได้รับความรู้ที่ถูกต้องตาม พระธรรมวินัย ไว้ในดวงใจไปตลอดกาล... จึงได้เห็นอาการแห่งปีติสุขของมหาชนชาวอินเดียจำนวนมาก ที่ได้สัมผัสถึงเนื้อแท้ พระพุทธศาสนา.. ในการถวายผ้ากฐิน ให้เกิดความศรัทธายิ่ง.. จนกล่าวเรียกร้องขอให้อยู่จำพรรษาในปีหน้าและปีต่อๆ ไป เพื่อพวกเขาจะได้รู้ ได้เห็น พระธรรมคำสั่งสอนที่ถูกต้อง.. ไม่ปลอมปน.. เพื่อการเข้าถึงแก่นธรรมแท้จริงในพระพุทธศาสนา.. ดังที่ปรากฏในวันถวายผ้ากฐินที่ ๑๑ ตุลาคม ๒๕๖๘ ณ DVMP มหาวิหาร.. ซึ่งได้มีการเผยแพร่ภาพเสียงไปทั่วโลกด้วยอิทธิพลของเทคโนโลยีไอที..!!.
เจริญพร
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ร้ายกว่าวิกฤตการณ์ธรรมชาติ ..ภัยมนุษย์ .. ขาดศีลธรรม!!
เจริญพรสาธุชนผู้มีจิตศรัทธาตั้งมั่นในพระพุทธศาสนา...
เมื่อคน.. สังคม! .. ไร้คุณค่าความเป็นมนุษย์.. ประเทศชาติหายนะ!!
เจริญพรสาธุชนผู้มีจิตศรัทธา.. คำว่า “ศรัทธา” ในพระพุทธศาสนา มีความหมายกินลึกลงไปมากกว่าความเชื่อโดยทั่วไป ด้วยต้องมีความรู้ความเข้าใจในคุณค่าของคุณสมบัติสิ่งนั้นๆ
สมดังเป็น .. “วีรกษัตรี มหาราชินี...” ของชาวไทย!!
เจริญพรสาธุชนผู้มีจิตศรัทธาในพระพุทธศาสนา.. โครงการร้อยใจไทย สืบสานราชธรรม ทั้งแผ่นดิน น้อมอุทิศถวายพระราชกุศลแด่ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง
“โมหมูลจิต” .. ..มูลเหตุของการถูกหลอกลวง โดย Scammer!
เจริญพรสาธุชนผู้มีจิตศรัทธาในพระพุทธศาสนา.. ในกระแสสังคมยุคไอที ที่มีความเจริญอย่างรวดเร็วทางเทคโนโลยีชั้นสูง จนเข้าสู่ ยุควัตถุ AI ในปัจจุบัน ที่แสดงความเสมือนจริงให้สัมผัสได้ใกล้เคียงอย่างน่าศึกษายิ่ง
โครงการร้อยใจไทย สืบสานราชธรรม ทั้งแผ่นดิน น้อมอุทิศถวายเป็นพระราชกุศลแด่ “สมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง”
เจริญพรสาธุชนชาวไทยทุกหมู่เหล่า.. นับตั้งแต่วันที่ ๒๔ ตุลาคม ๒๕๖๘ เป็นต้นมา พสกนิกรไทยทุกหมู่เหล่า ได้พร้อมเพรียง.. ร่วมไว้อาลัยแด่การเสด็จสู่สวรรคาลัย ใน “สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง”
AI กับการสนับสนุนจากภาครัฐ ไม่ให้ใคร ถูกทิ้งไว้ข้างหลัง
เป็นที่ประจักษ์ชัดว่า ปัจจุบันเทคโนโลยี AI ( Artificial intelligence ) มีความสำคัญมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะในโลกของ”การศึกษา-การทำงาน”


