เจริญพรสาธุชนผู้มีจิตศรัทธาตั้งมั่นในพระพุทธศาสนา... ในห้วงเวลาที่สังคมประเทศชาติต้องขับเคลื่อนผ่านวิกฤตการณ์ต่างๆ นานา ทั้งที่มาจากสาเหตุจากภัยธรรมชาติ.. ภัยจากมนุษย์ และภัยจากธรรมชาติและมนุษย์ สิ่งสำคัญที่สุดในยามนี้ ได้แก่ การมีศีลหรือวินัยเป็นหลักชีวิต และการดำรงตนอย่างมี ทมะ และ อุปสมะ..
คำว่า ทมะ แปลว่า การฝึกตน ข่มจิต รักษาใจ รู้จักฝึกหัดนิสัย แก้ไขข้อบกพร่อง ปรับปรุงตนให้เจริญก้าวหน้าด้วยสติปัญญา Training and Training Oneself or Self-Development
คำว่า.. อุปสมะ แปลว่า ความสงบ คือ การระงับโทษข้อขัดข้องมัวหมองวุ่นวาย อันเกิดจากกิเลสทั้งหลาย แล้วทำจิตใจให้สงบได้... หรือ Peace or Tranquility..
ครั้งหนึ่ง พระพุทธเจ้า ทรงยกธรรมทั้งสอง ได้แก่ ทมะ และ อุปสมะ เพื่อชื่นชมพระปุณณะ ที่จะเดินทางไปเพียรภาวนาโดยลำพังด้วยจิตใจที่เด็ดเดี่ยว มุ่งพระนิพพาน ณ สุนาปรันตชนบท ดินแดนที่ถูกกล่าวว่า พวกมนุษย์ดุร้ายหยาบคายนัก โดยตรัสถามพระปุณณะเป็นข้อๆ ตั้งแต่ ถ้าชาวบ้านชาวเมืองสุนาปรันตะ เขาด่าว่า.. เขาตบตีด้วยมือ.. ทุบตีด้วยท่อนไม้.. ทำร้ายร่างกายด้วยศาสตรา และเข่นฆ่าด้วยอาวุธของมีคม.. จักคิดการแก้ไขอย่างไร..?!
..โดย พระปุณณะ ได้กราบทูลตอบไปเป็นข้อๆ ในใจความว่า.. “ชาวสุนาปรันตะ เจริญหนอ.. เจริญดีหนอ.. ที่กระทำเพียงแค่ด่าว่า.. ไม่ทุบตีด้วยมือ.. แค่เพียงทุบตี ไม่ขว้างปาด้วยก้อนดิน.. ไปจนถึง แม้จะถูกฆ่าจนเสียชีวิต ก็จะคิดว่า...
..พระอริยสาวกทั้งหลายในพระผู้มีพระภาคเจ้า อึดอัดระอา เกลียดชัง อยู่ด้วยกายและชีวิต ย่อมแสวงหาศาสตราสำหรับปลงชีวิตเสียมีอยู่..
..ศาสตราที่จะปลงชีวิตที่เราแสวงหาอยู่นั้น เราได้แล้ว...!!”
พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงชื่นชมปฏิปทาของ พระปุณณะ โดยกล่าวว่า.. “ดีละๆ ปุณณะ เธอประกอบด้วยทมะและอุปสมะเช่นนี้ จักอาจอยู่ในสุนาปรันตชนบทได้” .. และทรงกล่าวอนุญาตว่า.. “บัดนี้ เธอพึงรู้กาลอันควรไปได้..” ซึ่งต่อมาปรากฏว่า พระปุณณะ สามารถสั่งสอนให้ ชาวสุนาปรันตะ ที่ถ่อยเถื่อน มีสันดานพาล เข้าถึงพระรัตนตรัย แสดงตนเป็น อุบาสกประมาณ ๕๐๐ คน.. และพระปุณณะได้เพียรภาวนาจนบรรลุถึงซึ่งพระนิพพาน.. สำเร็จเป็นพระอรหันตสาวกในพระพุทธศาสนา!
เรื่องราวของ พระปุณณะแห่งสุนาปรันตชนบท ดินแดนที่ดั้งเดิมเกลื่อนไปด้วยคนถ่อยเถื่อน ดุร้าย หยาบคาย จึงถูกบันทึกไว้ในพระไตรปิฎก ให้อนุชนทั้งหลายในสมัยต่อมาถึงปัจจุบันได้ศึกษา เพื่อเป็นแบบอย่างของ นักต่อสู้.. เพื่อการพัฒนาชีวิตให้บรรลุถึงจุดมุ่งหมายอันประเสริฐสุด ที่จะต้องประกอบตนอยู่ด้วย ทมะ และ อุปสมะ.. ที่สะท้อนให้เห็นถึงจิตใจของผู้เจริญแล้ว เมื่อประสบกับภัยอันตรายใดๆ จะไม่ตระหนกตื่นตกใจ.. เอะอะโวยวาย อย่างคนเสียสติ จนนำไปสู่การปลุกเร้าให้จิตใจมีสันดานหยาบช้า.. นึกคิดแต่จะทำร้าย.. ทำลาย เพื่อให้ได้มาตามต้องการ.. เพื่อสนองตอบสันดานเลวทรามที่จะชักนำไปสู่การพูดกล่าวในทางหยาบช้าสามานย์ กระทำการอย่างทุรชน.. ไม่เกรงกลัวต่อบาปกรรม.. ดังปรากฏแพร่หลายในสังคมปัจจุบัน ที่นิยมการจองเวรจองกรรม.. การต่อสู้เชิงทำลายทำร้าย.. การคิดอ่านแต่อุบายวิธีที่อุบาทว์จัญไร เพื่อการกระทำให้ได้มา.. ด้วยอำนาจอกุศลจิต.. บาปจิต ที่เกิดจาก ความเพ่งเล็งอยากได้ของผู้อื่น (อภิชฌา) คิดร้ายต่อผู้อื่น (พยาบาท) และความเห็นผิดจากคลองธรรม (มิจฉาทิฏฐิ)
อกุศลธรรม ๓ ประการที่กล่าว หากเกิดปรากฏในสังคมใด ย่อมจักสะท้อนให้เห็นถึงความเสื่อมทรามของคนในสังคมประเทศชาตินั้นๆ.. ที่จะนำไปสู่ความเสื่อมถอยในอายุ วรรณะ.. ดังปรากฏหลักธรรมคำสั่งสอนใน จักรวรรดิสูตร กล่าวไว้ว่า... เมื่อสมัยที่มนุษย์มีอายุขัย ๒,๕๐๐ ปี อภิชฌา (ความอยากได้ของผู้อื่น) และ พยาบาท (ความปองร้าย/ความคิดร้าย) แพร่หลายในหมู่คนชาวโลกยุคนั้น จึงทำให้พวกเขามีอายุเสื่อมถอย.. มีวรรณะเสื่อมถอย เป็นเหตุให้บุตรของคนในยุคนั้น ต่อมามีอายุขัยถอยลงเหลือ ๑,๐๐๐ ปี และเมื่อ มิจฉาทิฏฐิ (ความเห็นผิด) แพร่หลาย.. จึงทำให้เกิดความเสื่อมในอายุ.. ในวรรณะ ให้มนุษย์สมัยต่อมามีอายุขัยเหลือเพียง ๕๐๐ ปี..
..และเมื่อมนุษย์มีอายุขัยเหลือเพียง ๕๐๐ ปี ธรรม ๓ ประการ ย่อมเกิดขึ้น คือ ๑) อธรรมราคะ ได้แก่ ความกำหนัดที่ผิดธรรม.. คือ ความกำหนัดในบุคคลที่ไม่สมควรกำหนัด ๒) วิสมโลภะ ได้แก่ ความโลภจัด.. ความโลภที่รุนแรง.. โลภไม่เลือก ๓) มิจฉาธรรม คือ ความกำหนัดด้วยอำนาจความพอใจผิดธรรมดา หมายถึง ความกำหนัดที่ผู้ชายมีต่อผู้ชาย และที่ผู้หญิงมีต่อผู้หญิง..
ความแพร่หลายของธรรม ๓ ประการดังกล่าว มีสาเหตุมาจากมิจฉาทิฏฐิเป็นมูลเหตุที่สืบเนื่องมา.. ซึ่งในสังคมคลั่งไคล้วัตถุนิยมอย่างรุนแรงในปัจจุบัน จะพบเห็นได้มากในการแสดงออกถึงความกำหนัดที่ผิดธรรม ถูกความโลภครอบงำ ประกอบด้วย มิจฉาธรรม จึงไม่แปลกหากจะมีการล้มตายจำนวนมากของหมู่มนุษย์ที่เกิดขึ้นจากวิกฤตการณ์ต่างๆ นานา.. ทั้งจากธรรมชาติ และ/หรือมนุษย์ด้วยกันทำลาย
จึงได้เห็นผลแห่งความสืบเนื่องในสมัยของความเสื่อมปรากฏตามลำดับ เมื่อหมู่มนุษย์พันธุ์ใหม่ เริ่มไม่เกื้อกูลพ่อแม่.. ไม่เกื้อกูลสมณะ.. ไม่เกื้อกูลผู้ประพฤติธรรม และไม่ประพฤติอ่อนน้อมต่อผู้ใหญ่ทั้งในตระกูลและสังคม จนนำไปสู่ความเสื่อมในอายุ.. ในวรรณะ ให้คนเรามีอายุขัยเหลือเพียง ๑๐๐ ปี.. และต่ำกว่าร้อยไปตามลำดับ มีการประพฤติที่ต่ำทรามมากขึ้น.. จากอำนาจ มิจฉาทิฏฐิ ที่นำไปสู่ มิจฉาธรรม... ที่นำไปสู่การสูญหายไปของพืชพรรณธัญญาหารชั้นดี กล่าวว่า.. แม้เนยใส เนยข้น น้ำมัน น้ำผึ้ง น้ำอ้อย และเกลือ ก็จักหายไปในสมัยที่มนุษย์มีอายุขัยเหลือเพียง ๑๐ ปี ที่กุศลกรรมบถ คือ การกระทำความดี ทางกาย วาจา ใจ ก็จักสูญสิ้นไป.. กล่าวโดยสรุป คือ การสูญสิ้นเผ่าพันธุ์มนุษย์ที่มีคุณความดี.. มีศีลธรรม
ดังมีคำกล่าวว่า.. “ศีลธรรมไม่กลับมา โลกาจะพินาศ..” อันหมายถึง ความวุ่นวายไร้ความสงบจะเกิดขึ้นในสังคมมนุษยชาติ ที่หมู่ชนมีจิตใจเต็มไปด้วยความอาฆาตพยาบาท ความพยาบาทอันแรงกล้า.. มีความคิดร้ายแห่งใจอันแรงกล้า แม้ในครอบครัวเดียวกัน ระหว่างพ่อแม่และลูก.. และระหว่างพี่กับน้อง.. จึงไม่ต้องกล่าวถึงการกระทำต่อคนอื่นๆ แม้จะเป็นญาติมิตร..
ในห้วงเวลาดังกล่าว ที่มนุษย์มีอายุขัย ๑๐ ปี จึงเกิด “สัตถันตรกัป” ขึ้น เป็นอันตรกัปพินาศเพราะศาสตรา ซึ่งเป็น หนึ่งในสามอันตรกัป ที่เรียกรวมลงใน สังวัฏฏกัป คือ กัปเสื่อม หรือกัปพินาศ โดยอีกสองกัป ได้แก่ ทุพภิกขันตรกัป (กัปพินาศเพราะข้าวยากหมากแพง) และ โรคันตรกัป (กัปพินาศเพราะโรค) แต่ที่เป็นที่สุดแห่ง กัปฉิบหาย หรือ กัปพินาศ คือ สัตถันตรกัป ที่มนุษย์ด้วยกันจะใช้ศาสตราฆ่าฟันกัน ด้วยความเข้าใจว่า.. คนเราเหมือนสัตว์เดรัจฉานตัวหนึ่ง.. ดังกล่าวว่า “นี้เป็นเนื้อ.. นี้เป็นเนื้อ”
เรื่องดังกล่าวมิได้ไกลเกินจริง.. หากพิจารณาถึงสภาพสังคมมนุษย์ในปัจจุบัน ที่เกลื่อนกลาดไปด้วย กำลังฝ่ายมิจฉาทิฏฐิ.. ประกอบทุจริต ก่อเกิดอาชญากรรมจำพวก สแกมเมอร์ (Scammer).. คอลเซ็นเตอร์ (Call center) .. การพนันออนไลน์.. และหลากหลายทุจริตวิธีหลอกลวงต้มตุ๋น เพื่อให้ได้มาซึ่งทรัพย์สินของผู้อื่นด้วย วิสมโลภะ หนึ่งในสามของธรรมอกุศล ที่ประกอบร่วมกับ มิจฉาธรรม และ อธรรมราคะ เป็นปัจจัย.. จึงเกิดการกระทำการฉ้อโกง ทุจริตคอร์รัปชัน มากขึ้น.. โดยเฉพาะการหลอกลวงด้วยเครื่องมือเทคโนโลยีโดยนานาวิธี.. ทั้งนี้ เพราะความเห็นผิดเป็นชอบครอบงำจิตใจ มีความเชื่อว่า บาปไม่มี บุญไม่มี นรก..สวรรค์ไม่มี.. ทำดีไม่ได้ดี.. ทำชั่วกลับได้ดี จึงละทิ้งศีลธรรม.. ไร้ความเกรงกลัวต่อบาปกรรม.. ดังปรากฏข่าวเน่าๆ ในหมู่ข้าราชการทุจริต จากกระทรวง กรม กอง สำนักงานต่างๆ.. ที่วันนี้ยังไม่มีใครรับผิดชอบเหลียวแลจัดการให้เด็ดขาด..
โดยเฉพาะการแพร่หลายใน การใช้อำนาจทางกฎหมายที่ได้มาโดยกฎหมาย อย่างผิดกฎหมาย.. ไร้ธรรม.. ไม่เคารพธรรม ของกลุ่มแก๊งการเมืองทั้งหลาย จนระบบราชการ ข้าราชการ เจ้าหน้าที่ในภาคส่วน ฯลฯ.. เริ่มเดินเข้าสู่โหมดความล้มเหลว ด้วยการไม่เคารพในฐานะหน้าที่ของตน.. จากอิทธิพลทางการเมืองของกลุ่มแก๊งต่างๆ ที่แฝงอำนาจเถื่อนอยู่ในอำนาจรัฐ.. ประเทศชาติจึงเดินเข้าสู่ รัฐล้มเหลว.. ข้าราชการ เสื่อมโทรม.. ประชาชน เสื่อมถอย.. จากศีลธรรม ที่สะท้อนวิกฤตการณ์.. วิบัติธรรม คืนกลับสู่ สังคมประเทศชาติ ที่ยากจะหลีกเลี่ยงการรับผลกรรมนั้น.. อันเกิดขึ้นใน ระบบประชาธิปไตยที่ไร้ราชธรรม.. (ธรรมของผู้ปกครองแผ่นดิน)... ที่สาธุชนควรศึกษาให้รู้เห็นตามความเป็นจริงต่อไป!!.
เจริญพร
dhamma_araya@hotmail.com
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
เมื่อคน.. สังคม! .. ไร้คุณค่าความเป็นมนุษย์.. ประเทศชาติหายนะ!!
เจริญพรสาธุชนผู้มีจิตศรัทธา.. คำว่า “ศรัทธา” ในพระพุทธศาสนา มีความหมายกินลึกลงไปมากกว่าความเชื่อโดยทั่วไป ด้วยต้องมีความรู้ความเข้าใจในคุณค่าของคุณสมบัติสิ่งนั้นๆ
สมดังเป็น .. “วีรกษัตรี มหาราชินี...” ของชาวไทย!!
เจริญพรสาธุชนผู้มีจิตศรัทธาในพระพุทธศาสนา.. โครงการร้อยใจไทย สืบสานราชธรรม ทั้งแผ่นดิน น้อมอุทิศถวายพระราชกุศลแด่ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง
“โมหมูลจิต” .. ..มูลเหตุของการถูกหลอกลวง โดย Scammer!
เจริญพรสาธุชนผู้มีจิตศรัทธาในพระพุทธศาสนา.. ในกระแสสังคมยุคไอที ที่มีความเจริญอย่างรวดเร็วทางเทคโนโลยีชั้นสูง จนเข้าสู่ ยุควัตถุ AI ในปัจจุบัน ที่แสดงความเสมือนจริงให้สัมผัสได้ใกล้เคียงอย่างน่าศึกษายิ่ง
โครงการร้อยใจไทย สืบสานราชธรรม ทั้งแผ่นดิน น้อมอุทิศถวายเป็นพระราชกุศลแด่ “สมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง”
เจริญพรสาธุชนชาวไทยทุกหมู่เหล่า.. นับตั้งแต่วันที่ ๒๔ ตุลาคม ๒๕๖๘ เป็นต้นมา พสกนิกรไทยทุกหมู่เหล่า ได้พร้อมเพรียง.. ร่วมไว้อาลัยแด่การเสด็จสู่สวรรคาลัย ใน “สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง”
AI กับการสนับสนุนจากภาครัฐ ไม่ให้ใคร ถูกทิ้งไว้ข้างหลัง
เป็นที่ประจักษ์ชัดว่า ปัจจุบันเทคโนโลยี AI ( Artificial intelligence ) มีความสำคัญมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะในโลกของ”การศึกษา-การทำงาน”
จาก ม.144 ถึง ม.157: บทพิสูจน์พลังภาคประชาชนในวันที่ศรัทธาต่อระบบลดลง
ประเด็นร้อนที่สังคมติดตามอย่างใกล้ชิด ต้องตกตะลึงแก่ฝ่ายผู้ร้อง และภาคประชาชน เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2568 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช.


