เจริญพรสาธุชนผู้มีจิตศรัทธาในพระพุทธศาสนา... มีคำกล่าวว่า.. สันติภาพ.. ไม่ใช่ภาวะที่ได้มาโดยง่าย.. แต่ต้องอาศัยการเตรียมพร้อมอย่าง มีสติและการกระทำอันถูกตรงธรรมอย่างกล้าหาญ..
..เมื่อเกิด สงคราม ก็ต้องรบอย่างมี กลยุทธ์
..เมื่อ ยามสงบ ก็ต้องตั้งมั่นพร้อมอย่างมี สติ สัมปชัญญะ และวินัย.. ดำรงอยู่ในความปกติสุข
คำว่า รักสงบ ในอาการของ ความสงบสุข จึงเป็นความหมายของการตั้งมั่นอย่างมีสติ เพื่อตื่นรู้อยู่เสมอ รวมความลงที่ สติเป็นเครื่องตื่นในโลก เพื่อการประกอบตนอย่างมีวินัย ด้วยจิตใจที่มีเมตตากรุณา.. มีความเสียสละเพื่อส่วนรวม
เมื่อนำคำว่า รักสงบ.. มาสนธิกับ.. ถึงรบไม่ขลาด เพื่อเน้นให้เห็นเด่นชัดว่า สันติภาพ มิได้เกิดขึ้นหรือได้มาจากความหวาดกลัว.. แต่จะต้องได้มาด้วย ความกล้าหาญ อย่างมีวินัย ที่กำกับด้วย สติปัญญา .. จึงจะนำไปสู่ชัยชนะเหนือมารทั้งปวง เพื่อ สันติภาพโดยธรรม.. ได้จริง
ดังในหมู่ประชาคมโลก ไม่ว่าชาติใด ภาษาใด ล้วนต้องการความสงบสุข และต่างเรียกร้องเรียกหา สันติภาพ แต่เป็นเรื่องที่แปลก เพราะแม้ว่าสัตว์โลก ไม่ว่าจะเป็น เทพยดา มนุษย์ อสูร นาค คนธรรพ์ และสัตว์เหล่าอื่นอีกจำนวนมากในโลกนี้ ซึ่งล้วนแต่ปรารถนาความสงบสุข.. ไม่มีใครต้องการก่อเวร เบียดเบียน ทำร้ายทำลายกัน เป็นศัตรูกัน.. แต่กลับก่อเวรภัยให้กันและกัน.. จนมีแต่ความเดือดร้อน มีแต่ความทุกข์ ไร้ความสงบสุข
พระพุทธองค์ ได้ทรงวิสัชนาปัญหาดังกล่าว จากการกราบทูลถามโดย ท้าวสักกเทวราช ไว้ว่า...
“..แม้พวกเทพยดา มนุษย์ อสูร นาค คนธรรพ์ และสัตว์ทั้งหลาย ในโลกนี้ จะปรารถนาความสงบสุข.. ไม่ปรารถนาความเดือดร้อน.. ความทุกข์ โดยกล่าวว่า.. ขอพวกเรา จงเป็นผู้ไม่มีเวร จงเป็นผู้ไม่ถูกลงโทษ จงเป็นผู้ไม่เป็นศัตรู จงเป็นผู้ไม่ถูกเบียดเบียน จงเป็นผู้ไม่จองเวรกันอยู่เถิด...
แต่ เพราะมีความริษยา (อิสสา) และ ความตระหนี่ (มัจฉริยะ) เป็นเครื่องผูกมัด พวกเขาจึงยังคงมีเวร ถูกลงโทษ มีศัตรู ถูกเบียดเบียน จองเวรกันอยู่.. ฯลฯ..”
เรื่องของ ความริษยาและมัจฉริยะ จึงเป็นมหาเหตุของการทำลายความสงบสุขในหมู่ประชาสัตว์ทั้งหลายทุกยุคสมัย ทั้งนี้ เพราะอำนาจโลภะกิเลส.. ที่เพิ่มพูนอย่างไม่รู้จักลดละในจิตใจของสัตว์ทั้งหลายทุกวันคืน จนเกินการยับยั้งชั่งใจ จึงเป็นไปเพื่อการก่อเกิด อวิชชา ตัณหา อุปาทาน และกรรม ให้สัตว์ทั้งหลายผูกติดอยู่กับโลกธรรม จนยากจะหลุดพ้นกระแสวังวนของความทุกข์ ที่สัตว์ทั้งหลายไหลวนเวียนอยู่ใน วัฏฏทุกข์ มามากภพมากชาติไปได้
สมดังที่พระพุทธองค์ตรัสไว้ใน มหานิทานสูตร ว่า
“..อานนท์.. ด้วยเหตุนี้แล.. เพราะอาศัย เวทนา ตัณหา จึงมี การแสวงหา.. เพราะอาศัย การแสวงหา.. การได้ (ลาภะ) จึงมี..
..เพราะอาศัย ลาภะ (การได้) วินิจฉัย (การกำหนด) จึงมี..
..เพราะอาศัย วินิจฉัย (การกำหนด) ฉันทราคะ (การกำหนัดด้วยอำนาจความพอใจ) จึงมี..
..เพราะอาศัย ฉันทราคะ (การกำหนัดด้วยอำนาจความพอใจ) อัชโฌสาน (ความหมกมุ่นฝังใจ) จึงมี..
..เพราะอาศัย อัชโฌสาน (ความหมกมุ่นฝังใจ) ปริคคหะ (ความยึดมั่นครอบครอง) จึงมี..
..เพราะอาศัย ปริคคหะ (ความยึดมั่นครอบครอง) มัจฉริยะ (ความตระหนี่) จึงมี..
..เมื่อความ ตระหนี่ (มัจฉริยะ) มี.. อารักขะ (การหวงแหนหวงกั้น) จึงมี และเมื่อ อารักขะ (การหวงแหนหวงกั้น) มี.. บาปอกุศลเป็นอเนก ย่อมเกิดขึ้น.. การถือท่อนไม้ การถือศาสตรา การทะเลาะ แก่งแย่ง การวิวาท การรบราฆ่าฟัน การพูดว่ากล่าวกันและกันด้วย มึง มึง.. การพูดส่อเสียดและการพูดเท็จ จึงเกิดขึ้น.. เข้าสู่การทำ สงครามด้วยอาวุธ.. และสงครามปาก ที่ปรากฏในสังคมปัจจุบันผ่านการใช้ระบบเทคโนโลยีชั้นสูงเป็นเครื่องมือให้เห็นประจักษ์ อันเกิดจาก ความริษยา-มัจฉริยะ เป็นมูล จึงเกิดขึ้น.. อันมีเหตุปัจจัยมาจาก ตัณหา (กิเลส)...”
พระพุทธองค์ได้ทรงสรุปในเรื่องดังกล่าวว่า.. “เพราะ อารักขะ เป็นเหตุ บาปอกุศลธรรม เป็นอเนกย่อมเกิดขึ้นจาก การถือท่อนไม้ การถือศาสตรา การทะเลาะ แก่งแย่ง การวิวาท การพูดขึ้นเสียงว่า.. มึง! มึง! .. การพูดส่อเสียดและการพูดเท็จ..
..เธอพึงทราบเหตุผลที่ อารักขะเป็นเหตุ บาปอกุศลเป็นอเนก ย่อมเกิดขึ้นจากการถือท่อนไม้ การถือศาสตรา... การพูดขึ้นเสียง มึง! มึง! .. การพูดส่อเสียดและการพูดเท็จ ดังต่อไปนี้..
ก็ถ้า อารักขะ ไม่ได้มีแก่ใครๆ ในภพไหนๆ ทั่วทุกแห่ง.. เมื่อ อารักขะ ไม่มีโดยประการทั้งปวง.. เมื่ออารักขะดับไป.. บาปอกุศลเป็นอเนกอันเกิดจากการถือท่อนไม้ การถือศาสตรา.. การพูดส่อเสียด การพูดเท็จ ก็ย่อมเกิดขึ้นไม่ได้...”
เพราะเหตุนั้น เหตุต้นเหตุและปัจจัยของบาปอกุศลธรรมทั้งปวง ฯลฯ... ก็คือ อารักขะ นั่นเอง.. และเพราะอาศัย มัจฉริยะ (ความหวงแหน) อารักขะ จึงมี.. ซึ่งเมื่อกล่าวถึง มัจฉริยะ (ความหวงแหน) ก็ต้องมี ริษยา (อิสสา) ด้วย.. เนื่องจากการเป็นอุปกิเลสธรรมที่คู่กัน.. ดังกล่าวสรุปใน สักกปัญหสูตร ว่า.. เพราะมี ริษยาและมัจฉริยะ จึงนำไปสู่การก่อเวร การเบียดเบียน การทำร้ายทำลายกัน การก่อสงครามกัน แม้ในหมู่สัตว์ที่ต่างปรารถนาความสงบสุข..
จึงมีคำกล่าวในหมู่ชนผู้ปรารถนาความสงบสุขโดยธรรม ว่า ชัยชนะในสงครามเพื่อสันติภาพแท้จริง.. เกิดจากชัยชนะที่ไม่เป็นโทษ... ชัยชนะที่เหนือชัยชนะทั้งปวง คือ การชนะใจตนเอง อันสำเร็จด้วยการกำจัด กิเลสคือตัณหา เหตุปัจจัยที่นำไปสู่โทษทุกข์ภัยให้สิ้นไป ดังที่กล่าวมาในความเกิดขึ้นของ อารักขะ อันมี ตัณหาและการแสวงหา (ปริเยสนา) เป็นมูลใกล้เคียง จนก่อเกิด มัจฉริยะ (ความตระหนี่) ที่นำไปสู่ การอารักขะ (การหวงแหนหวงกั้น) .. ก่อเกิดการทำร้ายทำลายกัน.. เบียดเบียนกัน.. ใช้คำเท็จ.. คำส่อเสียด.. กล่าวด่าว่ากันและกัน
พระพุทธศาสนาจึงกล่าวถึง สันติภาพโดยธรรม อันเกิดจากจิตใจที่สงบ ก่อเกิด ด้วยสติ.. ประกอบความเพียรชอบอย่างกล้าหาญ.. ซึ่งเป็นคุณค่าแห่งความสุขสูงสุดและเป็นพื้นฐานของ สันติภาพ ที่แท้จริง
แม้ว่า ในทางโลกจะต้องมีการใช้กำลังและศาสตราอาวุธ เพื่อการให้ได้มาซึ่งชัยชนะ ที่จักนำไปสู่สันติภาพ.. อันหมายถึง ความสงบสุข.. ซึ่งไม่ว่าจะเป็นสันติสุขภายในหรือภายนอก ที่เป็นเป้าหมายสูงสุด แต่แท้จริงที่สุด สันติภาพ.. ย่อมเกิดขึ้นได้จาก การพูดคุยอย่างมีไมตรีจิตด้วยสันติวิธี ที่เน้นการไม่เบียดเบียน ไม่ทำลาย ไม่ทำร้ายกันและกัน โดยมี เมตตากรุณาธรรมเป็นหลักบริหารจิตใจ..
ดังในมุมมองพระพุทธศาสนาที่แสดง.. การแสวงหาสันติภาพ เพื่อประโยชน์ของมนุษยชาติที่แท้จริง มุ่งสู่ความสงบสุข ย่อมต้องได้มาจากชัยชนะที่ไม่ก่อโทษทุกข์ภัย.. ก่อเวรภัย ซึ่งจำเป็นอย่างยิ่งที่ทุกฝ่ายต้อง ยึดหลักธรรม.. เป็นอนุสติ.. ด้วยการประกอบตนอยู่ด้วย สติปัญญา .. เพื่อการกระทำที่ไม่เป็นโทษ ทั้งต่อตนและผู้อื่น.. โดยต้องคำนึงเสมอว่า..
- สงคราม แม้อ้างว่า เพื่อ สันติภาพ.. แต่สงครามเป็นเพียง หนทาง ที่ควรพิจารณาใช้เมื่อจำเป็นเท่านั้น โดยต้องระลึกว่า.. เป้าหมายที่แท้จริงของสงครามเพื่อการบรรลุความสงบสุข.. เพราะความสงบเป็นสุขยิ่งกว่าสิ่งใดในโลก.. “สนฺติ ปรมํ สุขํ”
- ชัยชนะ.. แม้เป็นสิ่งที่ทุกคน.. ทุกฝ่าย ต้องการบรรลุถึง.. แต่ต้องระลึกเสมอว่า ชัยชนะที่แท้จริง มิใช่ได้มาด้วยการทำลายล้างฝ่ายตรงข้าม แต่คือการเอาชนะจิตใจของตนเองได้ ..โดยไม่ให้ตกอยู่ภายใต้อำนาจของกิเลส (ตัณหา.. แสวงหา.. มัจฉริยะและอารักขะ) .. และคำนึงเสมอว่า เมื่อชนะจิตใจตนเองได้ จะชนะจิตใจผู้อื่นได้..
..โดยเมื่อจิตใจตนเอง.. ไม่ตกอยู่ในอารมณ์ที่เป็นบาปอกุศล ย่อมไม่ก่อบาปอกุศลกรรมใดๆ เพื่อการนำพาตนเอง ผู้อื่น ตลอดจนถึงสังคมประเทศชาติ.. ไปสู่ความสงบสุขตามต้องการ.. เพราะย่อมเป็นไปไม่ได้เลย..
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะต้องใช้กำลัง แต่ต้องคำนึงถึงเจตนาที่ตรงธรรมว่า.. เพราะที่สุดแห่งการใช้กำลัง.. การทำสงคราม ก็เพื่อความสงบสุข.. เพื่อป้องกันภัยอันตรายในหมู่ชนและประเทศชาติ.. จึงจะมีโทษน้อยที่สุด โดยเฉพาะ เมื่อทำด้วยจิตใจที่ปราศจากความโกรธ.. ความพยาบาท.. มีจิตใจมุ่งหวังสันติสุขแก่มหาชนประเทศชาติเป็นที่สุด.. ในที่สุดคือการตั้งจิตใจอยู่ในความไม่ประมาท เพื่อการกระทำที่ไม่เป็นบาปอกุศล.. จึงจะได้ชื่อว่า ได้ชัยชนะที่ไม่เป็นโทษในสงครามเพื่อสันติภาพ.... อย่างแท้จริง!!.
เจริญพร
dhamma_araya@hotmail.com
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ไทยก้าวใหม่ โชว์ฟิต ลุยเลือกตั้ง เปิดตัวผู้สมัครส.ส.-โชว์นโยบายรัวๆ
“พรรคไทยก้าวไหม่”หนึ่งในพรรคการเมืองใหม่ที่เข้าสู่สนามการเลือกตั้งปี 2569 ซึ่งมี”ดร.เอ้ สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์”เป็น หัวหน้าพรรคไทยก้าวใหม่ และมี “คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช อดีตรมช.ศึกษาธิการเป็นประธานที่ปรึกษาพรรคไทยก้าวใหม่”
ร้ายกว่าวิกฤตการณ์ธรรมชาติ ..ภัยมนุษย์ .. ขาดศีลธรรม!!
เจริญพรสาธุชนผู้มีจิตศรัทธาตั้งมั่นในพระพุทธศาสนา...
เมื่อคน.. สังคม! .. ไร้คุณค่าความเป็นมนุษย์.. ประเทศชาติหายนะ!!
เจริญพรสาธุชนผู้มีจิตศรัทธา.. คำว่า “ศรัทธา” ในพระพุทธศาสนา มีความหมายกินลึกลงไปมากกว่าความเชื่อโดยทั่วไป ด้วยต้องมีความรู้ความเข้าใจในคุณค่าของคุณสมบัติสิ่งนั้นๆ
สมดังเป็น .. “วีรกษัตรี มหาราชินี...” ของชาวไทย!!
เจริญพรสาธุชนผู้มีจิตศรัทธาในพระพุทธศาสนา.. โครงการร้อยใจไทย สืบสานราชธรรม ทั้งแผ่นดิน น้อมอุทิศถวายพระราชกุศลแด่ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง
“โมหมูลจิต” .. ..มูลเหตุของการถูกหลอกลวง โดย Scammer!
เจริญพรสาธุชนผู้มีจิตศรัทธาในพระพุทธศาสนา.. ในกระแสสังคมยุคไอที ที่มีความเจริญอย่างรวดเร็วทางเทคโนโลยีชั้นสูง จนเข้าสู่ ยุควัตถุ AI ในปัจจุบัน ที่แสดงความเสมือนจริงให้สัมผัสได้ใกล้เคียงอย่างน่าศึกษายิ่ง
โครงการร้อยใจไทย สืบสานราชธรรม ทั้งแผ่นดิน น้อมอุทิศถวายเป็นพระราชกุศลแด่ “สมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง”
เจริญพรสาธุชนชาวไทยทุกหมู่เหล่า.. นับตั้งแต่วันที่ ๒๔ ตุลาคม ๒๕๖๘ เป็นต้นมา พสกนิกรไทยทุกหมู่เหล่า ได้พร้อมเพรียง.. ร่วมไว้อาลัยแด่การเสด็จสู่สวรรคาลัย ใน “สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง”

