เรื่อง'ส่วนตัว'ที่แยกไม่ออกจาก'ส่วนรวม'

ช่วงที่อดีตนายกรัฐมนตรีและอดีตผู้นำทางทหารในยุค พระเจ้าเหา ยังใส่กางเกงหูรูด...อย่างจอมพล ถนอม กิตติขจร ท่านคิดจะกลับมาใช้ชีวิต กลับมาตายในแผ่นดินเกิด หลังจากต้องอัปเปหิตัวเองไปอยู่ต่างบ้าน ต่างเมือง ซะนานแสนนาน ด้วยการบวชเณร หรือบวชพระ แล้วเล็ดลอดเข้าในเมืองไทย ช่วงนั้น...ก็คงต้องเรียกว่า ออกจะ เป็นเรื่อง อยู่พอสมควรเหมือนกัน เท่าที่พอนึกภาพออกครั้งที่ยังเพิ่งเริ่มเป็น นักข่าว ใหม่ๆ...

------------------------------------------------------

คือก่อให้เกิดการลุกขึ้นมาต่อต้าน คัดค้านและปฏิเสธ จากบรรดาผู้คนกลุ่มต่างๆ โดยเฉพาะนิสิต นักศึกษา ที่ถึงแม้จะเริ่มตกเป็นฝ่ายพลั้งพลาด เสียรังวัด เสียค่าโง่ หรือกระทั่งเสียชีวิตตัวผู้นำ ในหลายต่อหลายครั้ง หลายต่อหลายเรื่อง ด้วยกัน

แต่ก็ยังพอมีฤทธิ์ มีเดช ที่จะสร้างแรงกดดันให้กับรัฐบาล และ อำนาจรัฐ จนเกิดเหตุการณ์ลุกลาม บานปลาย กลายเป็นความไม่สงบ-เรียบร้อย ความปั่นป่วน วุ่นวาย จนกระทั่งไปจบลงที่ โศกนาฏกรรม ครั้งใหญ่ในประวัติศาสตร์การเมืองไทยและประวัติศาสตร์ประเทศไทย นั่นก็คือ...เหตุการณ์ 6 ตุลาคม พุทธศักราช 2519 นั่นเอง...

---------------------------------------------------------

ทั้งที่ว่าไปแล้ว...โดยบุคลิก ลีลา โดยวาสนาและอุปนิสัย ของอดีตนายกฯ และอดีตผู้นำทางทหารรายนี้ ต้องยอมรับว่าท่านออกจะสุภาพ เรียบร้อย แทบไม่ได้ออกอาการ กร่างง์ง์ง์ ใดๆ ให้เห็นเอาเลยแม้แต่น้อย แม้แต่ครั้งที่มีอำนาจ วาสนา ดำรงตำแหน่งเป็นถึงนายกรัฐมนตรีไปแล้วก็เถอะ อาจด้วยเหตุเพราะท่านเคยเป็นถึงครูบาอาจารย์ หรือจะด้วยเหตุผลกลใดก็แล้วแต่ ส่วนผู้ที่อาจก่อให้เกิดความเปรี้ยวมือ เปรี้ยวเท้า กับผู้คนบางส่วน น่าจะเป็นประเภทลูกๆ หลานๆ หรือพรรคพวกและบริวารของท่านซะมากกว่า ยิ่งต้องนิราศร้างห่างเหเสน่หา ไปอุดอู้อยู่ในเมืองนอก เมืองนา ท่านยิ่งสงบนิ่ง สงบเย็น ไม่ได้คิดจะก่อให้เกิด เงื่อนไข และ ข้ออ้าง ใดๆ ที่อาจนำมาซึ่งการปฏิเสธและต่อต้าน ในการคิดจะ กลับบ้าน หรือ กลับมาตาย ในแผ่นดินเกิด เอาเลยแม้แต่น้อย...

----------------------------------------------------------

แต่กระนั้นก็เถอะ...ความคิดถึงบ้าน คิดถึงถิ่นเคยอยู่-อู่เคยนอนที่จำต้องจรจากลา กลับกลายเป็นตัวสร้าง ปัญหา หรือเป็นตัวก่อให้เกิด เงื่อนไข และ ข้ออ้าง ทำให้การกลับสู่ประเทศไทยของท่านต้องกลายเป็นเรื่อง การเมือง ไปจนได้ และกลายเป็นการเมืองที่นำไปสู่ความแตกแยก แตกต่าง ชนิดต้องจบลงด้วย โศกนาฏกรรม ที่ไม่ว่าฝ่ายใดก็แล้วแต่ ล้วนแต่ไม่อยากจะเห็น ไม่อยากจะให้เกิดขึ้นไปด้วยกันทั้งสิ้น เพราะแทบไม่มีฝ่ายใดเลยที่เป็น ผู้ชนะ ต่างก็มีแต่ แพ้...กับ...แพ้ ไปด้วยกันทั้งนั้น ไม่ว่าฝ่ายที่ถือครองอำนาจรัฐอยู่ในขณะนั้น หรือฝ่ายที่ต่อต้านอำนาจรัฐก็ตามที กว่าที่ทุกสิ่งทุกอย่างจะสามารถเยียวยา สมานแผล พอได้หายเจ็บ หายปวด ลงไปได้มั่ง ก็ต้องรอไปจนกระทั่งอดีตรัฐบุรุษ อย่าง ป๋าเปรม ท่านงัดเอา คำสั่งนโยบายที่ 66/23 ออกมาใช้หลังจากนั้น หรือหลังจากเกือบ 10 ปีเข้าไปแล้ว...

-------------------------------------------------------------

ด้วยเหตุนี้...ความคิดถึงบ้าน ความคิดที่จะกลับบ้าน-กลับช่อง ของผู้ที่ต้องนิราศห่างเหจากประเทศไทยแลนด์ แดนสยาม เกือบเป็นสิบๆ ปีที่แล้ว อย่างคุณพี่ โทนี่-โทนาฟ บิดาบังเกิดเกล้าของคุณน้อง อุ๊งอิ๊ง ว่าที่นายกรัฐมนตรีคนใหม่ ณ แลนด์สไลด์ ณ แอฟวะลานช์ หรือไม่ เพียงใด ก็แล้วแต่ จึงเป็นสิ่งที่ พอเข้าใจได้ หรืออาจถึงขั้นน่าเห็นอก เห็นใจ น่าเวทนาและสงสาร มิใช่น้อย สำหรับผู้คนบางกลุ่ม บางราย เพราะว่าไปแล้ว...มันก็คือความรู้สึกโดยปกติธรรมดา ของมวลมนุษย์มนาทั้งหลายนั่นแหละ ที่ยังอยากจะกลับมาเลี้ยงหลาน อยากจะกลับมารับประทานก๊วยเตี๋ยวเนื้อวัดดงมูลเหล็ก หรือกลับมาเจอหน้า-เจอตาใครต่อใคร ที่เคยผูกพัน รักใคร่และห่วงใย...

----------------------------------------------------------

แต่ก็อย่างว่า...ถ้าหากบรรดาสิ่งเหล่านี้ ถูกนำไปใช้เป็น เงื่อนไข และ ข้ออ้าง ของฝ่ายหนึ่ง-ฝ่ายใด จนอาจนำมาซึ่งการปฏิเสธ คัดค้านและต่อต้าน สิ่งที่ถือเป็น อารมณ์-ความรู้สึก ส่วนตัวเหล่านี้ ก็อาจส่งผลกระทบถึงส่วนรวมในระดับหนักหนา-สากรรจ์เอาเลยก็เป็นได้ หรืออาจนำไปสู่ โศกนาฏกรรม ระดับไหนต่อระดับไหน ก็ยากที่จะคาดคำนวณได้ถนัดชัดเจน อีกทั้งคงต้องยอมรับอีกด้วยเช่นกัน...ว่าโดยบุคลิก ลีลา วาสนาและอุปนิสัย ของคุณพี่ โทนี่-โทนาฟ นั้น ออกจะผิดแผก แตกต่าง ไปจากอดีตผู้นำทหารและอดีตนายกรัฐมนตรี อย่างจอมพล ถนอม กิตติขจร แบบคนละเรื่อง คนละม้วน โดยเฉพาะในแง่ขีดความสามารถแห่งการสร้างความเปรี้ยวมือ เปรี้ยวเท้า ให้กับใครต่อใคร ได้อย่างหนักหน่วงและรุนแรงเอามากๆ...

-----------------------------------------------------------

พูดง่ายๆ ว่า...ตลอด 10 กว่าปีที่ผ่านมา คุณพี่ โทนี่-โทนาฟ ท่านออกจะขยันขันแข็งเสียเหลือเกิน ในการสร้างความรู้สึกแห่งการปฏิเสธ คัดค้านและต่อต้าน ให้กับตัวท่านเอง ไม่ได้สงบนิ่ง สงบเย็น เหมือนอย่างอดีต จอมพลถนอม เอาเลยแม้แต่น้อย ที่อย่างน้อยก็ยังพอมี ความเป็นไทยๆ เหลือติดปลายนวมอยู่มั่งไม่มาก-ก็น้อย ตรงกันข้ามกับคุณพี่ โทนี่-โทนาฟ ที่ต้องอาศัยสิ่งแลกเปลี่ยนและต่อรอง กันในแต่ละช่วง แต่ละจังหวะ ชนิดไม่ต่างอะไรไปจากการ เล่นไพ่ เก้าเก หรือโป๊กเกอร์อะไรประมาณนั้น จนทำให้อารมณ์-ความรู้สึก ส่วนตัว มีอันต้องเกี่ยวพัน พัวพันกับ ส่วนรวม อย่างมิอาจปฏิเสธได้เลย...

---------------------------------------------------------

ด้วยเหตุนี้...การที่ว่าที่นายกรัฐมนตรีคนใหม่อย่างคุณน้อง อุ๊งอิ๊ง ท่านแสดงออกถึงความปรารถนาและต้องการ อันเป็นปกติธรรมดาของ ลูกที่ดี ทั้งหลาย โดยหวังว่า...วันใด-วันหนึ่ง คงต้องหาทาง พาพ่อกลับบ้าน ให้จงได้ เอาไป-เอามาแล้วมันคงไม่ใช่แค่เรื่องส่วนตัว หรือความรู้สึกส่วนตัวต่อไปอีกแล้ว แต่มีความเกี่ยวพันกับส่วนรวม อย่างมิอาจแยกออกจากกันได้เลย หรือสรุปง่ายๆ ว่า...อนาคตบ้านเมือง อนาคตประเทศไทย จะฉิบหาย-ไม่ฉิบหาย จะต้องเจอโศกนาฏกรรมอีกครั้งหรือไม่ อย่างไร ในอีกไม่นาน-ไม่ช้า ก็คงต้องขึ้นอยู่กับ เส้นทางการเมือง ของคุณน้อง อุ๊งอิ๊ง เธอนั่นแล...

--------------------------------------------------------

ปิดท้ายด้วยวาทะวันนี้...จาก G.W.F. Hegel... We learn from history that we di not learn from history.- เราเรียนรู้จากประวัติศาสตร์...ว่าเอาเข้าจริงๆ แล้ว เรามิได้เรียนรู้อะไรจากประวัติศาสตร์แม้แต่น้อย...”.

-----------------------------------------------------------

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ว่ากันไปเรื่อยๆ!!!

เห็นว่า...ตั้งแต่สัปดาห์หน้า วันที่ 1 มิ.ย. บรรดา ขาเฮ และ ขาหื่น ทั้งหลาย

ว่าด้วย...อนาคตของ “บิ๊กตู่”

หมู่นี้รู้สึกว่า...เสียงด่า เสียงทอ ท่านนายกฯ บิ๊กตู่ ของหมู่เฮา น่าจะซาๆ ไปพอสมควร จะด้วยเหตุเพราะใครต่อใครหันไปสนใจเรื่องอื่น