ว่าด้วย “ความอ่อนน้อม-ถ่อมตน”

ทันทีที่ความรู้สึกถึงความมีอยู่ ความดำรง คงอยู่ ของ ตัวตนของตน หรือจะเรียกว่า อัตตา อาตมัน ตัวกู-ของกู ฯลฯ หรืออะไรต่อมิอะไรก็แล้วแต่ มันอุบัติขึ้นมาในความคิดคำนึงของใครต่อใครก็แล้วแต่

คงต้องยอมรับเอาจริงๆ นั่นแหละว่า มันออกจะเป็นอะไรที่ ยากซ์ซ์ซ์ เอามากๆ ในการที่จะไปลด-ละ-เลิก หรือลบล้างความเป็นตัว เป็นตน เหล่านี้ ให้มันลดๆ หรือให้ค่อยๆ หายคลางจางลงไปมั่ง...

แม้ว่าบรรดาพวกพระๆ หรือพวกพระสงฆ์องคเจ้าในศาสนาพุทธของหมู่เฮา ท่านจะพยายามชี้แนะ ชี้นำ เอาไว้ตั้งแต่แรก ตั้งแต่เบื้องต้น เบื้องกลาง ไปจนถึงเบื้องปลายเอาเลยก็ว่าได้ ว่าถ้ายิ่งสามารถทำให้ตัวตนของตน ทำให้อัตตา อาตมัน หรือความเป็นตัวกู-ของกู ลดน้อยถอยลงไปเท่าไหร่ ยิ่งทำให้โอกาสที่จะพบกับความสุข ความสงบ ความสว่าง พบกับสันติภาพ สันติธรรม ยิ่งย่อมมีโอกาสเป็นไปได้ยิ่งขึ้นไปเท่านั้น ยิ่งถ้าหากไปไกลถึงขั้นไม่คิดจะหลงเหลือติดปลายนวมเอาไว้เลย เหลืออยู่แต่ ความว่าง เหลืออยู่แต่ อนัตตา อันนั้นนั่นแหละ...ถึงขั้น นิพพาน เกิดความสุข สงบ สะอาด สว่าง สบายแบบชนิดเป็นอมตะนิรันดร์กาล ไม่เกิด-ไม่ตาย ไม่ต้องเสียเวลาเวียนว่าย วนไป-วนมา อยู่ใน วัฏสงสาร อันเป็นอะไรที่ออกจะน่าเบื่อ น่าหน่ายซะเหลือเกิน...


และจะโดย ความเชื่อ หรือโดย ค่านิยมทางสังคม ทำนองนี้ หรือไม่ อย่างไร ก็ยังไม่ถึงกับชัดเจน...แต่ก็นั่นแหละ มันน่าจะมีส่วนที่ทำให้เกิดอุปนิสัย วาสนาและสันดานบางอย่าง อุบัติขึ้นมาในความรู้สึกนึกคิดของผู้คนในสังคมไทย โดยเฉพาะในบรรดาประเภทคนรุ่นก่อนๆ นั่นก็คือลักษณะอาการในแบบที่เรียกๆ กันว่า ความอ่อนน้อม-ถ่อมตน อะไรประมาณนั้น หรือการไม่คิดจะให้ความสำคัญกับตัวตน-ของตน ตัวกู-ของกู กับอัตตา กับอาตมัน มากมายเกินไปนัก ไม่คิดจะอวด ไม่คิดจะโชว์ ไม่หาแสง หิวแสง ไม่ว่าจะเก่ง-แสนเก่ง ฉลาด-แสนฉลาด ไม่ว่าจะเก๋ จะเท่ จะดูดี ดูน่ารัก น่าใคร่ น่านิยมหลงใหล ฯลฯ เพียงใดก็ตามที แม้จะทำในสิ่งดีๆ สิ่งที่ยังประโยชน์ให้แก่ผู้อื่น อย่างมากมายมหาศาล ต่อเนื่องสม่ำเสมอมาโดยตลอด แต่ก็ยังคงมุ่งมั่นที่จะ ปิดทองหลังพระ แบบชนิดล้นแล้ว ล้นอีก ไม่คิดจะได้มาซึ่งความเด่น ความดัง ความดำรง คงอยู่แห่งตัวตนของตน ตัวกู-ของกู โดยทั้งสิ้น ทั้งปวง...

ลักษณะอาการแบบที่เรียกว่า ความอ่อนน้อม-ถ่อมตน มันก็เลยแทบกลายเป็น มาตรฐาน แห่งการสะท้อนให้เห็นถึง ความดี ไม่ว่าในแง่อุปนิสัยส่วนตัว หรือ แม้แต่ในแง่ ศีลธรรม ก็แล้วแต่ เพราะเป็นอะไรที่สอดคล้อง ต้องกัน ระหว่างความรู้สึกนึกคิดของปัจเจกบุคคลกับความเชื่อในทางศาสนา โดยเฉพาะศาสนาพุทธของหมู่เฮาทั้งหลาย การไม่อวด ไม่โชว์ ไม่คิดจะหาแสง หิวแสง หรือแม้แต่ หาเสียง ก็เถอะ เลยเป็นอะไรที่ไปกันได้กับอารมณ์-ความรู้สึกของสังคม หรือกลายไปเป็น ค่านิยมทางสังคม อย่างชนิดต่อเนื่อง ยาวนาน มาโดยตลอด...

แต่ก็นั่นแหละ...ในเมื่อโลกมันเปลี่ยน สรรพสิ่งต่างๆ เกิดความหมุนเวียนเปลี่ยนแปรไปโดยธรรมชาติของมันเอง ไม่ว่าจะเปลี่ยนไปแบบ พลิกหน้ามือเป็นหลัง ตีน หรือ พลิกหลังมือเป็นหน้าตีน ก็แล้วแต่ สิ่งที่เรียกว่า ความอ่อนน้อม-ถ่อมตน อันเคยเป็นเสมือน มาตรฐานแห่งความดี อีกรูปหนึ่ง เลยชักเป็นอะไรที่ออกจะ เชยซ์ซ์ซ์แสนเชยซ์ซ์ซ์ ไม่เข้าท่า ไม่เข้าทาง ไม่ทันจะกิน ไม่มีโอกาสได้แ-ก ได้รับประทาน เอาเลยก็เป็นได้ การแข่งกันอวด แข่งกันโชว์ การแย่งกันหาแสง หิวแสง ไปจนการหาเสียงโน่นเลย มันจึงกลายเป็นสิ่งที่ไหลเข้ามาแทนที่ กลายเป็น มาตรฐาน ที่มิอาจหลีกเลี่ยงและปฏิเสธ โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่คิดจะมีชีวิตอยู่ หรือคิดจะอยู่รอด-ปลอดภัย ภายในสังคมลักษณะนี้...

ยิ่งมีการประดิษฐ์ คิดค้น อุปกรณ์และเครื่องมือ...ที่ช่วยให้การอวด การโชว์ การหาแสง หิวแสง ยิ่งเป็นไปได้แบบคล่องเนื้อคล่องตัว มากยิ่งขึ้นเท่าไหร่ สิ่งที่เรียกว่า ความอ่อนน้อม-ถ่อมตน ยิ่งมีแต่หายเกลี้ยง!!! แทบไม่หลงเหลือติดปลายนวมภายในสังคมแต่ละสังคมยิ่งเข้าไปทุกที โดยเฉพาะเมื่อแต่ละสังคมต้องหันไปปกครอง ดูแล ด้วยระบอบการเมืองที่เรียกว่า ประชาธิปไตย ทั้งหลาย อันหนีไม่พ้นต้องออกเรี่ยว ออกแรง ต้อง หาเสียง กันอย่างเป็นระบบและกิจการ ก็ยิ่งทำให้ทุกสิ่งทุกอย่าง โกบิ๊ก ไปกันใหญ่ หรือทำให้ความจำเป็นที่จะต้องแสดงออกถึงความเป็นตัวกู-ของกู ของอัตตา ของอาตมัน ยิ่งเป็นสิ่งที่มิอาจหลีกเลี่ยงและปฏิเสธได้เลย ดังนั้น...ภายใต้ ค่านิยมสังคม แบบใหม่ ที่ใครต่อใครต่างหันไปยึดมั่น ถือมั่น กับ ความเป็นตัวกู-ของกูกับ อัตตา ของใคร-ของมันยิ่งขึ้นไปเรื่อยๆ โอกาสที่จะนำมาซึ่งความสุข ความสงบ สะอาด สว่าง สบาย นำมาซึ่งสันติภาพ สันติธรรม ยิ่งน่าจะ เป็ง-ปาย-ม่าย-ล่าย ยิ่งขึ้นไปเท่านั้น!!!

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ยโสโอหังไม่ฟังใคร ไม่สนใจกระแส...คิดว่าแจงได้

อ่อนอกอ่อนใจจริงๆ กับสถานการณ์บ้านเมืองเวลานี้ ตั้งแต่ถ้อยคำ วาจา ท่าที ลีลาการหาเสียงของคนที่ถูกวางตัวว่าวันหนึ่งจะได้เป็นผู้นำประเทศ ตะโกนด้วยสุ้มเสียงมั่นอกมั่นใจในสิ่งที่พูด ท

สูตรแต่งตั้งตำรวจ

กว่าจะเคาะ กว่าจะคลอด ก็นั่งนับนิ้วกันแทบหงิก เพราะ 180 วัน ตามเงื่อนไขการบังคับใช้กฎ ก.ตร.ว่าด้วยการแต่งตั้งข้าราชการตำรวจ พ.ศ. 2567

ฤาประเทศไทยจะไร้สีสวย มีแต่สีแสบ

ประเทศไทยอยู่ในสภาพความขัดแย้งระหว่างสีเสื้อมาเกือบ 2 ทศวรรษแล้ว แม้เวลานี้เราจะมีรัฐบาลผสมแบบข้ามขั้ว แต่เราก็ยังไม่เห็นบรรยากาศของความปรองดองเกิดขึ้นอย่างแท้จริง

โลกที่'อันตราย'กับภารกิจของ'คนรุ่นใหม่'

เห็นข่าวเรื่อง ดร. ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ นักวิชาการด้านทะเลและสิ่งแวดล้อม อาจารย์ภาควิทยาศาสตร์ทางทะเล มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ท่านออกมาโพสต์