ก่อนโลกาวินาศ!!!

คงต้องยอมรับอย่างมิอาจปฏิเสธได้เลยว่า...โลกช่วงนี้ มันเป็นโลกที่น่ากลัว น่าอันตราย ยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ขนาดผู้ที่มีบทบาทหน้าที่แบบกลางๆ แบบที่ต้องยึดมั่นอยู่ในความถูกต้อง ความยุติธรรม เข้าไว้

อย่างโฆษกเลขาธิการสหประชาชาติ นาย “Stephane Dujarric”ท่านยังมิวายต้องออกมาแสดงความหวั่นใจ ความไม่แน่ใจ ว่าบรรดาความขัดแย้งของผู้คนภายในโลกใบนี้มันจะไปไกลถึงขั้น...สงครามนิวเคลียร์ สงครามอาวุธเคมี สงครามชีวภาพ ฯลฯ กันเลยหรือไม่? อย่างไร?

ยิ่งช่วงหลังๆนี้...ต่างฝ่ายต่างพยายามประดิษฐ์ คิดค้น“อาวุธ”อันตรายๆของแต่ละฝ่าย แต่ละราย อย่างมุ่งมั่นขะมักเขม้น เอาจริง-เอาจัง ยิ่งเข้าไปทุกที แม้จะไม่ใช่อาวุธมหาประลัย อย่างประเภทนิวคลง นิวเคลียร์ ก็เถอะ แต่ด้วยความที่อยากจะเอาแพ้-เอาชนะกันและกัน ให้เบ็ดเสร็จ เด็ดขาด ลงไปซะที สุดท้าย...มันก็อาจไปถึงนิวเคลียร์ หรือหันไปติดหัวรบนิวเคลียร์กันจนได้ โดยผู้ที่หนีไม่พ้นต้อง “ฉิบหาย...กับ...ฉิบหาย”ก็คงออกไปทางประเภทบรรดาเราๆ-ทั่นๆ พวกชาวบ้านๆประเภทตาดำๆ หรือประเภทไม่รู้อิโหน่อิเหน่ อะไรกับเขาด้วยเลย แต่โอกาสที่จะต้องเด๊ดสะมอเร่ย์ อิน เดอะ เท่งทึง อันเนื่องมาจากบรรดาความขัดแย้ง มันยิ่งยกระดับใกล้จะถึงขั้นสูงสุดเข้าไปทุกที ยิ่งย่อมมีโอกาสเป็นไปได้ยิ่งขึ้นไปเท่านั้น...

แต่ถึงแม้ยังไม่ถึงกับต้องตายโหง-ตายห่า ลงไปซะก่อน...แค่เจอกับ “ผลกระทบ”แห่งความขัดแย้งต่างๆนานา ก็อาจถึงขั้น “โชคดี...ที่ตายก่อน” หรือทำให้การ“มีชีวิตอยู่”ยิ่งเป็นอะไรที่ยากลำบาก สุดแสนจะลำเค็ญยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ต้องเจอกับภาวะข้าว-ของขึ้นราคาชนิดแพง...แสน...แพง ยิ่งเข้าไปทุกที เจอกับภาวะสินค้าขาดตลาด ข้าว-ปลา-อาหารทำท่าว่าชักเริ่มขาดแคลน ระดับอาจหิวโหยกันไปเป็นประเทศๆ นั่นยังไม่รวมไปถึงเรื่องสุขภาพ เรื่องโรคระบาด ที่ยังแพร่กระจายกันไม่หยุด หนัก-ไม่หนัก แรง-ไม่แรง ก็แล้วแต่ แต่คงไม่มีใครอยากป่วย อยากเจ็บ อยากไข้ หรืออยากจะถูก “กักตัว”ไว้เป็นสัปดาห์ๆ อยู่แล้วแน่ๆ อันเนื่องมาจากท่านเชื้อไวรัสโควิด ที่ยังไม่คิดจะหัวตก เหี่ยวปลาย ยังคงออกฤทธิ์ ออกเดช ออกอาละวาด อย่างเป็นปกติ แม้จะกว่า 2 ปี เกือบ 3 ปีเข้าไปแล้ว...

อย่างไรก็ตาม...ถ้าว่ากันถึงความทุกข์ยาก แสนเข็ญ ระหว่างนี้ ก็ยังอาจไม่ถึงกับหนักหนา-สาหัสเท่ากับภาพจินตนาการ หรือ “คำพยากรณ์-คำทำนาย”ที่เคยถูกกล่าวขานเอาไว้ในคัมภีร์ทางศาสนาหลายต่อหลายศาสนา โดยจะเอาไว้ขู่ขวัญ หรือเอาไว้เป็น “สติ”เป็น “เครื่องเตือนใจ”ใดๆก็แล้วแต่ อย่างเช่นพระคัมภีร์ไบเบิลของพวกศาสนาคริสต์เขา ที่อ้างอิงว่าเป็นคำพูด คำจา ของพระศาสดา อย่าง “พระเยซูคริสต์”ไปโน่นเลย เช่นที่ระบุไว้ว่า... “ท่านทั้งหลายจะได้ยินเสียงสงคราม และข่าวลือเรื่องสงคราม คอยระวังอย่าตื่นตระหนกเลย ด้วยว่าบรรดาสิ่งเหล่านี้จำต้องบังเกิดขึ้น แต่ที่สุดปลายยุคยังมาไม่ถึง เพราะประชาชาติต่อประชาชาติ ราชอาณาจักรต่อราชอาณาจักรจะต้องต่อสู้กัน ทั้งจะเกิดกันดารอาหารและแผ่นดินไหวในที่ต่างๆ เหตุการณ์ทั้งปวงนี้...เป็นเพียงขั้นแรกแห่งความทุกข์ ลำบาก ซึ่งจะต้องมีมาก่อนถึงยุคใหม่...”

เรียกว่า...อาจต้องลำบากกันถึงขั้น ต้องสวดมนต์ ภาวนา ต้องขอร้องวิงวอนต่อ “พระผู้เป็นเจ้า”หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ขอให้ตายโหง-ตายห่ากันโดยไว แทนที่จะต้อง “มีชีวิตอยู่”ภายใต้ความยากลำบากที่มีแต่จะหนักขึ้นๆเอาเลยถึงขั้นนั้น นี่ถ้ากันว่าคำพูด คำจา ตามเนื้อหา แนวคิด ในพระคัมภีร์ไบเบิลของศาสนาคริสต์เขา ส่วนศาสนาอื่นๆไม่ว่าอิสลาม ฮินดู หรือแม้แต่พุทธศาสนาของหมู่เฮา ก็คงไม่ถึงกับผิดแผก แตกต่าง ไปจากกันซักเท่าไหร่ อย่างเช่นช่วงจังหวะที่เรียกว่า “สัตถันตรกัปป์”ในศาสนาพุทธ หรือในเรื่องเล่าที่ว่ากันว่า ออกมาจากพระโอษฐ์ของ “พระพุทธเจ้า”ด้วยพระองค์เอง คือกัปป์ที่ใครต่อใครต่างมี “อาวุธ”อันแหลมคม อยู่ในไม้ ในมือ ของตัวเองไปด้วยกันทั้งสิ้น แล้วงัดมาพร่าผลาญ สังหารกันและกันภายใน 7 วัน จนผู้ที่อยากอยู่รอดต้องหนีตายไปอยู่ในซอกเขา ในป่าดงพงชัฏ อะไรประมาณนั้น ก็น่าขนพอง สยองขวัญ น่าขนหัวลุกไม่น้อยไปกว่ากัน...

โดยเหตุที่ศาสนาต่างๆเขาต้องวาดภาพ วาดจินตนาการ เอาไว้ในแนวน่าหวาดหวั่น น่าสั่นประสาท ไปได้ถึงขั้นนี้ อาจเป็นเพราะ “พื้นฐานความเชื่อ”ที่คล้ายๆกันนั่นแหละว่า อะไรก็ตามที่เกิดขึ้น-ตั้งอยู่-ย่อมต้องมีวันดับไป เสื่อมสลายและสูญสิ้นไปเป็นธรรมดา เหมือนกับการเกิดขึ้นของกลางวันและกลางคืน อะไรประมาณนั้น การสิ้นสุดของยุคหนึ่งๆและการมาถึงของยุคหนึ่งๆ จึงเป็นสิ่งที่ย่อมต้องเป็นไปตาม“วงรอบแห่งกาลเวลา” ดังนั้น...ภายใต้ความผันแปร ความหมุนเวียนเปลี่ยนแปลงเอาแน่-เอานอนอะไรแทบไม่ได้ จึงมีแต่ “ศาสนา”หรือมีแต่ “ธรรมะ”เท่านั้นนั่นแหละ ที่พอจะช่วยผ่อนหนักเป็นเบา หรือพอช่วยทุเลาเบาบางแต่ละสิ่ง แต่ละอย่าง ลงไปได้มั่ง จริง-ไม่จริง...เชื่อ-ไม่เชื่อ ถ้าหากยังไม่ถึงกับต้องตายโหง ตายห่า ลงไปซะก่อน น่าจะเก็บไปนั่งคิด นอนคิด เอาไว้มั่ง ก็น่าที่จะ “เข้าท่า”กว่าการ “ไหลไปตามกระแส”อย่างชนิดไม่มีจุดหมาย ปลายทางใดๆเอาไว้เลย...

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

สุขสันต์วันเกิดเมืองยาวหนึ่งปี

ดวงชะตาเมืองรัตนโกสินทร์ที่ถือกำเนิดจากพิธีวางเสาหลักเมือง หรือพระราชพิธีพระนครฐาน สมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัช

ยโสโอหังไม่ฟังใคร ไม่สนใจกระแส...คิดว่าแจงได้

อ่อนอกอ่อนใจจริงๆ กับสถานการณ์บ้านเมืองเวลานี้ ตั้งแต่ถ้อยคำ วาจา ท่าที ลีลาการหาเสียงของคนที่ถูกวางตัวว่าวันหนึ่งจะได้เป็นผู้นำประเทศ ตะโกนด้วยสุ้มเสียงมั่นอกมั่นใจในสิ่งที่พูด ท

สูตรแต่งตั้งตำรวจ

กว่าจะเคาะ กว่าจะคลอด ก็นั่งนับนิ้วกันแทบหงิก เพราะ 180 วัน ตามเงื่อนไขการบังคับใช้กฎ ก.ตร.ว่าด้วยการแต่งตั้งข้าราชการตำรวจ พ.ศ. 2567

ฤาประเทศไทยจะไร้สีสวย มีแต่สีแสบ

ประเทศไทยอยู่ในสภาพความขัดแย้งระหว่างสีเสื้อมาเกือบ 2 ทศวรรษแล้ว แม้เวลานี้เราจะมีรัฐบาลผสมแบบข้ามขั้ว แต่เราก็ยังไม่เห็นบรรยากาศของความปรองดองเกิดขึ้นอย่างแท้จริง