ค่อยๆ ติดตามกันไปเป็นระยะๆ

ในเมื่อมาแล้วว์ว์ว์...ยังไงๆ ย่อมต้องดีกว่าไม่คิดจะมา สำหรับการเดินทางมาเยือนประเทศไทยแลนด์ แดนสยาม ของหมู่เฮาอย่างเป็นทางการ โดยท่านนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น-ยุ่นปี่ นายฟูมิโอะ คิชิดะ อันตรงกับวาระครบรอบสัมพันธภาพไทย-ญี่ปุ่นที่อยู่ยั้งยืนยงมานานถึง 135 ปี ส่วนจะก่อให้เกิดความปลาบปลื้ม ปีติ ยินดี ทะลักไหลล้นหลามระหว่างแต่ละฝ่ายไปถึงขั้นไหนต่อขั้นไหน อันนั้น...ก็คงต้องคอยติดตามกันไปเป็นระยะๆ...

--------------------------------------------------

คือโดยลักษณะความผูกพัน ใกล้ชิด ติดพัน ระหว่างคุณพี่ญี่ปุ่น-ยุ่นปี่กับประเทศไทยแลนด์ แดนสยามของหมู่เฮา ตลอดช่วงระยะ 135 ปีที่ผ่านมานั้น คงต้องยอมรับเอาจริงๆ นั่นแหละว่า...ออกจะมีลีลาคล้ายบทเพลงยุคโบร่ำ-โบราณของอดีตครูเพลง สุรพล สมบัติเจริญ ที่มีชื่อว่า 16 ปีแห่งความหลัง

อยู่พอสมควรเหมือนกัน หรือ ทั้งรัก-ทั้งชัง-ทั้งหวานและขมขื่น กันไปตามสภาพ ไม่ว่าจะย้อนยุคไปถึงครั้ง ยามาดา นางามาสะ โน่นเลย ที่บทจะได้รับความยกย่อง ชื่นชม สรรเสริญเยินยอ ก็เป็นไปในระดับสุดๆ แต่บทจะหันมาเกลียดชัง เขม่นตา เขม่นเท้า เปรี้ยวมือ เปรี้ยวเท้า ก็เล่นเอาชาวญี่ปุ่น-ยุ่นปี่แทบเผ่นหนีออกจากประเทศไทยแทบไม่ทัน...

-------------------------------------------------

หรือจะในยุค โกโบริ หรือยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่แม้จะดูดดื่มอยู่มั่งในช่วงแรกๆ ในฐานะประเทศมหาเอเชียบูรพาหรือประเทศที่ร่วมอยู่ใน วงไพบูลย์เอเชีย ด้วยกัน แต่สุดท้าย...เมื่อ ญี่ปุ่นแพ้-แต่พี่ไทยไม่แพ้ บรรดาความดูดดื่มทั้งหลายจะกลายสภาพเป็นความเดือดดาล แดดิ้น-แดยัน หรือไม่? เพียงใด? ก็แล้วแต่จะไปคิดๆ กันเอาเอง แต่ที่แน่ๆ ก็คือ...บทบาทของประเทศญี่ปุ่นที่มีต่อไทย โดยเฉพาะในด้านการเงิน-การทอง การเศรษฐกิจ ย่อมเป็นอะไรที่มิอาจปฏิเสธได้อยู่แล้วแน่ๆ แม้อดีตผู้นำนักศึกษาชาวไทย อย่างคุณพี่ ธีรยุทธ บุญมี ท่านจะเคยลุกขึ้นมา ต่อต้านสินค้าญี่ปุ่น อย่างเป็นระบบและกิจการ เมื่อหลายต่อหลายสิบปีที่แล้ว แต่ยังไงๆ ไทยก็ยังคงต้อง เสร็จญี่ปุ่น อยู่ดีนั่นแหละ โดยเฉพาะในแง่เศรษฐกิจ...

----------------------------------------------------

การเดินทางมาเยือนประเทศไทยครั้งแรกในรอบ 9 ปี ของผู้นำระดับนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นคราวนี้...จึงคง ไม่ธรรมดา อยู่แล้วแน่ๆ หรือไปๆ-มาๆ...อาจไม่ต่างอะไรไปจากครั้งที่ท่านอุตส่าห์ค้ำถ่อ ถ่อร่าง เดินไปทางเยือนประเทศอินตะระเดียอย่างเป็นทางการ ไปจับเข่า จับหัวหน่าว บีบๆ คลึงๆ นวดๆ เพื่อหวังให้ผู้นำอินเดีย เลิกหันไปจูบปาก ไปสวมกอดกับ หมีขาวรัสเซีย อันเป็นไปตามความปรารถนาและต้องการของคุณพ่ออเมริกา ที่สามารถแผ่อำนาจและบารมี ครอบญี่ปุ่น ซะอยู่หมัด!!! มาตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ภายใต้มุมมองและแนวคิดของชาวญี่ปุ่นเอง ที่เรียกขานกันในนาม ลัทธิโยชิดะ อะไรประมาณนั้น...

-----------------------------------------------------

แต่ก็อย่างว่านั่นแหละ...ผู้นำอินตะระเดีย อย่างนายกฯ นเรนทรา โมดี นั้น ท่านคงไม่ใช่หันซ้าย-หันขวากันได้ง่ายๆ เผลอๆ อาจต้องเจอกับเนื้อเพลงอินเดียที่คุณพี่ บุญธรรม พระประโทน นำมาแปลงเป็นไทยๆ นั่นแหละว่า อย่ามาดันกูซิ...กูเจ็บกูนะ อะไรทำนองนั้น คือด้วยความแน่วแน่ มั่นคง ในความเป็นประเทศเอกราช ในอำนาจอธิปไตยของตัวเอง อีนี่...แขกก็เลยยังคงต้องซื้อน้ำมันรัสเซีย ถ่านหินรัสเซีย ไปจนถึงอาวุธ S-400 จากรัสเซีย ฯลฯ อย่างไม่คิดจะผันแปรไปเป็นอื่น...นะนายจ๋า ส่งผลให้ผู้นำญี่ปุ่น-ยุ่นปี่ อย่างนายกฯ คิชิดะ ต้องกลับบ้านมือเปล่าล้วนๆ ชนิดถ้าเป็นซามูไรยุคก่อน อาจแทบต้องฮาราคีรี ต้องคว้านท้องตัวเอง เอาเลยถึงขั้นนั้น...

----------------------------------------------------------

อย่างไรก็ตาม...ภายใต้ความต้องการสนองตอบต่อความปรารถนาและความต้องการของคุณพ่ออเมริกา อย่างชนิดมุ่งมั่นเอามากๆ การออกเดินสายเยือนโน่น เยือนนี่ ของท่านนายกฯ ญี่ปุ่นรายนี้ จึงเป็นอะไรที่พอคาดเดาได้ไม่ยาก ว่าหวังอะไร? หรือต้องการอะไร? กันแน่ แต่สำหรับการลงนามความร่วมมือไม่ว่าด้านการเงิน ด้านความมั่นคง หรือด้านอาวุธยุทโธปกรณ์ และเทคโนโลยี ไปจนถึงด้านความช่วยเหลือแบบให้เปล่ากับประเทศไทย เพื่อบรรลุความเป็น หุ้นส่วนยุทธศาสตร์ ระหว่างกันและกันนั้น จะนำไปสู่อะไรในวันนี้ หรือในอนาคตข้างหน้า ก็ยังยากซ์ซ์ซ์ที่จะสรุปได้ชัดเจน ด้วยเหตุเพราะโดยบุคลิกลีลาของประเทศไทยกับประเทศอย่างอินตะระเดียนั้น ย่อมผิดแผก แตกต่าง กันไปตามสภาพ...

-------------------------------------------------------------

หรือด้วยความเป็น สยามไมซ์เซชั่น ที่เคยทำให้ ญี่ปุ่นแพ้-แต่ไทยไม่แพ้ หรือเคยทำให้ ยามาดา นางามาสะ ต้องเผ่นหนีกลับบ้านแทบไม่ทัน เลยคงไม่อาจ ฟันธง ลงไปได้อย่างมิดด้าม เต็มด้าม ว่าพี่ไทยคงต้อง เสร็จญี่ปุ่น โดยมิอาจหลีกเลี่ยงหรือปฏิเสธ เหมือนอย่างที่เคย เสร็จอเมริกัน มาโดยตลอด คืออย่างน้อย...เมื่อกระทรวงต่างประเทศไทยท่านถึงกับต้องออก แถลงการณ์ ปฏิเสธว่าท่านไม่คิดจะ ขายชาติ โดยเด็ดขาด อีกทั้งภายใต้ ความลื่นไหล ของผู้นำประเทศอย่างท่านนายกฯ บิ๊กตู่ ที่สามารถเถลือกไถลมาได้ถึง 8 ปีเต็มๆ ยังไง...คงต้องรอดู หรือคงต้องค่อยๆ ติดตามกันไปเป็นระยะๆ อย่าถึงกับต้องไปหงุดหงิด งุ่นง่าน โกรธกริ้ว ฉิวฉุนล่วงหน้าจนเกินเหตุ ระหว่างนี้...ก็ลองหันไปฟังเพลง 16 ปีแห่งความหลัง ของครู สุรพล สมบัติเจริญ ไปพลางๆ ก่อนก็แล้วกัน...

------------------------------------------------------------

ปิดท้ายด้วยวาทะวันนี้...จาก John Paton Davies... “Successful diplomacy, like successful marriage, is not much publicized. – การทูตที่ประสบความสำเร็จเช่นเดียวการสมรสอันสมหวัง ที่ไม่ถูกนำมาป่าวประกาศให้เอิกเกริก...”

-----------------------------------------------------------

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ว่ากันไปเรื่อยๆ!!!

เห็นว่า...ตั้งแต่สัปดาห์หน้า วันที่ 1 มิ.ย. บรรดา ขาเฮ และ ขาหื่น ทั้งหลาย

ว่าด้วย...อนาคตของ “บิ๊กตู่”

หมู่นี้รู้สึกว่า...เสียงด่า เสียงทอ ท่านนายกฯ บิ๊กตู่ ของหมู่เฮา น่าจะซาๆ ไปพอสมควร จะด้วยเหตุเพราะใครต่อใครหันไปสนใจเรื่องอื่น