ถึงเวลาที่นายจ้างต้องคิดใหม่และปรับตัว

จากผลสำรวจของ PwC ดูเหมือนว่าแรงงานในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกประมาณ 1 ใน 5 ของลูกจ้าง มีแผนที่จะเปลี่ยนงานใหม่ ขณะที่ 1 ใน 3 ต้องการขอขึ้นเงินเดือน-เลื่อนตำแหน่ง โดยจะมีปรากฏการณ์ “การลาออกครั้งใหญ่” ของลูกจ้างที่จะยังดำเนินต่อไป หากงานที่ทำอยู่ไม่เติมเต็ม-ขาดธรรมาภิบาล นอกเหนือจากการได้รับผลตอบแทนที่เหมาะสม ขณะที่แรงงานไทยเกือบครึ่งให้ความสำคัญและต้องการให้นายจ้างสนับสนุนความหลากหลายและผสานความแตกต่างภายในองค์กร

สำหรับรายงานล่าสุด “Asia Pacific Workforce Hopes & Fears Survey 2022 : Time for a rethink?” ของ PwC ยังระบุอีกว่า มีพนักงานที่ถูกสำรวจเพียง 57% เท่านั้น ที่มีความพึงพอใจกับงานที่ทำอยู่ ขณะที่ในอีก 12 เดือนข้างหน้า ประมาณ 1 ใน 3 มีแผนที่จะขอขึ้นเงินเดือน และในสัดส่วนที่เท่ากันต้องการที่จะขอเลื่อนตำแหน่ง นอกจากนี้ 1 ใน 5 ของลูกจ้าง

ยังมีความตั้งใจที่จะเปลี่ยนงานใหม่ ผลลัพธ์เหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาด้านแรงงานที่บริษัทต่างๆ ทั่วทั้งภูมิภาคจะต้องเร่งแก้ไข ในขณะที่นายจ้างหลายรายก็ได้เผชิญกับปัญหาการขาดแคลนแรงงานที่มีทักษะและความสามารถสูงมาหลายปีแล้ว

ท่ามกลางภาวะตลาดแรงงานที่ตึงตัว การจ่ายผลตอบแทน ที่มากขึ้นของนายจ้างเพียงอย่างเดียว อาจไม่ใช่คำตอบที่ยั่งยืนนัก แม้ว่าบางอุตสาหกรรมจะเสนอค่าจ้างสูงขึ้นถึง 20-40% โดยผล สำรวจชี้ว่า 68% ของลูกจ้างในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ต้องการได้รับผลตอบแทนที่เหมาะสม แต่ในขณะเดียวกันพวกเขาก็ให้ความสำคัญกับสิ่งอื่นๆ ด้วย เช่น 64% ของแรงงาน ต้องการทำงานที่ให้ความรู้สึกเติมเต็มและมีความหมาย และ 62% ต้อง การทำงานในสถานที่ที่ตนจะได้แสดงความเป็นตัวของตัวเอง ซึ่งความต้องการเหล่านี้ ถือเป็นความต้องการพื้นฐานที่เหมือนกัน ไม่ว่าพนักงานจะทำงานจากที่บ้าน ทำงานแบบไฮบริด หรือทำงาน ณ สถานที่ทำงานก็ตาม

เมื่อพูดถึงการรักษาพนักงานที่มีความสามารถให้คงอยู่กับองค์กร ผลสำรวจแสดงให้เห็นว่า ยังมีสิ่งที่องค์กรในภูมิภาคนี้จะต้องปรับปรุงอย่างมีนัยสำคัญนั้น มีพนักงานเพียง 36% ที่กล่าวว่า นายจ้างของพวกเขามีการสนับสนุนการดูแลสุขภาพกายและสุขภาพจิต ส่วน 66% ของพนักงานรู้สึกว่านายจ้างไม่ได้สนับสนุนให้พวกเขามีการตัดสินใจอย่างมีจริยธรรม ขณะที่ 73% ของพนักงานรู้สึกว่า นายจ้างไม่ได้สนับสนุนให้มีการลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้นจากการดำเนินธุรกิจ

จากการสำรวจยังพบว่า นายจ้างน้อยกว่าครึ่ง หรือ 45% มีการยกระดับทักษะแรงงานของตัวเอง โดยบ่อยครั้งพบว่า มีหลายองค์กรที่มองว่า การยกระดับทักษะเป็นวิธีแก้ปัญหาระยะสั้นในการอุดช่องว่างด้านทักษะ แทนที่จะใช้วิธีพัฒนาแรงงานเชิงกลยุทธ์ โดย 1 ใน 3 ของพนักงานระบุว่า องค์กรของพวกเขาขาดคนที่มีทักษะในการปฏิบัติงาน ดังนั้นผู้บริหารจำเป็นที่จะต้องพิจารณาการยกระดับทักษะในลักษณะองค์รวมมากขึ้น โดยพิจารณาความต้องการของทั้งพนักงานและบริษัทในระยะยาว ตลอดจนการเปลี่ยนแปลงของตลาดในภาพรวมด้วย

แน่นอนว่ารูปแบบการทำงานแบบผสมผสานการทำงานจากที่บ้านและสถานที่ทำงาน (Hybrid work) จะคงดำเนินต่อไป โดย 68% ของผู้ถูกสำรวจในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกคิดว่า นายจ้างของพวกเขาจะใช้นโยบายการทำงานแบบไฮบริดในอีก 12 เดือนข้างหน้า ในขณะที่ลูกจ้างก็เห็นด้วยกับการทำงานรูปแบบนี้ในสัด ส่วนเดียวกัน อย่างไรก็ดี มีเพียง 10% ของแรงงานทั่วทั้งภูมิภาค ที่ต้องการทำงาน ณ สถานที่ทำงานในช่วง 12 เดือนนับจากนี้

แม้ว่าพนักงานส่วนใหญ่ต้องการที่จะทำงานแบบไฮบริด แต่องค์กรก็ไม่ควรมองข้ามพนักงานที่ต้องทำงานทางไกล หรือทำงาน ณ สถานที่ทำงานอย่างเต็มรูปแบบด้วยเช่นกัน โดย 38% ของลูกจ้างที่ไม่สามารถทำงานทางไกลได้ มีแนวโน้มที่จะรู้สึกไม่พอใจต่องานที่ทำในขณะที่พนักงานที่สามารถทำงานทางไกลได้ ก็มีความกังวลมากเป็นสองเท่าว่า จะถูกมองข้ามในการเลื่อนตำแหน่งและมีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนงานในที่สุด

นายชาญชัย ชัยประสิทธิ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท PwC ประเทศไทย กล่าวว่า ปัจจุบันหลายองค์กรเริ่มทยอยเรียกพนักงานกลับมาปฏิบัติงานที่ออฟฟิศกันมากขึ้นหลังสถานการณ์โควิด-19 เริ่มคลี่คลาย แต่ผู้บริหารจะต้องพิจารณารูปแบบการทำงานให้เหมาะสมกับตัวธุรกิจ และลักษณะงานของบุคลากรเป็นสำคัญด้วย วันนี้เราคงต้องยอมรับว่า สิ่งที่กลายเป็นวิถีใหม่แห่งโลกการทำงานยุคนิวนอร์มอลที่คนต้องการและคาดหวังจากนายจ้าง คือ ความยืดหยุ่นในการทำงาน ซึ่งหากขาดจุดนี้ไปเมื่อไหร่ ย่อมจะทำให้พนักงานตั้งคำถามกับนโยบายขององค์กร จนอาจทำให้พนักงานที่เป็นทาเลนต์หลุดมือไปจากบริษัทในที่สุด ประเด็นนี้ถือว่ามีความละเอียดอ่อนมาก

ไม่ว่าองค์กรจะเลือกรูปแบบการทำงานแบบไหน ควรให้พนักงานได้มีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็นก่อนตัดสินใจและกำหนดเป็นนโยบายของบริษัท ในขณะเดียวกัน การลงทุนด้านเทคโนโลยีที่ช่วยให้พนักงานสามารถทำงานจากที่ใดก็ได้อย่างมีประสิทธิภาพ จะยังคงเป็นสิ่งจำเป็นที่องค์กรรุ่นใหม่จะต้องไม่มองข้าม.

รุ่งนภา สารพิน

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

จับตาบาทอ่อนค่าต่อเนื่อง

ช่วงนี้หลายคนกำลังสงสัยว่าเพราะเหตุใดค่าเงินบาทของไทยอ่อนค่าเอา อ่อนค่าเอา ตอนนี้ราคาหลุดทะลุ 37 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐไปแล้ว แม้จะมีการแกว่งตัวแข็งค่าขึ้นบ้าง แต่ก็ถือว่ายังอยู่ในแนวโน้มอ่อนค่า

30@30 โอกาส SME

สำหรับนโยบาย 30@30 เป็นที่พูดถึงมาตั้งแต่ช่วงปลายปี 2565 จนมาถึงปัจจุบันที่นวัตกรรมและเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้า (EV) ในประเทศไทยแพร่หลายมากขึ้น และ EV ทั่วโลกกำลังตื่นตัวและก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว

Digital Walletกระตุ้นค้าปลีกไม่แรง

“โครงการ Digital Wallet” เรียกว่ามีความชัดเจนจากฝั่งรัฐบาลพอสมควร ไม่ว่าจะเป็นเรื่องหลักเกณฑ์ เงื่อนไขทั้งในส่วนของประชาชนและร้านค้าที่จะเข้าร่วมโครงการ รวมไปถึงแหล่งเงินที่จะใช้ในการดำเนินโครงการ แต่ก็ต้องยอมรับว่าความชัดเจนในส่วนนี้ก็ยังมีการตั้งคำถาม ซึ่งก็เป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่จะเร่งหาวิธีการเพื่อพิสูจน์ความชัดเจน และเดินหน้าโครงการตามขั้นตอนและวิธีการภายใต้กรอบของกฎหมายที่ได้ยืนยันมาโดยตลอด

อัปเกรดอุตฯเหล็กรับมาตรการCBAM

การเดินหน้ามาตรการปรับราคาคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดนของสหภาพยุโรป หรือ Carbon Border Adjustment Mechanism (CBAM) นั้น ส่งผลให้เกิดการตื่นตัวอย่างมากของกลุ่มผู้ผลิต

Gen AI ความท้าทายยุคใหม่

การก้าวตามเทคโนโลยีใหม่อย่าง Generative AI ที่มีการพัฒนาอย่างรวดเร็วอาจเป็นเรื่องที่ท้าทายและน่ากลัว โดยไม่มีใครรู้เลยว่าบริษัทที่ใช้แนวทาง "รอดูไปก่อน" จะถูกทิ้งไว้ข้างหลังในขณะที่ระบบดิจิทัลเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงเริ่มต้นของโควิด-19

'หนี้ครัวเรือน'แนวโน้มชะลอแต่สัดส่วนยังสูง

“หนี้ครัวเรือน” เป็นประเด็นที่หลายฝ่ายจับตา โดยจากข้อมูลของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์ ที่ระบุว่า ภาพรวมหนี้ครัวเรือนไทย ไตรมาส 3/2566 อยู่ที่ 16.2 ล้านล้านบาท