ปรับตัวรับมือสงครามการค้าสหรัฐ-จีน

สหรัฐอเมริกากำลังจะมีการเลือกตั้งชิงประธานาธิบดีรอบใหม่ในช่วงปลายปีนี้ และในการแข่งขันระหว่างสองแคนดิเดตอย่าง โจ ไบเดน และโดนัลด์ ทรัมป์ ก็ทวีความเข้มข้นต่อเนื่อง โดยเฉพาะการแข่งขัน “เล่นงานจีน”

โดยในช่วงที่ต้องการคะแนนนิยมจากประชาชน พบว่าเรื่องของการลดอิทธิพลจีนกลายเป็นเรื่องที่เรียกเสียงหนุนจากประชาชนมะกันได้มากพอสมควร

จนตอนนี้ใกล้เข้าสู่โค้งสุดท้ายของศึกเลือกตั้ง ประเด็นจีนจึงถูกปั่นกระแสกลายเป็น “สงครามการค้ารอบใหม่” ซึ่งรุนแรงถึงขนาดมีแนวคิดว่าจะไม่ให้สินค้า Made in China ราคาถูกเข้ามาตีตลาด ซึ่งเป็นการทำลายอุตสาหกรรมและการจ้างงานในประเทศ จะสกัดกั้นรถยนต์ไฟฟ้า หรือ EV จีนไม่ให้ได้ผุดได้เกิด เพราะจะเป็นการสร้างหายนะแก่อุตสาหกรรมรถยนต์อเมริกา

และเมื่อเทียบนโยบายระหว่าง สองผู้ท้าชิงที่มีต่อจีน พบว่านโยบายของทรัมป์จะส่งผลกระทบต่อจีนมากกว่า เพราะนอกจากเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจีนทั้งหมดแล้ว ยังมีแนวโน้มลดระดับความสัมพันธ์ทางการค้ากับจีน ยกเลิกการนำเข้าสินค้าที่จำเป็นจากจีน ตั้งแต่สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ เหล็ก ไปจนถึงยา ภายใน 4 ปี ทั้งยังขึ้นภาษีนำเข้ารถยนต์จีนที่ผลิตในเม็กซิโกในอัตรา 100% กำหนดข้อจำกัดการถือครอง (ownership) ของจีนในโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญของสหรัฐ เช่น พลังงาน เทคโนโลยี การแพทย์และการสื่อสาร และยังออกกฎใหม่เพื่อหยุดการลงทุนของบริษัทสหรัฐในจีนอีกด้วย"

อย่างไรก็ดี ที่ผ่านมาจีนมีการเตรียมการรับมือเอาไว้แล้ว ด้วยการปรับห่วงโซ่อุปทานและปรับช่องทางการค้า โดยกระจายความเสี่ยงส่งออกไปยังประเทศอื่นๆ มากขึ้น ซึ่งจะช่วยจำกัดผลลบต่อเศรษฐกิจจีนได้ ประกอบกับธนาคารกลางจีน (PBoC) อาจยอมปล่อยให้เงินหยวนอ่อนค่าลงเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ในระดับที่ไม่ทำให้เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดเงินทุนไหลออก ซึ่งก็จะช่วยบรรเทาผลลบจากกำแพงภาษีได้อีกทาง

เรียกได้ว่าตอนนี้ทางการจีนไม่ต้องการจะเป็นฝ่ายตั้งรับเพียงอย่างเดียว แต่กำลังจะโต้กลับด้วยแผนกลยุทธ์ใหม่ๆ นั่นก็คือการย้ายฐานการผลิต ซึ่งอาเซียนก็กำลังเป็นภูมิภาคที่หอมหวาน ที่จะดึงดูดเงินลงทุนจากจีนเข้ามายังประเทศไทย ดังจะเห็นในบางอุตสาหกรรม อย่างรถยนต์ไฟฟ้า ผู้ประกอบการจีนหลายค่ายก็เริ่มเข้ามาลงทุนในไทยบ้างแล้ว รวมถึงมีการดึงซัพพลายเออร์ของตัวเองเข้ามาด้วย และยังมีอีกหลายอุตสาหกรรมที่ทางการจีนสนใจ

แต่อย่างไรก็ดี ไทยไม่ใช่ประเทศเดียวที่นักลงทุนจีนสนใจ เพื่อนๆ ในอาเซียนอีกหลายประเทศก็เป็นจุดสนใจของนักลงทุนจีนเช่นกัน

ดังนั้นถึงเวลาแล้วที่รัฐบาลไทยจะต้องมีการสร้างความเชื่อมั่น และให้สิทธิประโยชน์ที่จูงใจ รวมถึงต้องมีการโฟกัส ดึงอุตสาหกรรมเป้าหมายที่เป็นเทคโนโลยีชั้นสูงเข้ามาต่อยอดเศรษฐกิจของเราต่อไปให้ได้ ซึ่งจากนี้สิ่งที่รัฐบาลควรจะทำมากที่สุดคือ ปรับโครงสร้างการศึกษา โดยเน้นสร้างบุคลากรทางด้าน STEM ย่อมาจาก Science, Technology, Engineering and Mathematics ซึ่งได้แก่ วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรมศาสตร์ และคณิตศาสตร์ ซึ่งมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งต่อตำแหน่งงานที่นักลงทุนในธุรกิจใหม่ต้องการ แต่ที่ไทยยังขาดแคลนมาก ซึ่งเรื่องนี้เป็นข้อเสียเปรียบเมื่อแข่งกับเพื่อนบ้าน ที่ไทยต้องอุดช่องโหว่ตรงนี้

นอกจากนี้ ไทยเองยังต้องวางนโยบายที่แสดงให้เห็นถึงความเป็นกลางระหว่างสองขั้วอำนาจทางเศรษฐกิจให้ได้ตลอด เพื่อที่จะต้อนรับนักลงทุนที่เข้ามาทั้งสองขั้ว ซึ่งประเด็นนี้เชื่อว่ารัฐบาลไทยจะต้องมีความละเอียดอ่อนในการแสดงออกถึงท่าทีต่างๆ

และที่สำคัญ รัฐบาลจะต้องวางยุทธศาสตร์ให้ไทยเราเป็นสวรรค์ของการทำงาน เพื่อดึงดูดคนเก่งๆ จากทั่วโลกมาทำงานที่ประเทศของเรา ซึ่งไทยเองมีข้อได้เปรียบเรื่องสภาพอากาศ ความสวยงาม และค่าครองชีพที่คุ้มค่า สมเหตุสมผล

ทั้งหมดนี้ ถ้าทำได้ ไทยเราจะได้รับประโยชน์จากการแข่งขันของสองขั้วอำนาจทางเศรษฐกิจอย่างดีแน่นอน.

 

ลลิตเทพ  ทรัพย์เมือง

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

เสริมสร้างธรรมาภิบาลองค์กร

ธรรมาภิบาลที่เข้มแข็งเป็นรากฐานสำคัญในการสร้างความไว้วางใจและดึงดูดการลงทุน ในช่วงเวลาที่นักลงทุนทั่วโลกให้ความสำคัญกับความยั่งยืนและความโปร่งใสมากขึ้น ท่ามกลางกระแสการตรวจสอบกรณีทุจริตทางธุรกิจที่เกิดขึ้นในหลายประเทศทั่วเอเชีย

ค้าปลีก-ร้านอาหารยังเติบโตในปี69?

เข้าสู่เดือนสุดท้ายของปี 2568 กันแล้ว แน่นอนว่าธุรกิจในปีหน้ายังคงมีโจทย์ท้าทายอีกหลายอย่างกำลังรออยู่ และตลอดปี 2568 นี้เอง ภาคธุรกิจต่างๆ ก็ไม่ง่าย! เพราะต้องเผชิญกับปัจจัยที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นตลอด

เจาะลึกเทรนด์อีคอมเมิร์ซไทย

ปัจจุบันตลาดอีคอมเมิร์ซไทยถูกขับเคลื่อนด้วยการแข่งขันของ 3 แพลตฟอร์มหลัก คือ Shopee 89%, TikTok Shop 71% และ Lazada 66% โดย 87% ของผู้บริโภคชาวไทยซื้อสินค้าออนไลน์เป็นประจำทุกสัปดาห์หรือทุกเดือน

เสริมความมั่นคงสุขภาพไทย

อุตสาหกรรมเครื่องมือแพทย์ของไทยกำลังเคลื่อนตัวเข้าสู่จังหวะใหม่ที่น่าสนใจ และสำคัญต่อความมั่นคงด้านสาธารณสุขของประเทศอย่างยิ่ง โดยเฉพาะเมื่อความต้องการเครื่องช่วยหายใจชนิด CPAP/BiPAP

อัปเกรดมาตรฐานความปลอดภัย

การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) จับมือหน่วยงานภาครัฐ เอกชน และพันธมิตรด้านอุตสาหกรรมท่องเที่ยว เปิดตัวความพร้อมโครงการ “Trusted Thailand” อย่างเป็นทางการ

ดาต้าเซ็นเตอร์เพิ่มโอกาสธุรกิจไทย

ในโลกที่เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทสำคัญ ธุรกิจที่ต้องการเติบโตอย่างมั่นคงจำเป็นต้องปรับตัวให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลง ไม่ว่าจะเป็นการใช้ระบบดิจิทัลเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ การสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า