
ในการแถลงนโยบายของ รัฐบาลแพทองธาร ชินวัตร ที่เกิดขึ้นในวันนี้ เชื่อว่าสิ่งที่ประชาชนรอคอยรับฟังมากที่สุดก็คงหนีไม่พ้นเรื่องโครงการแจกเงิน 10,000 บาทของรัฐบาล ที่มีหลายคนต่างเฝ้าคอย ต่างทวงถาม หลังรัฐบาลชุดก่อนหน้าให้ความหวัง ด้วยการเปิดให้ลงทะเบียนผ่านแอปทางรัฐ จนยอดทะลุกว่า 30 ล้านคน แต่จนแล้วจนรอดก็ยังไม่เห็นเงินลอยมาเข้ากระเป๋าเสียที
ดังนั้นสิ่งที่ประชาชนอยากรู้ที่สุดคือ วันที่ชัดเจนว่าเงินจะได้วันไหน แล้วได้เป็นเงินสดหรือเงินผ่านแอป ซึ่งที่ผ่านมามีทั้งผู้ที่เกี่ยวข้องและไม่เกี่ยวข้องออกมาให้ข้อมูลจนสะเปะสะปะไปหมด หาความชัดเจนไม่ได้
แน่นอนว่า การที่นโยบายมีการพลิกไปพลิกมา ปรับเปลี่ยนไม่หยุด แสดงให้เห็นถึงการทำงานที่ฉาบฉวย เอาแต่กระแส และไม่ได้คิดให้ครบรอบด้านของนโยบายตัวนี้ ผลก็เลยออกมาเป็นแบบมั่วๆ ไร้ทิศทาง ซึ่งกระทบต่อเครดิตของพรรคเพื่อไทยไม่ใช่น้อย
ถึงตอนนี้ แม้สุดท้ายแล้วรัฐบาลจะดันทุรังจนทำให้การจ่ายเงินออกมาสำเร็จ แต่การที่เพื่อไทยจะเคลมเครดิตจากโครงการนี้ ก็เรียกว่าเสียรังวัดไปพอสมควร เพราะไม่ตรงปกเหมือนที่เคยพูดไว้
อย่างล่าสุด รองนายกฯ ภูมิธรรม เวชยชัย ออกมาบอกว่า โครงการนี้จะให้เป็นเงินสด 2 รอบ ใช้ที่ไหนก็ได้ ไม่จำกัดร้านค้าและสินค้า กลายเป็นว่าวัตถุประสงค์เดิมที่ตั้งใจจะให้เป็นบล็อกเชน และกลับไปใช้จ่ายตามภูมิลำเนาที่ตัวเองอยู่ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก ก็ถูกเปลี่ยนอีกแล้ว ดังนั้นจึงมีคำถามว่า สิ่งที่มีความตั้งใจว่าจะสร้างพายุหมุนทางเศรษฐกิจถึง 4 ลูก จะทำได้ตามที่วางเอาไว้หรือไม่
ซึ่งตอนนี้ก็มีการปรามาสทั้งจากฝั่ง สว. และฝ่ายค้าน ว่าพายุหมุนที่ว่า จะกลายเป็นแค่ลมพัด หรือหย่อมความกดอากาศที่หมุนแบบอ่อนแรง
ไม่เพียงเท่านั้น เรื่องโครงการแจกเงิน 10,000 บาท ก็ยังมีความล่อแหลม เสี่ยงจะผิดกฎหมายอีก โดย นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ประธานกรรมการด้านวิชาการ พรรคพลังประชารัฐ ได้ร่อนจดหมายเปิดผนึกถึงนายกฯ อุ๊งอิ๊ง แสดงความกังวลว่า การแจกเงินในครั้งนี้อาจจะผิดกฎหมายในหลายประเด็น ทั้งเรื่องการแจกเงินในรูปเงินสดอาจจะฝ่าฝืน พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังฯ ม.9 วรรคสองและวรรคสาม ที่เกรงว่าเมื่อแจกเป็นเงินสด รัฐบาลจะไม่สามารถควบคุมการใช้เงิน ไม่ว่าในด้านพื้นที่ ด้านเวลา หรือด้านสินค้าและบริการ ไม่ว่ากรณีที่ผู้รับนำเงินไปเล่นพนัน หรือซื้ออุปกรณ์วัสดุที่นำเข้า ซึ่งพายุหมุนที่จะเกิดผลกระตุ้นเศรษฐกิจกลับจะไปเกิดใต้ดิน หรือในต่างประเทศ ซึ่งจะทำให้ผลการกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศแผ่วลง และอาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาว
และยังมีความกังวลในเชิงเทคนิค ไม่ว่าจะเป็นปัญหาในระบบการชำระเงิน, ความยุ่งยากในการเปิดบัญชีเพื่อรับเงินดิจิทัล และความล่าช้าในการยืนยันผ่านรายการสำหรับเงินดิจิทัล ซึ่งล้วนเป็นเรื่องที่น่าหนักใจ และส่งผลโดยตรงกับการทำธุรกรรมซื้อขายหากมีการจ่ายเงินดิจิทัล
นี่คือความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นกับโครงการเงินหมื่น ซึ่งอาจนำไปสู่หายนะของรัฐบาลหากดำเนินการไม่รอบคอบและถูกต้อง.
ลลิตเทพ ทรัพย์เมือง
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
เสริมสร้างธรรมาภิบาลองค์กร
ธรรมาภิบาลที่เข้มแข็งเป็นรากฐานสำคัญในการสร้างความไว้วางใจและดึงดูดการลงทุน ในช่วงเวลาที่นักลงทุนทั่วโลกให้ความสำคัญกับความยั่งยืนและความโปร่งใสมากขึ้น ท่ามกลางกระแสการตรวจสอบกรณีทุจริตทางธุรกิจที่เกิดขึ้นในหลายประเทศทั่วเอเชีย
ค้าปลีก-ร้านอาหารยังเติบโตในปี69?
เข้าสู่เดือนสุดท้ายของปี 2568 กันแล้ว แน่นอนว่าธุรกิจในปีหน้ายังคงมีโจทย์ท้าทายอีกหลายอย่างกำลังรออยู่ และตลอดปี 2568 นี้เอง ภาคธุรกิจต่างๆ ก็ไม่ง่าย! เพราะต้องเผชิญกับปัจจัยที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นตลอด
เจาะลึกเทรนด์อีคอมเมิร์ซไทย
ปัจจุบันตลาดอีคอมเมิร์ซไทยถูกขับเคลื่อนด้วยการแข่งขันของ 3 แพลตฟอร์มหลัก คือ Shopee 89%, TikTok Shop 71% และ Lazada 66% โดย 87% ของผู้บริโภคชาวไทยซื้อสินค้าออนไลน์เป็นประจำทุกสัปดาห์หรือทุกเดือน
เสริมความมั่นคงสุขภาพไทย
อุตสาหกรรมเครื่องมือแพทย์ของไทยกำลังเคลื่อนตัวเข้าสู่จังหวะใหม่ที่น่าสนใจ และสำคัญต่อความมั่นคงด้านสาธารณสุขของประเทศอย่างยิ่ง โดยเฉพาะเมื่อความต้องการเครื่องช่วยหายใจชนิด CPAP/BiPAP
อัปเกรดมาตรฐานความปลอดภัย
การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) จับมือหน่วยงานภาครัฐ เอกชน และพันธมิตรด้านอุตสาหกรรมท่องเที่ยว เปิดตัวความพร้อมโครงการ “Trusted Thailand” อย่างเป็นทางการ
ดาต้าเซ็นเตอร์เพิ่มโอกาสธุรกิจไทย
ในโลกที่เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทสำคัญ ธุรกิจที่ต้องการเติบโตอย่างมั่นคงจำเป็นต้องปรับตัวให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลง ไม่ว่าจะเป็นการใช้ระบบดิจิทัลเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ การสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า


