นักการเมืองบางคน (ย้ำ บางคนนะ ไม่ใช่ทุกคน) ที่มีพฤติกรรมแบบมนุษย์ยุคไดโนเสาร์ เล่นการเมืองกันแบบน้ำเน่า แย่งกันเป็นรัฐมนตรีโดยไม่คำนึงถึงความสามารถของตน ใช้อำนาจในทางไม่ชอบ ทำตัวเหนือกฎหมาย โกงกินเมื่อมีโอกาส ออกนโยบายและทำโครงการที่มีผลประโยชน์ทับซ้อน เล่นพรรคเล่นพวก แสดงความคิดเห็นด้วยตรรกะพิกลพิการที่แสดงให้เห็นว่าไม่มีความรู้หรือมีความตื้นเขินทางความคิด ปล่อยไก่กันเป็นเล้าๆ เถียงผู้มีความรู้ดีกว่าตนข้างๆ คูๆ พูดจาบางเรื่องก็แสดงความเห็นแก่ตัว ทั้งหมดนี้เป็นเหตุทำให้นักการเมืองรุ่นใหม่ที่รู้ดีว่าประชาชนจำนวนมาก เบื่อหน่ายนักการเมืองไดโนเสาร์เหล่านี้ รณรงค์หาเสียงเพื่อให้ชนะการเลือกตั้งด้วยข้อความหลักว่า
“หากเลือกพวกเขาแล้ว ประเทศไทยจะไม่เหมือนเดิม” และข้อความดังกล่าวนี้ได้ผลเป็นอย่างดี เพราะผู้คนจำนวนมากอยากเห็นการเมืองไทยมีการเปลี่ยนแปลง ดังนั้น พวกเขาจึงพากันเทคะแนนให้พรรคที่บอกว่าพวกเขาจะเข้ามาเปลี่ยนแปลงประเทศไทย
นอกจากพวกเขาจะประสบความสำเร็จด้วยการบอกกับประชาชนผู้มีสิทธิในการลงคะแนนเสียงเลือกตั้งว่าพวกเขาจะเข้ามาเปลี่ยนแปลงประเทศไทยแล้ว พวกเขายังมีความสามารถด้านการตลาดทางการเมืองที่ยอดเยี่ยม ด้วยการศึกษา “จุดเจ็บปวด” (pain points) ของกลุ่มเป้าหมาย แล้วนำเสนอตัวเองในฐานะผู้ที่จะมากำจัดจุดเจ็บปวดเหล่านั้น จุดเจ็บปวดที่พวกเขาตอกย้ำให้ผู้มีสิทธิในการลงคะแนนเสียงเลือกตั้งคือ เรื่องความเหลื่อมล้ำ เรื่องการถูกกดทับเหมือนทาสที่ไม่มีเสรีภาพ เรื่องกฎหมายที่ไม่เป็นธรรม เรื่องคุณภาพชีวิตที่ย่ำแย่เพราะขาดสวัสดิการที่ดี พวกเขาจึงวางจุดยืนทางการเมืองของพวกเขาว่าพวกเขาเป็นนักประชาธิปไตยที่จะมาปลดแอก ปลดปล่อยความเป็นทาส ให้สิทธิเสรีภาพแก่ประชาชน นำเสนอนโยบายของการเป็นรัฐสวัสดิการที่จะพัฒนาคุณภาพชีวิตด้วยการใช้ภาษีอย่างคุ้มค่า รวมกับการนำเสนอโครงการประชานิยมที่สัญญาว่าจะให้ผลประโยชน์ที่จับต้องได้กับประชาชน
ด้วยข้อเสนอที่สรุปเป็นคำสำคัญ 3 คำ คือ เสรีภาพ เสมอภาค และภราดรภาพ การปลดแอก การพัฒนาคุณภาพชีวิต และการจะนำการเปลี่ยนแปลงมาสู่ประเทศไทย พวกเขาได้ใจเยาวชน Gen Y และ Gen Z ไปเต็มๆ สร้างกระแสความเป็นประชาธิปไตยได้สำเร็จ ผู้ใหญ่ในบ้านเมือง ผู้บริหารสถานศึกษา พ่อแม่หลายครอบครัว ต่างกระโจนเข้ามาเป็นแนวร่วมกับพรรคที่นำเสนอการเปลี่ยนแปลงและเยาวชน Gen Y และ Gen Z ในสถานศึกษา ทั้งยินยอมและสนับสนุนให้พรรคดังกล่าวเข้าไปทำกิจกรรมการบรรยาย การจัดกิจกรรมพิเศษต่างๆ การแสดงปาฐกถา การจัดค่ายเยาวชน การประชุมวิชาการ และการจัดงานนิทรรศการ ปล่อยให้มีการให้ข้อมูลครอบงำประชาชน ไม่ว่าพรรคนี้ต้องการจัดกิจกรรมอะไรในสถานศึกษาก็จะยินยอมและสนับสนุน เพราะถ้าหากไปขวางไม่ให้มีการจัดกิจกรรมต่างๆ ที่กล่าวมาข้างต้น ก็จะถูกกล่าวหาว่าไม่มีความเป็นประชาธิปไตย เป็นคนหัวโบราณที่สนับสนุนเผด็จการ การครอบงำเยาวชนของพวกเขาจึงประสบความสำเร็จ
แต่สิ่งที่น่าเป็นห่วงก็คือ พรรคนี้เป็นพรรคที่มีจุดยืนเป็นปฏิกษัตริย์นิยม หรือพูดแบบภาษาชาวบ้านก็คือพวกเขาไม่เอาเจ้า พวกเขาไม่ต้องการสถาบันพระมหากษัตริย์ พวกเขาด้อยค่าสถาบันพระมหากษัตริย์ ถึงขนาดที่ถูกศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าพฤติกรรมของพวกเขาเซาะกร่อนบ่อนทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ให้ชำรุดทรุดโทรม เยาวชนที่เชื่อพวกเขาจะมีทัศนะที่ชังชาติ ประเทศไทยไม่มีอะไรดี จะต้องแก้ไขไปทุกเรื่อง รวมทั้งขนบธรรมเนียม ประเพณี ค่านิยม และวัฒนธรรมของชาติ
นอกจากพวกเขาจะมีทัศนะที่เป็นปรปักษ์ต่อสถาบันพระมหากษัตริย์แล้ว พวกเขายังมีทัศนะที่เป็นปรปักษ์กับทหารอีกด้วย คงจะเป็นเพราะพวกเขารู้ดีว่าทหารเป็นผู้ที่จงรักภักดีและทำหน้าที่ปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างเข้มแข็ง การแสดงออกของเขาทั้งวาจาและการกระทำด้อยค่าทหารเรื่องแล้วเรื่องเล่า ไม่ว่าทหารจะทำอะไร พวกเขาก็ไม่พอใจไปทุกเรื่อง วาทกรรมที่สำคัญของเขาคือ “ทหารมีไว้ทำไม” เขาอ้างว่าสมัยนี้ไม่มีใครเขารบกันแล้ว หรือถ้ามีการรบกัน เขาก็ด้อยค่าทหารไทยว่าไปรบกับใครก็ไม่ชนะ เขาเรียกร้องให้ลดกำลังพลของทหาร ให้ลดงบประมาณของทหาร ให้ลดบทบาททหารในการทำหน้าที่อื่นๆ ที่ไม่ใช่การทำสงคราม โดยไม่เข้าใจว่าทหารเขามีหน้าที่ในการรักษา “ความมั่นคงของประเทศ” และความมั่นคงที่ว่านี้ไม่ได้มีแค่การรักษาอธิปไตยและดินแดนเท่านั้น แต่หมายถึงความมั่นคงทางเศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติ วัฒนธรรม และคุณภาพชีวิตของประชาชนในด้านต่างๆ
ขณะนี้คนไทยในภาคเหนือต้องเผชิญกับอุทกภัย พระมหากษัตริย์และพระราชวงศ์มีพระมหากรุณาธิคุณ ทรงช่วยเหลือประชาชนในรูปแบบต่างๆ ทั้งผู้คนจิตอาสาในพระองค์ ครัวพระราชทาน ถุงยังชีพพระราชทาน สส.ของพรรคนี้ ติ่งหรือด้อมของพรรคนี้ก็หาประเด็นมาแซะ มาด้อยค่าสิ่งที่ทรงพระกรุณาช่วยเหลือประชาชน รวมทั้งด้อยค่าการทำงานของทหาร บางคนก็บอกว่าไม่ใช่หน้าที่ทหารที่จะไปทำหน้าที่ดังกล่าว พูดเหมือนกลัวทหารจะทำดีเป็นที่ถูกใจประชาชน ลดความขลังของวาทกรรมที่ว่า “ทหารมีไว้ทำไม” หลายคนตั้งคำถามกับติ่งและด้อมของพวกเขาที่เคยคล้อยตามวาทกรรมดังกล่าวว่า ทีนี้รู้แล้วยังว่า “ทหารมีไว้ทำไม” มีไว้เพื่อช่วยเหลือประชาชนในยามที่ต้องเผชิญกับความทุกข์ยาก นอกจากพวกเขาจะด้อยค่าการกระทำของทหารแล้ว ยังด้อยค่าถุงยังชีพพระราชทาน อาหารพระราชทานอีกด้วย พวกเขาเองไม่แจกอะไร อ้างว่าไม่เชื่อเรื่องระบบอุปถัมภ์ที่จะก่อให้เกิดเป็นบุญคุณ แบบนี้เรียกว่า “มือไม่พาย แต่เอาเท้าราน้ำ” พวกเขาบอกว่าแค่ลงไปพบปะประชาชนให้ประชาชนมองตาว่าพวกเขามาร่วมทุกข์กับประชาชนก็พอแล้ว นี่สินะ การเปลี่ยนแปลงประเทศไทยของพวกเขาที่ชัดเจนว่า “ทหารก็ไม่เอา เจ้าก็จะล้ม” แบบนี้แล้วคนที่มีสิทธิลงคะแนนเสียงเลือกตั้งยังจะชื่นชมคนของพรรคนี้อีกไหม ยังจะเลือกให้เขาเข้ามาเปลี่ยนแปลงประเทศไทยอีกไหม คิดให้ลึกๆ ก่อนหย่อนบัตรก็จะดีนะคะ.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ถามไม่ถูกคน...สัปดนไหมล่ะ
ตั้งแต่มีการประกาศว่าแพทองธารคือ หนึ่งในรายชื่อที่พรรคเพื่อไทยเสนอให้เป็นนายกรัฐมนตรี หลายคนเริ่มเป็นห่วงประเทศชาติ เพราะผู้ที่ติดตามข่าวสารบ้านเมืองก็พอจะอนุมานได้ว่า แ
เมื่อ'ธรรมชาติ'สำแดงเดช!!!
ไม่ใช่แค่ได้มีโอกาส หึ่มฮึม-ฮึ้มหึ่มม์ม์ม์ ตามลีลาบทเพลง “พอย่างเข้าเขตหน้าหนาว-ลมหนาวก็โชยพัดกระหน่ำ” ของท่านบรมครู คุณครู ล้วน ควันธรรม เท่านั้น แต่ต้องเรียกว่า...ถึงขั้น งั่กก์ก์ก์ๆๆ
นายพลเล็กสะดุด!
เหมือนจะครบ เหมือนจะจบแบบ "แฮปปี้เอนดิง" บัญชีแต่งตั้ง "นายพล" ล็อตสอง ตำแหน่งรองผู้บัญชาการ (รองผบช.) ถึงผู้บังคับการ (ผบก.) วาระจำประจำปี 2567
ส่งเสริมหรือเสื่อมเสีย
สำหรับ FC เพื่อไทย ไม่ว่าจะเป็น สส.ในพรรค หัวคะแนน ข้าราชการที่ได้ตำแหน่งเพราะทักษิณและตัวแทนทักษิณ นักธุรกิจที่ได้ประโยชน์จากนโยบายและโครงการต่างๆ ของทักษิณ
บทเพลงสำหรับปีใหม่-ฟ้าใหม่
ปีพุทธศักราช 2568 หรือคริสต์ศักราช 2025 หรือ ปีงู ปีนี้...ไม่ว่าจะหมอดง หมอดู นักวิเคราะห์ นักวิแคะ ดูๆ ท่านออกจะเห็นไปในแนวเดียวกัน คือหนักไปทาง หนักหนา-สาหัส
ลัคนามีนกับเค้าโครงชีวิตปี2568
สรุป-ตลอดทั้งปีทุกข์สองอย่างคือ ค่าใช้จ่ายและทุกข์ถึงตัวตรงๆ ยังอ้อยอิ่งในชีวิต มีโอกาสสู