
แม้แต่บรรดาผู้ที่ยึดมั่นใน อุเบกขาธรรม ทั้งหลาย...ไม่ว่าจะหนักไปทาง เฉยมอง หรือ เฉยเมิน ก็ดูจะอดรนทนไม่ได้ไปด้วยกันทั้งสิ้น ด้วยเหตุนี้...ไม่ว่าจะเป็นองค์กรทางศาสนา พุทธ-คริสต์-อิสลาม ราชบัณฑิตยฯ นักการเมือง อดีตนักการเมือง อดีต สว. แพทย์ นักคิด-นักวิชาการ นักเศรษฐศาสตร์ ตลอดจนครูบาอาจารย์ ลูกศิษย์ ลูกหา ฯลฯ ต่างต้องออกมาแสดงตน แสดงความปรารถนาและต้องการ ที่จะไม่ให้สิ่งที่เรียกว่า กาสิโนคอมเพล็กซ์ หรือจะหันไปเรียกว่า เอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ก็แล้วแต่ อุบัติขึ้นมาในไทยแลนด์ แดนสยาม ได้โดยเด็ดขาด!!!
นี่...อันนี้ต้องเรียกว่า ออกจะเป็นอะไรที่น่าทึ่ง น่าประทับใจ เอามากๆ แม้ว่ายังไม่ถึงกับต้องสวมรองเท้าผ้าใบ ใส่เสื้อขาว ยังไม่ต้องเหน็ดเหนื่อย เมื่อยล้า อะไรมาก แต่ก็ด้วยอารมณ์-ความรู้สึก ด้วยความปรารถนาและต้องการที่เป็นไปในแนวเดียวกัน อันเป็นความรู้สึกที่มีสิ่งที่เรียกว่า ศีลธรรม ติดปลายนวมเอาไว้มั่ง ไม่ว่ามากหรือน้อย หรือจะด้วยเหตุผลอื่นๆ เป็นองค์ประกอบอีกหรือไม่? อย่างไร? ก็ตาม ผู้ที่มีอำนาจสูงสุดในการบริหารประเทศอย่างท่านนายกฯ เจนวาย คุณหลาน อุ๊งอิ๊ง และบิดาบังเกิดเกล้า ท่านเลยต้องยอม เลื่อน โดยจะถึงขั้น เลิก ไปเลยหรือไม่? ประการใด? อันนั้น...คงต้องค่อยไปว่ากันอีกที...
แต่การแสดงออกถึงความรู้สึกที่ยังคงผูกพัน ยังคงอาลัย-อาวรณ์ อยู่กับสิ่งที่เรียกว่า ศีลธรรม นี่แหละ ต้องถือว่าเป็นเรื่องที่น่าทึ่ง น่าสรรเสริญ เอามากๆ เพราะถ้าหากบรรดาสิ่งเหล่านี้ได้ถูกตัดขาด แยกขาด ไปจากอารมณ์ความรู้สึก หรือพฤติกรรมของใครต่อใครก็แล้วแต่ โอกาสที่จะเรียกขานบุคคลเหล่านั้นว่า มนุษย์ มันก็ออกจะไม่เต็มปาก-เต็มคำมากมายซักเท่าไหร่ เนื่องจากแนวโน้มที่อาจกระเดียดไปทาง เดียรัจฉาน ย่อมเป็นไปได้เสมอๆ ด้วยเหตุเพราะสิ่งที่เรียกว่า ศีลธรรม นั้น แม้จะเป็นอะไรที่แห้งๆ ไม่ได้สดใส ซาบซ่า ไม่ก่อให้เกิดความเมามันซ์ซ์ซ์ สนุกสนาน บันเทิง เริงรมย์ อะไรมาก แต่สุดท้าย...คงมิอาจปฏิเสธได้เลยว่า ย่อมนำมาซึ่ง ความสงบ-ความเย็น ไม่ว่าต่อตัวกูเอง หรือผู้อื่น ได้อย่างเป็นมรรค-เป็นผล มาโดยตลอด...
แม้ว่าโดยแนวโน้มสังคมในช่วงหลังๆ...สิ่งที่ว่านี้อาจถูกทำให้กลายเป็นอะไรที่เชยส์ส์ส์ ที่โง่ ที่เสแสร้ง-ดัดจริต ชนิดบรรดาผู้ซึ่งยังคงยึดมั่นอยู่ในคุณงาม-ความดี อันมีที่มาจาก ศีลธรรม ทั้งหลาย ต้องกลายสภาพไปเป็น คนดีย์ หรือคนประเภทดัดจริตผิดวิสัยมนุษย์มนาไปเลยก็มี แต่ด้วยเพราะ เหตุผล ของบรรดามวลมนุษย์ นับวัน...มันชักจะซับซ้อน พิสดาร หรือกระทั่ง วิตถาร ยิ่งเข้าไปทุกที จนทำให้สังคมแต่ละสังคมมักหาทางออก-ทางไปแทบไม่เจอ แม้ว่าจะปกครองกันด้วย ระบอบประชาธิปไตย อันถือเป็นอะไรที่สูงส่ง วิเศษวิเสโส ระดับผัวกิน-เมียหาย-พ่อตาไม่ตาย-แถมแม่ยายยังฟื้น ฯลฯ หรืออะไรต่อมิอะไรก็แล้วแต่ แต่สุดท้าย...ประชาธิปไตยก็ยังคงต้องกลายสภาพเป็น ประชาธิป-ตาย ไปจนได้ อันเนื่องมาจากการขาดไร้เสียสิ่งซึ่งเรียกว่า ศีลธรรม นั่นแล...
ดังนั้น...ไม่ว่าสิ่งที่เรียกว่า ศีลธรรม จะถูกทำให้เป็นอะไรที่โง่ ที่เชยส์ส์ส์ ที่ดัดจริต ใครพูดขึ้นมาต้องกันออกไปห่างๆ หรือต้องถามกลับว่า จอดไทม์แมชชีน เอาไว้ที่ไหน ฯลฯ อะไรประมาณนั้น แต่ยังไงๆ...ก็คงต้องยอมรับอย่างมิอาจปฏิเสธได้เลยแม้แต่น้อย ว่าเป็นสิ่งที่มี ประโยชน์ อย่างชนิดมากมาย มหาศาล ไม่ว่าต่อตัวเองและผู้อื่น รวมถึงสังคมทั้งสังคมอีกด้วยก็ย่อมได้ เผลอๆ...อาจมีประโยชน์เสียยิ่งกว่า กฎหมาย หรือกฎ-ระเบียบใดๆ ก็ตาม แม้จะไม่มี บทลงโทษ แบบถนัดชัดเจน ต่อผู้ที่ไม่คิดจะยึดมั่นในสิ่งเหล่านี้ มีเพียงแค่ กฎเหล็กแห่งธรรมชาติ หรือจะเรียกว่า กฎของพระเจ้า ก็ย่อมได้ อย่างที่บรรดาชาวอิสลามเขาได้อธิบายเอาไว้แบบสั้นๆ-ง่ายๆ ว่า... “พระเจ้าทรงมอบเสรีภาพให้กับมนุษย์ในอันที่จะทำดีก็ได้-ทำชั่วก็ได้...เพียงแต่เขาเหล่านั้นจะต้องรับผลแห่งการกระทำอย่างไม่มีข้อยกเว้นแม้แต่อณูเดียว” เป็นตัวรองรับเอาไว้เท่านั้นเอง...
แต่ก็นั่นแหละ...ไม่ว่าผู้ที่เชื่อมั่นในพระเจ้า หรือผู้ที่ไม่เชื่อว่ามีพระเจ้า แต่พร้อมน้อมรับเอาสิ่งที่เรียกว่า ศีลธรรม เข้ามาไว้ในตัว ไม่ว่าด้วยการ ปลูกฝัง สิ่งเหล่านี้ไว้ในแต่ละสังคมต่อเนื่องกันไปเป็นขั้นๆ หรือด้วยอะไรบางอย่างที่ แฝงฝัง อยู่ในจิตสำนึก จิตไร้สำนึก ของผู้คน จนก่อให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า ศีลธรรมตามธรรมชาติ ขึ้นมาเองก็ตาม ส่งผลให้การดำเนินชีวิตของผู้คนแต่ละสังคม ไม่ว่าตั้งแต่ยุคบรรพกาล ยุคศักดินา เผด็จการ จนถึงยุคประชาธิปไตย จึงมิอาจขาดเสียซึ่งสิ่งที่เรียกว่า ศีลธรรม ได้เลย ตรงกันข้าม...ไม่ว่าสังคมใด ชาติใด ภาษาใด หรือไม่ว่าจะปกครองกันด้วยระบบไหน ระบอบไหน แต่ถ้าขาดไร้เสียซึ่ง ศีลธรรม ซะอย่าง ยังไงๆ...ย่อมหนีไม่พ้นที่จะต้องเป็นไปตามแบบฉบับที่คุณ ถนอม อัครเศรณี ท่านเคยรจนาเอาไว้เป็นบทกลอนนั่นแหละว่า... “ชาติใดไร้ธรรมอำไพ-ชาตินั้นบรรลัยแน่นอน!!!”.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
แบกกันเข้าไป...แบกให้รอดนะ
บรรดาข้าทาสบริวารขออง สทร.ที่ทำหน้าที่เป็นนายแบก นางแบกทั้งหลาย ต่างพากันออกมายืนยันว่า สทร.ป่วย แล้วก็ต่อว่าต่อขานผู้คนที่เขาเห็นด้วยกับการแถลงของแพทยสภาว่า
ว่าด้วยคำชี้แนะของ‘อดีตนายกฯอานันท์’
ฟังจากที่ลูกสาวคุณพี่ ไตรรงค์ สุวรรณคีรี ไปคุยกับท่านอดีตนายกฯ อานันท์ ปันยารชุน แล้วได้นำเอาคำชี้แนะ ชี้นำ ของท่านอดีตนายกฯ ต่อบรรดา คนรุ่นใหม่ ทั้งหลาย
S26T ดำไปโผล่เขมร?
แม้จะเหลืออีกถึงกว่า 3 เดือน ตามกฎ ตามระเบียบการแต่งตั้ง "นายพล" วาระประจำปี ที่กำหนดให้การแต่งตั้งตำรวจระดับ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.) หรือเทียบเท่า
คาดผลตรีเทพย้ายราศีต่อคนลัคนาสถิตมีน
เดือนพฤษภาคมปี 2568 นี้ ดาวสำคัญทางโหรที่เรียกกันว่า ตรีเทพ อันได้แก่ พระราหูจร (8) เจ้าของความลุ่มหลงมัวเมา-ความมืด-อวิชชา หรือตัวแสบ-พระพฤหัสบดีจร (5) เจ้าแห่งปัญญาพิสุทธิ์ หรือหัวหน้า
เหตุปัจจัย...คนสงสัยว่าป่วยทิพย์
ในขณะที่ผู้คนจำนวนมากไม่เชื่อว่าคุณพ่อป่วยจริง แต่น่าจะป่วยทิพย์มากกว่า การอ้างว่าการอยู่ที่ห้อง VVIP ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจถือว่าเป็นการติดคุก 180 วัน ครบที่จะได้รับการพักโทษนอกเรือนจำ ประชาชนส่วนมากก็ไม่เห็นด้วย และคิดว่าคุณพ่อยังไม่ได้ติดคุกแม้แต่วันเดียว
เครือข่ายป้องกันตนเอง!!!
ไม่ว่า บ้านเรา ...หรือ โลก ดูๆ มันชักจะยุ่งๆ ยิ่งกว่าหนวดแขกพันกับฝอยขัดหม้อยิ่งเข้าไปทุกที แถมอาจไม่ใช่ยุ่งแต่เฉพาะเรื่องกฎ กติกา ระบบ ระเบียบ