“หนาวในเดือนพฤษภา.”

นายกฯ จะ “ป่วยการเมือง” หรือ “ป่วยจริง” ก็ช่างเถอะ!

แต่ผมก็สงสารและเห็นใจเธอนะ

เธอโตแล้วสำหรับตัวและอายุก็จริง แต่วุฒิภาวะและประสบการณ์ทั้งทางโลก, ทางชีวิต โดยเฉพาะทางการเมือง

“อุ๊งอิ๊ง” ยังเยาว์วัยนัก!

มะม่วง “บ่มแก๊ส” แม้ไม่หวาน แต่ผิวสวยพอหลอกตาคนได้ แต่อุ๊งอิ๊งเป็น “มะม่วงจำบ่ม” นอกจากยังใช้ไม่ได้แล้ว  มันยัง “เน่าใน” อีกตะหาก

ตำแหน่งนายกฯ มันคนละเรื่องกับตำแหน่งบริหารบริษัทซักบริษัทที่โคตรตระกูลตัวเองตั้งขึ้น แล้วยกเก้าอี้ผู้บริหารให้คุณหนูขึ้นไปนั่งเล่น

ถึงตอนนี้ เธอรู้แล้วใช่มั้ย มันไม่สนุกเลย กับการนั่งอ่าน-ยืนอ่านไอแพดต่อหน้าแขกบ้าน-แขกเมืองบ้าง ต่อหน้าไมค์แถลงข่าวบ้าง ต่อหน้าสมาชิกรัฐสภาบ้าง

ผมไม่โทษเธอหรอก.......

แต่โทษพ่อ-แม่ ที่เอาลูกมาทำเป็นหุ่นเชิดเพื่อตัว ไม่ใช่เพราะรักลูกหรอก เพราะโลภ เห็นแก่ตัวนั่นแหละ

ด้วยหวง ไม่ต้องการให้คนอื่นมานั่งในตำแหน่งที่ใช้อำนาจชี้นิ้วสั่งการประเทศได้ ตำแหน่งนายกฯ “อำนาจคุมประเทศ” ต้องอยู่กับตระกูลชินเท่านั้น!

ที่อุ๊งอิ๊งเปรยวันก่อนว่า “ใดใดในโลกล้วน อนิจจัง” นั้น ไม่ใช่ปากพาไป แต่ทะลักออกจากที่เก็บซ่อนไว้ใน “ส่วนลึก” ของใจเธอโดยตรง

เพราะช่วงนี้ เข้าปลายเมษา. อีกไม่กี่วันก็จะสู่เดือนพฤษภา.

เรื่อง “ปรับ ครม.” ที่พูดกันนั้น ลมเพ-ลมพัด

อุ๊งอิ๊งจะ “ลาออก” หรือจะ “ยุบสภา” หรือเรื่องทางคดี-ทางศาลของ “ทั้งพ่อ-ทั้งลูก” ที่อั้นลมมาเป็นเวลานาน นั่นละ เรื่องที่จะจรมา

พฤษภา.เป็นต้นไป มันถึงเวลาที่ “นาฬิกากรรม” จะตีบอกเวลาแล้ว!

เมื่อวาน (๒๕ เม.ย.๖๘) มีข่าวแพร่ไปทั่วว่า

“ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง” ได้นัด “นายชาญชัย อิสระเสนารักษ์”

เข้าฟังคำสั่งในวันที่ ๓๐ เมษายน เวลา ๑๓.๐๐ น.!

ฟังคำสั่งเรื่องอะไร?

ก็เรื่องที่นายชาญชัย “ยื่นคำร้อง” ขอให้ศาลไต่สวนกรณี “นายทักษิณ” ซึ่งต้องโทษจำคุก ๘ ปี แต่ได้รับการลดโทษเหลือ ๑ ปี และเข้ารับการรักษานอกเรือนจำโดยไม่ได้รับอนุญาตจากศาล

คำร้องที่นายชาญชัยยื่นต่อศาลเมื่อ ๑๐ ม.ค.๖๘ ใจความว่า

“การที่กรมราชทัณฑ์ส่งตัวนายทักษิณไปรักษาที่โรงพยาบาลตำรวจโดยไม่ผ่านการอนุญาตของศาล

อาจขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๘๙, ๘๙/๒ (๑) (๒) และ ๒๔๖

รวมถึง ไม่อาจอ้างอิง “กฎกระทรวง” ที่ออกตาม พ.ร.บ.ราชทัณฑ์ พ.ศ.๒๕๖๐ ได้ เพราะขัดต่อหลักกฎหมายแม่บท

ก็ “ลุ้นระทึก” กันละว่า ศาลจะมีคำสั่งอย่างไร คนที่ระทึกถึงขั้นหนาวในอุณหภูมิ ๔๐ องศา น่าจะเป็นทักษิณ

เราก็อย่าใช้ใจเอียงทางโน้น-ทางนี้ไปวิพากษ์วิจารณ์ทางคาดเดากันเลย รอฟังคำสั่งศาลท่านในวันที่ ๓๐ เมษา.นั่นแหละ ดีที่สุด

เห็นมั้ยล่ะ ย่างเข้าเขตพฤษภา.เท่านั้นแหละ “ทุกข์ซ้ำ-กรรมซัด วิบัติเป็น” ก็ประดัง-ประเด

เมื่อวานอีกเหมือนกัน....

นายชาญชัย อิสระเสนารักษ์, นายสมชาย แสวงการ, อาจารย์เจษฎ์ โทณะวณิก, นายนิติธร ล้ำเหลือ และ พล.ร.อ.พะจุณณ์ ตามประทีป

               ไปยื่นคำร้องต่อ “คณะกรรมการ ป.ป.ช.” ว่า

                “มายื่นเรื่องเพื่อขอให้ความปรากฏต่อ ป.ป.ช.ว่าด้วยการทำความผิดกรณีฝ่าฝืนบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ  พ.ศ.๒๕๖๐ มาตรา ๑๔๔ ในการร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี ๒๕๖๘

            ๑.สส.จะแปรญัตติ “งบรายจ่ายฯ ประจำปี .....

โดยการเปลี่ยนแปลงหรือแก้ไขเพิ่มเติมรายการหรือจำนวนงบประมาณในรายการมิได้

แต่อาจแปรญัตติในทางลดหรือตัดทอนรายจ่ายซึ่งมิใช่รายจ่ายตามข้อผูกพันอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้

            (๑.) เงินส่งใช้ต้นเงินกู้ (๒.) ดอกเบี้ยเงินกู้ (๓.) เงินที่กำหนดให้จ่ายตามกฎหมาย

            ๒.ในการพิจารณาของ สส., สว. หรือคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การเสนอการแปรญัตติหรือการกระทำด้วยประการใดๆ ที่มีผลให้ สส., สว. หรือ กมธ.มีส่วน ไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อมในการใช้งบประมาณรายจ่าย จะกระทำมิได้ ตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ.๒๕๖๐ ที่บัญญัติในวรรคสามเพิ่มเติม

            ๓.แต่ในกรณีที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) เป็นผู้กระทำการหรืออนุมัติให้กระทำการหรือรู้ว่ามีการกระทำดังกล่าวแล้ว

แต่ไม่ได้สั่งยับยั้ง

ให้ ครม.พ้นจากตำแหน่งทั้งคณะ นับแต่วันที่ศาลมีคำวินิจฉัย

            และให้เพิกถอนสิทธิรับสมัครรับเลือกตั้งของรัฐมนตรี ที่พ้นจากตำแหน่งนั้น เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่า ตนไม่ได้อยู่ในที่ประชุมในขณะที่มีมติ

และให้ผู้กระทำการต้องรับผิดชอบ ชดใช้เงินนั้นคืน พร้อมด้วยดอกเบี้ย ภายในเวลา ๒๐ ปี นับแต่วันที่มีการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีนั้น

๔.พวกข้าฯ ทั้งหมดนี้ ในฐานะประชาชนคนไทย

มีหน้าที่ป้องกันประเทศ พิทักษ์รักษาเกียรติภูมิ ผลประโยชน์ของชาติ สาธารณสมบัติของแผ่นดิน ไม่ร่วมมือหรือสนับสนุนการทุจริตและประพฤติมิชอบทุกรูปแบบ

ต้องการทำการเมืองสีขาว โปร่งใส ตรวจสอบได้ตามหลักธรรมาภิบาล จึงนำความแจ้งแก่ ป.ป.ช.

            โดยพวกข้าฯ ได้ทำตามกฎหมาย ป.ป.ช.ปี ๒๕๖๑ ส่วนที่ ๓ ว่าด้วยการฝ่าฝืน ม.๑๔๔ ของรัฐธรรมนูญ และ ม.๘๘ ของกฎหมาย ป.ป.ช. ที่บัญญัติว่า

            “เมื่อความปรากฏต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. หรือเมื่อคณะกรรมการ ป.ป.ช.ได้รับแจ้งจากหน่วยงานของรัฐตามบทบัญญัติ

ให้คณะกรรมการ ป.ป.ช.ดำเนินการสอบสวนในทางลับโดยพลัน เพราะเอกสารประกอบคำร้องที่ยื่นต่อ ป.ป.ช.เป็นการลงมติของผู้กระทำความผิดที่ครบถ้วนแล้ว

พวกข้าฯ ขอให้พี่น้องประชาชนร่วมไปกัน เพื่อปกป้องบ้านเมือง ไม่ใช่เป็นธนกิจการเมือง ที่อยู่ในมือกลุ่มทุนสามานย์ไม่กี่กลุ่ม ที่ยึดโยงแลกเปลี่ยนผลประโยชน์เพื่อตนเองและพวกพ้องเช่นนี้”

โดยสรุป..........

การยื่นเรื่องให้ ป.ป.ช.ครั้งนี้ เพื่อขอให้ ป.ป.ช.ดำเนินการตามกฎหมาย ป.ป.ช. และยื่นเรื่องต่อ “ศาลรัฐธรรมนูญ” โดยพลัน โดยมีรายชื่อผู้กระทำความผิดคือ

ครม.ทั้งคณะ

ยกเว้นคนที่พิสูจน์ได้ว่า ไม่อยู่ร่วมในการประชุมเพื่ออนุมัติปรับลด “งบประมาณรายจ่ายประจำปี ๒๕๖๘” แปรญัตติผ่าน วาระที่ ๑

เรื่อง การชำระเงินใช้ต้นเงินกู้ พร้อมชดเชยดอกเบี้ย และเป็นเงินกู้ตาม ม.๒๘ ของ “พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลัง” ที่รัฐบาลสั่งให้ ๕ ธนาคารของรัฐ ไป “ปรับลดงบประมาณ” ที่จะใช้หนี้

ทั้งในส่วนของเงินส่งใช้ต้นเงินกู้, ดอกเบี้ยเงินกู้ และเงินที่กำหนดจ่ายตามกฎหมาย

โดยนำเงินส่วนที่ปรับลบ “ยอด ๓.๕ หมื่นล้านบาท” เสนอเพิ่มเป็นรายจ่าย “งบกลาง” เพื่อใช้ในโครงการ “กระตุ้นเศรษฐกิจ” ผ่านโครงการเติมเงิน ๑๐,๐๐๐ บาท “ดิจิทัลวอลเล็ต” ของรัฐบาล

รวมถึง สส. ๓๐๙ คน สว. ๑๗๕ คน

ที่ร่วมโหวตผ่านงบประมาณรายจ่ายประจำปี ๒๕๖๘ ในวาระที่ ๒-๓

ขณะที่ กมธ.งบฯ ปี ๒๕๖๘ ทั้ง ๗๒ คน ก็ร่วมทำผิด ม.๑๔๔ ของรัฐธรรมนูญ ที่ปรับเพิ่มงบฯ รายจ่ายประจำปี ๒๕๖๘

เพื่อประโยชน์ของตนเอง โดยมีการแปรญัตติในชั้น กมธ.งบฯ ปี ๒๕๖๘ โดยนำเงินจาก “เงินงบกลาง” ยอด ๑,๒๕๖ ล้านบาท มาเพิ่มให้ “กองทุนเพื่อผู้ที่เคยเป็นสมาชิกรัฐสภา”

โดยมีหลักฐานเอกสารบันทึกการประชุม กมธ.งบฯ ปี ๖๘ ที่ สผ.๐๐๐๓.๐๕/๕๗๕๓ เมื่อวันที่ ๓ กันยายน ๒๕๖๗ ซึ่งขัดกับ ม.๑๔๔ วรรค ๒ ที่ระบุว่า

การเสนอการแปรญัตติหรือการกระทำด้วยประการใดๆ ที่มีผลให้ สส., สว. หรือ กมธ.มีส่วน ไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อมในการใช้งบประมาณรายจ่าย จะกระทำมิได้

ยกเว้น กมธ.งบฯ ผู้ที่โหวตไม่เห็นชอบกับการแปรญัตติงบส่วนนี้

นอกจากนี้ ยังรวมถึง “น.ส.แพทองธาร ชินวัตร” นายกฯ ที่เพิ่งเข้ารับตำแหน่งนายกฯ คนใหม่ในช่วงนั้น ได้รับทราบ และนำรายชื่อ ครม.ของรัฐบาลขณะนั้น ส่งให้สภารับทราบ

ซึ่งเป็นวันเดียวกับที่สภาผู้แทนราษฎร พิจารณาปรับเปลี่ยนงบประมาณรายจ่าย ประจำปี ๒๕๖๘ วาระ ๒ และ ๓ ทั้งที่มีการอภิปรายไม่เห็นด้วย

ในกรณีที่รัฐบาล “สั่งปรับลดงบฯ” ยอด ๓.๕ หมื่นล้านบาท มาใช้ในโครงการเพื่อประโยชน์ของรัฐบาลเอง อีกทั้งเป็นข้อผูกพันตามกฎหมายอื่นๆ

แต่นายกรัฐมนตรี “ทั้งที่ทราบ” และยังไม่สั่งระงับยับยั้ง

อีกทั้งยังจัดสรรเงินงบประมาณดังกล่าวไปใช้ ถือเป็นฝ่าฝืน ม.๖๒ ของ “พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลัง”

ทั้งที่ในอดีต เคยทำ พ.ร.บ.ขอเพิ่มงบประมาณเพื่อนำไปใช้จ่ายในโครงการของรัฐบาลแล้วกว่า ๑ แสนล้านบาท เมื่อวันที่ ๒๒ สิงหาคม ๒๕๖๗

นั่นสามารถทำได้ เพราะทำถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งต่างจากกรณีนี้

จึงขอให้ ป.ป.ช.เร่งตรวจสอบในทางลับโดยพลัน หากเห็นว่ามีมูล ก็ให้เสนอความเห็นต่อ “ศาลรัฐธรรมนูญ” ดำเนินการตามวรรคสาม ของ ม.๑๔๔ ของรัฐธรรมนูญ 

พร้อมเรียกเงินงบประมาณ ๓.๕ หมื่นล้านบาท และอีก ๑.๒ พันล้านบาท จากผู้ทำความผิดส่งคืนรัฐตามอำนาจหน้าที่ต่อไป.

               .........................................

               เจอดอกนี้....ถึงจุก

ผมจึงว่า เรื่องปรับ ครม.มันเรื่องย่อย ถูกร้องด้วยเรื่องผิดตามรัฐธรรมนูญ มาตรา ๑๔๔ ไปตุกติกกับเงินงบประมาณเพื่อตัวเองแบบนี้

“ลาออก-ยุบสภา” กลายเป็นเรื่องใหญ่ ในทาง “หนีตาย” เฉพาะหน้าขึ้นมาทันที!

อาจารย์เจษฎ์ โทณะวณิก อธิบายความเพิ่มเติม ว่า 

“เรื่องนี้ ถ้า ป.ป.ช.เห็นว่ามีมูล ก็ยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญได้ แล้วศาลจะเป็นผู้วินิจฉัย

ดังนั้น ป.ป.ช.ไม่ถึงต้องตัดสินเรื่องนี้เลย เพียงแต่ถ้ามีมูลก็ต้องดำเนินการโดยพลัน

การดำเนินการของ ป.ป ช.คาดว่าไม่เกิน ๒ เดือน ส่วนถ้าส่งศาลรัฐธรรมนูญแล้ว ศาลฯ มีเวลา ๑๕ วัน

ความผิดนี้ ครอบคลุมตั้งแต่ ครม.ชุดของนายเศรษฐา ทวีสิน และการกระทำดังกล่าว ยังผลต่อเนื่องมาถึงรัฐบาลของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร แยกเป็น ๒ ประเด็น

๑.การใช้งบประมาณที่ผิด

๒.ได้มีโอกาสเข้าไปใช้งบประมาณ ไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม ส่วน สส.ก็จะเป็น สส.ชุดปัจจุบัน รวมถึง สว.ก็เป็นชุดปัจจุบันด้วยเช่นกัน”

ส่วนอดีต สว.“สมชาย แสวงการ” บอกว่า 

“ข้อมูลนี้ เราศึกษากันมา ๕-๖ เดือนแล้ว เรามีรายงานการประชุมของคณะกรรมาธิการต่างๆ มีมติคณะรัฐมนตรี         ยอมรับว่า "เรื่องนี้เป็นเรื่องใหม่"

“แต่ผมและอาจารย์เจษฎ์ก็เป็นกรรมาธิการ ใน พ.ร.บ.ว่าด้วย ป.ป.ช. ซึ่งเห็นแล้วว่า "การใช้งบประมาณผิดประเภท เป็นเรื่องผิด"

เคยตักเตือนมาแล้วว่า "ขัดรัฐธรรมนูญ"

จึงมั่นใจว่า จะสามารถเอาผิดได้ แต่ต้องให้ ป.ป.ช.เป็นผู้ดำเนินการตามกฎหมาย

คิดว่า เรื่องนี้จะช่วยแก้ปัญหาประเทศ เพื่อไม่ให้เสียหายไปมากกว่านี้

เพราะตอนนี้ กำลังเข้าสู่การพิจารณา "งบประมาณปี ๒๕๖๙" และการแจกเงินใน "ดิจิทัลวอลเล็ต" ก็จะมีขึ้นอีก ทั้งที่ประเทศกำลังจะล้มละลายอยู่แล้ว

"จึงหวังว่า จะทำให้เรื่องนี้หยุด และทำให้ถูกต้อง ส่วนที่ทำผิดไปแล้วก็ต้องรับผิด ส่วนจะเป็นการล้างไพ่หรือไม่ มองว่าคนทำผิดก็ต้องรับผิดแค่นั้น"

ทั้งนี้ หาก ป.ป.ช.ไม่ยอมส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญ จะขอรอดูก่อนว่า จะทำอย่างไรต่อไป"

อืมมมมม....

ถ้าอุ๊งอิ๊งแกล้งป่วยหลบนักข่าวจะถามเรื่องไปเขมร แต่เจอลมร้อนต้นเดือนพฤษภา. ๒ เรื่องนี้

คงต้อง “ป่วย” จริงๆ เหมือนผมแล้วละ!

-เปลว สีเงิน

๒๖ เมษายน ๒๕๖๘

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ลูกค้า'พนันออนไลน์'

คงแซ่ดตลาดแตกไปแล้ว! กับเรื่องที่ศาลออกหมายจับ "พระธรรมวชิรานุวัตร” ซึ่งมีสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นธรรม

อุ๊งอิ๊ง ‘กัปตันเรือลอย’

น่าสงสาร “นายกฯ แพทองธาร” นะ สภาพตอนนี้ เธอไม่ต่าง “กัปตันเรือหลุด”! คือหลุดจากหลัก “ลอยเท้งเต้ง” กลางทะเล เครื่องยนต์ดับหมด ถ่อจะค้ำ พายจะจ้วง หางเสือจะคัดท้าย ไม่มีเลย

‘เหล้าใหม่’ ในไหเก่า

กับเรื่องบางเรื่อง..... เราให้ความเงียบในหัวใจของแต่ละคนตอบ กระจ่างจิตจะมีผลด้านสะท้อนคิดของแต่ละตัวคนเป็นคำตอบที่ “ทรงอิทธิพล” ยิ่งกว่าฟังศาสดาใดสอน

🛑LIVE ‘โหรภิญโญ’ ไขรหัส 3 ดาวใหญ่ย้ายราศี ‘พ่อ-ลูก’ ดวงแตกซ้ำซ้อน!! I อิสรภาพแห่งความคิด กับ..สำราญ รอดเพชร

‘โหรภิญโญ’ ไขรหัส 3 ดาวใหญ่ย้ายราศี ‘พ่อ-ลูก’ ดวงแตกซ้ำซ้อน!! อิสรภาพแห่งความคิด กับ..สำราญ รอดเพชร : วันเสาร์ที่ 10 พฤษภาคม 2568