กากีกะสีเขียว

อย่างไรก็ดี แม้จะยังไม่มีวาระการแต่งตั้ง นายพล เดือนเมษายน หรือแต่งตั้งกลางปี ทว่าข้อมูลที่ถูกจุดประกายขึ้นมาและเป็นคำถามที่หลายคนสงสัย เก้าอี้ รอง ผบ.ตร. ที่เปิดขึ้นมาใหม่เป็นตำแหน่งเฉพาะตัว ซึ่งขออนุมัติ ก.ตร. เปิดขึ้นมาแก้ไขเมื่อครั้งศาลปกครองกลางมีคำสั่งให้เพิกถอนคำสั่งสำรองราชการ บิ๊กต้อย-พล.ต.อ.วิระชัย ทรงเมตตา  ก่อนที่ศาลปกครองสูงสุดจะไม่คุ้มครองการเพิกถอนคำสั่งสำรองราชการ พล.ต.อ.วิระชัย ทำให้ บิ๊กต้อย ต้องไปอยู่ตำแหน่งสำรองราชการนั้น เก้าอี้ รอง ผบ.ตร. ที่เปิดใหม่ครั้งนี้ว่างหรือไม่ว่างกันแน่ และจะมีการนำมาใช้แต่งตั้ง ผู้ช่วย ผบ.ตร. ขึ้นมาดำรงตำแหน่งในการแต่งตั้งนายพลวาระเดือนเมษายนนี้หรือไม่ คือคำถามที่หลายคนรอฟังคำตอบจาก ผบ.ปั๊ด-พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข แม่ทัพใหญ่สีกากี ว่าตำแหน่ง รอง ผบ.ตร. ดังกล่าวนั้นว่างหรือไม่ อย่างไร หากเป็นตำแหน่งเฉพาะตัวของ บิ๊กต้อย จริงๆ บรรดา  ผู้ช่วย ผบ.ตร. ที่อยู่ในเกณฑ์ขยับขึ้นได้ทั้ง พล.ต.ท.ชินภัทร  สารสิน, พล.ต.ท.ไกรบุญ ทรวดทรง, พล.ต.ท.สราวุฒิ  การพานิช, พล.ต.ท.ปรีชา เจริญสหายานนท์ และ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล รวมทั้งดาวรุ่งพุ่งแรงอย่าง  พล.ต.ท.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ต่างก็ต้องรับประทานแห้ว ร้องเพลงรอวาระเดือนตุลาคม กระนั้นใช่หรือไม่...ผบ.ปั๊ด ๐

ย้อนมาดูผลการประชุม ก.ตร. วาระที่ยังไม่มีการแต่งตั้ง นายพล วาระเดือนเมษายน ที่ประชุมที่ นายกฯ ตู่ นั่งหัวโต๊ะประธานการประชุมผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ รับทราบตามคณะอนุกรรมการข้าราชการตำรวจด้านวินัย อุทธรณ์ ร้องทุกข์ และบริหารทรัพยากรบุคคล ได้รายงานข้อมูลการกระทำผิดวินัยร้ายแรงของข้าราชการตำรวจเดือน  ก.พ.65 มีตำรวจถูกลงโทษทั้งสิ้นจำนวน 23 นาย เป็นการไล่ออกจากราชการจำนวน 19 นาย และปลดออกจากราชการจำนวน 4 นาย ทั้งนี้ ตั้งแต่เดือน ม.ค.-ก.พ.65 มีตำรวจถูกลงโทษทั้งสิ้นจำนวน 36 นาย เป็นการไล่ออกจากราชการจำนวน 29 นาย และปลดออกจากราชการ จำนวน 7 นาย โดย นายกฯ ตู่ ได้กำชับเจ้าหน้าที่ตำรวจคนไหนประพฤติตนไม่ดี โดยเฉพาะการทำผิดอาญา-วินัยเสียเอง ต้องมีความรวดเร็วในการลงโทษตามระเบียบวินัย รวมทั้งสั่งการให้ ผบ.ปั๊ด เดินหน้ากวาดล้างแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่สร้างความเดือดร้อนให้ประชาชน ซึ่ง ผบ.ปั๊ด มอบหมายให้ บิ๊กเด่น-พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร.ประสานกับประเทศเพื่อนบ้าน แลกเปลี่ยนข้อมูลติดตามจับกุมแก๊งดังกล่าว ๐

เป็นอีกหนึ่งความพยายามในการแก้ปัญหา ตำรวจฆ่าตัวตาย ที่น่าชื่นชม บิ๊กราญ-พล.ต.ท.สำราญ นวลมา  ผบช.น. พร้อมด้วย พล.ต.ต.สมบูรณ์ เทียนขาว ผบก.สปพ. และ พ.ต.อ.กรกฎ โปชยะวณิช รอง ผบก.สปพ. จัดโครงการนำร่องป้องกันแก้ไขปัญหาการฆ่าตัวตายของข้าราชการตำรวจ ชื่อโครงการ "เพื่อนเศร้า เราห่วงใย ร่วมขจัดภาวะซึมเศร้า ของกำลังพล" เพื่อสร้างทีมขยายผลสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับหลักการ วิธีการด้านการรับฟังและการสื่อสารที่เป็นประโยชน์ อันสามารถจะช่วยเหลือผู้มีภาวะซึมเศร้า ลดปัญหาการฆ่าตัวตายได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเชิญคณะวิทยากรจากสมาคมสะมาริตันส์แห่งประเทศไทย  ซึ่งเป็นสมาคมที่มีอาสาสมัครผู้ดูแลทำหน้าที่รับฟัง และคลายทุกข์ให้แก่ผู้มารับคำปรึกษามายาวนานกว่า 40 ปี นำโดยคุณศรีอรุณ ธนะรัชติการนนท์ ผู้อำนวยการสมาคมสะมาริตันส์แห่งประเทศไทย และผู้ช่วยศาสตราจารย์ พันตรีหญิง ดอกเตอร์พนมพร พุ่มจันทร์ มาให้คำแนะนำในการดำเนินการต่างๆ ๐

ฮือฮาไม่น้อยหลัง ป.ป.ช.เปิดเผยบัญชีทรัพย์สินของ บิ๊กบี้-พล.อ.ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ ผู้บัญชาการทหารบก  โดยมีการแจ้งว่าตนเองและ อาจารย์เฌอ-พล.ต.หญิง พิมพ์พิศา จิตต์แก้วแท้ คู่สมรส อดีตอาจารย์โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า มีทรัพย์สินทั้งสิ้น 167,623,994 บาท เป็นทรัพย์สินของผู้ยื่น 19,112,534 บาท ของคู่สมรส  148,511,459 บาท ทรัพย์สินส่วนใหญ่เป็นเงินฝากของทั้งคู่ มูลค่ารวมกัน 19,922,119 บาท เป็นเงินลงทุนของ พล.อ.ณรงค์ศักดิ์ 300,000 บาท ที่ดินในชื่อของคู่สมรส 91,386,500 บาท ส่วนใหญ่อยู่ใน อ.ธัญบุรี จ.ปทุมธานี อ.เมืองลพบุรี อ.หนองโดน จ.สระบุรี อ.ปากเกร็ด  จ.นนทบุรี เขตราชเทวี เขตดินแดง กทม. โรงเรือนและสิ่งปลูกสร้างของทั้งคู่ มูลค่ารวมกัน 45,262,447  บาท ยานพาหนะของทั้งคู่ มูลค่ารวมกัน 4,500,000 บาท สิทธิและสัมปทานของทั้งคู่ มูลค่ารวมกัน 2,604,034 บาท  

ที่น่าสนใจ บิ๊กบี้ ได้แจ้งถึงรายได้ประจำรายปี ประกอบไปด้วยเงินเดือนประมาณ 1.4 ล้านบาท และ “เบี้ยประชุม” สภากลาโหมต่อปี 80,000 บาท (ตกครั้งละ  6,600 บาท) สำหรับการประชุมสภากลาโหมจะจัดขึ้นในวันพฤหัสบดีสัปดาห์สุดท้ายของเดือน ยกเว้น รมว.กลาโหม ซึ่งเป็นประธานติดภารกิจ ก็จะขยับวันประชุมขึ้นลงตามที่สะดวก มีจำนวนสมาชิกที่กำหนดไว้ในกฎหมาย 24 คน   แต่จะเชิญบุคคลที่เกี่ยวข้องกับงานด้านความมั่นคงเข้าร่วมประชุมเพื่อจะได้รับทราบนโยบายและข้อสั่งการต่างๆ ไปพร้อมกัน เช่น พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติที่ได้รับการแต่งตั้งมานั่งเป็นที่ปรึกษาด้วย แต่ช่วงหลังๆ พล.อ.ประวิตรซึ่งดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ก็ไม่ได้เข้าร่วมประชุมอีกเลย ในช่วงการแพร่ระบาดโควิด-19 พล.อ.ประยุทธ์ก็ใช้การประชุมผ่าน VTC เป็นหลัก ยกเว้นกรณีที่ต้องประชุมกับ ผบ.เหล่าทัพ ที่เป็นกรรมการปรับย้ายทหารชั้นนายพล ก็จะมากันแบบตัวเป็นๆ ที่ศาลาว่าการกระทรวงกลาโหม แต่แยกประชุมเป็นวงเล็กหลังหรือก่อนประชุมสภากลาโหมชุดใหญ่ สำหรับเนื้อหาในการประชุมจะมีประมาณ 6 วาระ เช่น สรุปการทำงานของเหล่าทัพและการสรุปสถานการณ์ด้านการข่าวความมั่นคง และวาระเพื่อพิจารณาซึ่งเป็นเรื่องนโยบาย ระเบียบ และการแต่งตั้งภายในหน่วย จากนั้นเป็นการสั่งการ พูดคุยกับสมาชิก ใช้เวลาประมาณ 1-2 ชม.๐

มาดูแนวคิดของ “เจนใหม่” ไฟแรงในกองทัพเรือ นักเรียนนายเรือชื่อแปลก โจนาร-นนร.พรกยกรัย บุญสม  อ่านว่า “พร -กะ-ยะ-กรัย" สังกัดกองพันที่ 1 กรมนักเรียนนายเรือรักษาพระองค์ ได้รับเหรียญรางวัลเรียนดีกองทุนเพื่อการศึกษาและวิจัยทางด้านวิศวกรรมศาสตร์ ในพระราชูปถัมภ์สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร  โดยมีผลการเรียนดี สอบได้ที่ 1 ของคณะวิศวกรรมศาสตร์ โรงเรียนนายเรือ โดยเมื่อวันที่ 23 ก.พ.65 เวลา 10.00  น. ที่ศาลาสหทัยสมาคม ในพระบรมมหาราชวัง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ นายเกษม วัฒนชัย องคมนตรี เป็นผู้แทนพระองค์ ออกรับนายธเนศ วีระศิริ นายกวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ประธานคณะกรรมการบริหารกองทุนฯ นำผู้ที่มีผลการเรียนดี สอบได้ที่ 1 ของคณะวิศวกรรมศาสตร์ ประจำปี 2564 จำนวน 39 คน  เข้ารับเหรียญรางวัลเรียนดี แต่เนื่องจาก นนร.พรกยกรัยติดภารกิจการฝึกภาคปฏิบัติในทะเลต่างประเทศของนักเรียนนายเรือประจำปีการศึกษา 2564 ระหว่าง 19 ก.พ.-19 มี.ค.65 จึงไม่ได้ไปรับเหรียญด้วยตนเอง แต่ก็ฝากคำให้สัมภาษณ์ถึงเคล็ดลับการเรียนเก่งมาด้วย โดย “โจนาร” มองว่า “การเรียนคือหน้าที่และความรับผิดชอบ ซึ่งผู้ที่เป็นนักเรียนควรจะตั้งใจและทำออกมาให้ดีที่สุด เวลาทำข้อสอบจะรู้สึกว่าเป็นเหมือนอุปสรรค ที่ต้องข้ามผ่านไปให้ได้ โดยอุปสรรคนั้นสามารถควบคุมและแก้ไขได้โดยการให้เวลาหรือใส่ใจในบทเรียน นั่นก็จะทำให้ผลการเรียนของเรานั้นออกมาดี” ....นับเป็นเลือดใหม่ของทหารเรือไทยอีกนายหนึ่ง ที่กำลังจะก้าวเข้ามารับใช้ชาติในบริบทความมั่นคง สังคม การเมืองที่เปลี่ยนแปลงไป โดยคนรุ่นปัจจุบันต้องฝากภาระหน้าที่ให้คนรุ่นนี้รับไม้ต่อไป.