
เลขาธิการราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ โพสต์ ‘สงครามเปลี่ยน กลยุทธ์ต้องปรับ’ เชื่อโรคระบาดทางเดินหายใจจากโควิด-19 ในประเทศไทยจะเริ่มเข้ารูปการระบาดเป็นตามฤดูกาล หลังจากการระบาดของสายพันธุ์โอมิครอนทั้ง BA1 และ BA2 จบลงอย่างแน่นอน
20 มี.ค.2565-ศ.นพ.นิธิ มหานนท์ เลขาธิการราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ และผู้อำนวยการโรงพยาบาลจุฬาภรณ์ โพสต์เฟซบุ๊ก เรื่อง “สงครามเปลี่ยน กลยุทธ์ต้องปรับ” ระบุว่า ช่วงหลังมีข่าวคราวทั้งจากองค์การอนามัยโลก (World Health Organization) และกระทรวงสาธารณสุขของประเทศไทยเราว่าจะปรับลดระดับความรุนแรงการระบาดของไวรัสโควิด-19 จากการระบาดใหญ่(ทั่วโลก) หรือ Pandemic ที่เป็นระดับสูงสุดของการระบาด มาเป็นระดับต่ำสุดของการระบาด ที่เรียกว่าการระบาดประจำถิ่นหรือ Endemic (ระดับ 1 ของการระบาด) ซึ่งการระบาดประจำถิ่นนี้หมายถึงการระบาดของโรคที่เกิดขึ้นเป็นประจำในพื้นที่ ที่มีอัตราป่วยคงที่และสามารถคาดการณ์และควบคุมได้ ขอบเขตของพื้นที่การเกิดโรคอาจเป็นเมืองหรือภูมิภาค เช่นโรคไข้เลือดออกในประเทศไทย โรคมาลาเรียในทวีปแอฟริกา เป็นต้น
การที่เราสามารถคาดการณ์การระบาดได้นั้นจะมีความสำคัญต่อการระวังป้องกันเป็นอย่างยิ่ง เช่นโรคไข้เลือดออกที่ทางภาครัฐเร่งระดมการกำจัดยุงในช่วงท้ายๆ ของฤดูฝน สำหรับการระบาดของโรคไวรัสทางเดินหายใจเช่นไข้หวัดใหญ่ หรือไข้หวัดธรรมดานั้น เราทราบว่าในประเทศไทยมักเกิดเป็นฤดูกาลในช่วงฤดูฝนหรือฤดูฝนต่อหนาว และมีการระบาดตามฤดูกาลอย่างสม่ำเสมอและคาดการณ์ได้ แต่ในประเทศเขตร้อนเช่นประเทศไทยอาจจะมีการระบาดเพิ่มอีกเล็กน้อยหลังจากที่เด็กนักเรียนเปิดเรียนและแพร่กระจายต่อในผู้ใหญ่ จึงอาจมีการระบาดสองครั้งได้ในบางปี ต่างจากในประเทศทางตะวันตกแถบซีกโลกเหนือที่มักมีการระบาดรุนแรงในฤดูที่อากาศหนาวเย็น
ดังนั้น การระบาดต่อไปของไวรัสโควิด-19 ที่เป็นโรคระบาดทางเดินหายใจที่จะเป็นการระบาดในระดับต่ำที่ควบคุมได้และคาดการณ์ได้ ก็น่าจะเป็นการระบาดหนักในช่วงฤดูฝนต่อหนาว เช่นเดียวกับโรคระบาดไวรัสทางเดินหายใจอื่นๆ
แต่เราจะคาดการณ์ได้หรือไม่ว่าการระบาดในท้องถิ่นจะมากขึ้นกว่าปกติกลายเป็นระดับที่ 2 ของการระบาดที่เรียกว่า Outbreak หรือจะกระจายในวงกว้างขึ้นออกนอกท้องถิ่นจนเป็นระดับ 3 ของการระบาดที่เรียกว่า Epidemic นั้น ทั้งนี้เพราะระดับความรุนแรงของการระบาดในแต่ละพื้นที่จะขึ้นกับระดับภูมิคุ้มกันของประชากรต่อเชื้อสายพันธุ์ที่ระบาดและมาตรการป้องกันอื่นๆ รวมไปถึงกิจกรรมในสังคมของท้องถิ่นหรือประเทศนั้นๆด้วย
ตามความเห็นส่วนตัว ผมคาดว่าโรคระบาดทางเดินหายใจจากโควิด-19 ในประเทศไทยจะเริ่มเข้ารูปการระบาดเป็นตามฤดูกาลหลังจากการระบาดของสายพันธุ์โอมิครอนทั้ง BA1 และ BA2 จบลงอย่างแน่นอน แม้ว่าจะไม่มีวัคซีนใดสามารถป้องกันการติดเชื้อโควิดสายพันธุ์โอมิครอนนี้ได้ดีพอในทุกช่วงอายุ แต่การได้วัคซีนอย่างน้อย 3 เข็มก็สามารถป้องกันการเกิดอาการรุนแรงและการเสียชีวิตได้ดีมาก ๆเหมือนกันอย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นวัคซีนชนิดใด (ไม่มีข้อมูลใดๆที่ยืนยันได้ว่า การกระตุ้นหรือได้รับวัคซีนชนิดใดมาก่อนจะดีหรือไม่ดีกว่ากัน มีแต่ข้อมูลว่า สำหรับสายพันธุ์โอมิครอน ผู้สูงอายุหรือผู้ที่มีโรคเรื้อรังทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ต้องได้รับวัคซีน 3 เข็มเพื่อลดความเสี่ยงในการป่วยหนักหรือเสียชีวิต) นอกจากนี้ ยังมีข้อมูลจากสหรัฐอเมริกาที่รายงานว่าในเด็กอายุ 5-11 ปี การได้รับวัคซีน mRNA 2 เข็มไม่สามารถป้องกันการติดเชื้อได้ดีพอ
ผมลองรวบรวมข้อมูลเบื้องต้นของพนักงานที่ทำงานในโรงพยาบาลจุฬาภรณ์และได้รับวัคซีนเข็มที่ 3 แล้วมากกว่า 96% โดยดูจากจำนวนพนักงานโรงพยาบาลจุฬาภรณ์ 1400 กว่าคนที่ได้รับวัคซีนชนิดต่างๆ ทั้งเข็มที่ 1 เข็มที่ 2 เข็มที่ 3 และเข็มที่ 4 กับจำนวนพนักงานที่ติดเชื้อโควิด-19 ระหว่าง 1 มกราคมถึง 16 มีนาคม 2565 (ยังไม่ได้วิเคราะห์รายละเอียดและอยู่ระหว่างรวบรวมเพื่อตีพิมพ์ ) และพอเห็นเป็นแนวทาง(เปรียบเทียบกันตรงๆไม่ได้นะครับ)ว่า มีการ breakthrough ของการติดเชื้อสายพันธุ์โอมิครอน ในวัคซีนทุกชนิดเหมือนกันหมดประมาณ 3-9% หลังได้เข็มที่ 3 ทุกคนไม่มีอาการรุนแรง
ที่น่าสนใจแต่ไม่ได้ปรากฎในตารางคือ การติดเชื้อของพนักงานทุกคนเกิดจากภายนอกโรงพยาบาลแต่ด้วยมาตรการเข้มงวดในการใส่หน้ากาก ล้างมือและรักษาระยะห่างทุกอย่างภายในสถานที่ทำงาน จึงยังไม่มีการติดเชื้อกันภายในโรงพยาบาลจากผู้ที่สัมผัสใกล้ชิดกับคนที่มีเชื้อ และพนักงานที่ติดเชื้อทุกคนไม่มีใครมีปอดอักเสบ (โรงพยาบาลทำการตรวจ CT ปอดให้พนักงานที่ติดเชื้อทุกคนในวันที่ตรวจพบและวันที่ 7 และ 14)
ดังนั้น สงครามกับโควิด-19 ครั้งนี้เปลี่ยนไปแล้วครับ ผมมีความเห็นว่า 1) สำหรับทุกๆคน ณ ตอนนี้ ได้รับวัคซีน 3 เข็มพอก่อน ไม่ว่าจะเป็นวัคซีนอะไร ถ้าจะฉีดเข็มที่ 4 หรือเข็มต่อไป ต้องหาจังหวะฉีดให้พอดีกับการป้องกันการระบาดในหน้าฝนต่อหนาว (ควรฉีดราวๆ มิถุนายน-สิงหาคมถ้ารอได้) และควรฉีดวัคซีนที่จะป้องกันได้ตลอดฤดูกาล แต่…… 2) สำหรับผู้สูงอายุและผู้ที่มีโรคเรื้อรังต้องฉีดให้ได้อย่างน้อย 3 เข็ม ก่อนเข้าเดือนเมษายนนี้เพราะจะเป็นช่วงที่ประเทศไทยมีการเคลื่อนที่ของคนมาก ทั้งเทศกาลเช็งเม้งและสงกรานต์ เพราะคนกลุ่มนี้จะมีโอกาสป่วยหนักและเสียชีวิตได้ ถ้าได้วัคซีนแค่ 2 เข็มหรือน้อยกว่านั้นแล้วได้รับเชื้อ (ตามข้อมูลจากกระทรวงสาธารณสุข คนกลุ่มนี้ได้รับวัคซีนแค่ 30% เองครับ) …….เป็นผม สองสัปดาห์สุดท้ายของเดือนมีนาคม ควรจะรณรงค์ฉีดวัคซีนให้กลุ่มผู้สูงอายุและผู้ที่มีโรคเรื้อรัง โดยไปให้ถึงตัว ทำความเข้าใจ อธิบายให้ง่าย ๆ ให้คนยอมรับวัคซีนให้ได้ 3 เข็ม ไม่ควรตั้งรับให้ต้องเดินเข้ามาหา วัคซีนต้องเดินไปหาคนกลุ่มนี้ !!!
3) สำหรับเด็กนักเรียนนักศึกษา ผมเห็นต่างจากที่เราทำอยู่ในปัจจุบัน โดยการให้เรียนออนไลน์แล้วปิดๆเปิด ๆ โรงเรียน ผมเห็นว่าควรให้เปิดเรียนเป็นปกติ เพราะในเด็ก(ที่ไม่มีโรคประจำตัว) จะไม่ป่วยหนัก และไม่เสียชีวิตง่าย ๆ แม้จะได้รับวัคซีนไม่ครบหรือไม่ได้รับเลย แต่ต้องมีมาตรการดังนี้นะครับ 3.1) เด็กที่มีโรคประจำตัวมีความเสี่ยงต้องได้รับวัคซีนอย่างน้อย 3 เข็ม
3.2) เด็กที่มีอาศัยอยู่กับผู้สูงอายุหรือผู้ที่มีโรคเรื้อรังในบ้านเดียวกัน ผู้สูงอายุหรือผู้ที่มีโรคเรื้อรังเหล่านั้นต้องได้รับวัคซีน 3 เข็มเป็นอย่างน้อย 3.3) โรงเรียนต้องมีมาตรการการป้องกันที่เข้มงวด และปรับสถานที่โดยเฉพาะเรื่องการถ่ายเทอากาศและการรักษาความสะอาดให้ถูกต้อง 3.4) โรงเรียนและผู้ปกครองต้องเข้มงวดไม่ให้เด็กที่มีอาการผิดปกติของทางเดินหายใจหรือมีไข้ใด ๆไปโรงเรียน แม้ว่าผลการตรวจ ATK หรือ RTPCR จะเป็นลบ ให้ถืออาการเป็นสำคัญมากกว่าผลตรวจ เพราะเชื้อโอมิครอนมีระยะฟักตัวที่สั้นมาก สามารถติดเชื้อได้หลายวันก่อนจะตรวจพบ
4)มาตรการอื่น ๆ ของประเทศในการป้องกันยังต้องเข้มข้นต่อไป ทั้งการรักษาระยะห่างและการปรับระบบอากาศในอาคารสถานที่ต่าง ๆ ให้เหมาะสม ไม่ต้องไปตามก้นฝรั่งในการผ่อนผันการใส่หน้ากาก เพราะมาตรการเหล่านี้ มีข้อมูลยืนยันแล้วว่าป้องกันการแพร่กระจายได้ดีมาก ๆ ไม่ต้องล็อกดาวน์ เพราะทุกคนเข้าใจแล้วว่าต้องปรับและป้องกันกันอย่างไร ไม่มีผู้ประกอบการใด ๆ ที่อยากปล่อยให้มีการติดแพร่เชื้อในที่ของตัวเองอย่างแน่นอน
ครับ….ถ้าทำได้อย่างนี้ อีกไม่นานเราก็จะอยู่กับมันได้ โรคมันก็จะอยู่กับเราแบบเข้าใจกัน แต่เมื่อข้าศึกปรับตัว เราก็ต้องเปลี่ยนยุทธวิธีครับ ไม่งั้นรบทีไร เราก็จะแพ้ทุกที
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
'หมอมนูญ' กางสถิติ รพ.วิชัยยุทธโควิด19 เริ่มลดลง
นพ.มนูญ ลีเชวงวงศ์ แพทย์เฉพาะทางด้านโรคระบบหายใจ โรงพยาบาลวิชัยยุทธ
โควิดรายสัปดาห์พุ่ง พบผู้ป่วยรายใหม่ 29,415 ราย เสียชีวิต 22 ราย
กองระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค รายงานสรุปสถานการณ์โควิด 19 รายสัปดาห์ ข้อมูลประจำสัปดาห์ที่ 26 (22-28 มิถุนายน 2568)
น่าห่วง! อาจารย์หมอจุฬาฯ เผยโควิด-19 รอบ 4 สัปดาห์ เสียชีวิตมากถึง 116 ราย
ในรอบ 4 สัปดาห์ที่ผ่านมา จำนวนคนเสียชีวิตจากโรคโควิด-19 มีมากถึง 116 ราย สูงกว่าไข้หวัดใหญ่ 29 เท่า
น่าห่วง! โควิด-19 พุ่ง ยอดผู้ติดเชื้อ-เสียชีวิต ทำลายสถิติรายสัปดาห์ของปีนี้อีกครั้ง
ตัวเลขโควิด-19 สัปดาห์ที่ 22 (25-31 พ.ค. 2568) อัปเดต 05.20 น.จาก delayed report ตอนนี้เพิ่มจาก 65,846 ราย ตาย 3 ราย ไปเป็น 73,065 ราย ตาย 6 ราย
"วราวุธ" ห่วงใย พี่น้องกลุ่มเปราะบาง กำชับ พม.ทุกจังหวัด เข้ม มาตรการป้องกัน โควิด-19
เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2568 ที่ทำเนียบรัฐบาล นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) เปิดเผยว่า ในช่วงฤดูฝน มีแนวโน้มการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 และไข้หวัดใหญ่
น่าห่วง! อาจารย์หมอจุฬาฯ ระบุโควิด-19 สัปดาห์ที่ผ่านมา มากกว่าไข้หวัดใหญ่ 10 เท่า
แม้ตัวเลขขณะนี้ เคสสัปดาห์ที่ 21 (18-24 พ.ค.) จะอยู่ที่ 53,597 ราย ตาย 5 ราย แต่ติดตามต่อไป delayed report อาจทำให้สูงขึ้นกว่านี้ได้อีกมาก


