ดร.สันต์ โชว์กราฟตัวเลข บ่งบอกสถานการณ์จริงโควิด-19

14 ส.ค.2565-ดร.สันต์ ศรีอรรฆ์ธำรง อาจารย์พิเศษคณะบริหารการพัฒนาสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก “Sunt Srianthumrong” ระบุว่า Covid-19: Update Wave#6 Omicron BA.5 อะไรคือตัวเลขที่เป็นจริง ในอดีต ปัจจุบัน อนาคต … คำแนะนำ เตรียมตัวเก็บกระเป๋า เดินทางลงจากที่ราบสูงได้แล้วนะครับ

คำเตือน! เรายังคงอยู่บนที่ราบสูงนะครับ เก็บกระเป๋าแล้วค่อยๆเดินลง อย่ารีบ โดยเฉพาะคนเปราะบางและกลุ่มเสี่ยงครับ

ตัวเลข 3 ประเภท: ณ จุดนี้ผู้คนแทบจะไม่รู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น จะเชื่อตัวเลขไหนดี ผมคิดว่าตัวเลขมี 3 แบบครับ 1. ตัวเลขรายงานทางการ ที่ดูไม่มาก น่าสบายใจ  2. ตัวเลข”จริง”ที่เขาบอกมาแบบ “ปากต่อปาก”  เช่น เขาว่ากันว่าเป็นแสนๆ, ติดกันทั้งจังหวัดแล้ว, ติดยกครัว ฯลฯ  3. ตัวเลขจากการคำนวณ ช่วงหลังประเทศไทยและทั่วโลกตรวจน้อยมาก และก็รายงานเฉพาะกรณีป่วยเข้ารพ. และเสียชีวิตที่มีความชัดเจน เราจึงแทบจะไม่รู้ทั้งอดีตและปัจจุบันที่แม่นยำ การคาดการณ์อนาคตก็จึงยากมาก แต่ก็พอเป็นไปได้

ผมมีกราฟ 3 แบบที่คิดว่าน่าจะพอบอกข้อเท็จจริงได้ในระดับหนึ่งครับ กราฟและตัวเลขแบบที่ 1: คำนวณจากจังหวัดขยันตรวจ

ผมทำไว้ 2 โมเดล โมเดลที่ 1 เส้นสีส้มและโมเดลที่ 2 เส้นสีเทา 1. กราฟนี้แม่นยำพอสมควรในช่วง BA.2 คำนวณช่วงสงกรานต์ได้ 160,000- 180,000 ต่อวันตรงกับตัวเลข OPSI 2. Wave#6 ของ BA.5 เริ่มตั้งแต่ช่วง ปลาย มิ.ย. 2022

3. เราอยู่ใน Wave#6 ของ BA.5 ได้ 8 สัปดาห์แล้ว 4. เราผ่าน Peak มาแล้ว โดยตัวเลขผู้ติดเชื้อรายวันสูงสุด อยู่ในช่วงปลายก.ค. – ต้นส.ค. ประมาณ 40,000 – 80,000 คน 5. ตัวเลข 80,000 คนคิดเป็นประมาณ 50% ของ Wave#5 BA.2 ซึ่งก็สอดคล้องกับทั่วโลกและสอดคล้องกับตัวเลขผู้ป่วยปอดอักเสบสูงสุดที่ก็ประมาณ 900 กว่าคน เกือบๆครึ่งของ ตัวเลข 2,000 ของ Wave BA.2 6. ตอนนี้กำลังอยู่ในช่วงต้นของขาลง 7. ผู้ติดเชื้อสะสมคำนวณได้มากกว่า 18 ล้านคน ซึ่งคำนวณจากการตรวจพบในจังหวัดขยันตรวจ แต่น่าจะไม่รวมได้ถึงคนที่อาการน้อยมากและไม่ถูกตรวจพบจำนวนมาก 8. ประเทศที่ประชากรราวๆ 50 -70 ล้านและขยันตรวจกว่าเรา ส่วนมากเคยมี Daily Case ไปถึง 400,000 คนต่อวัน เป็นไปได้ว่าตัวเลขในข้อ 7 ถ้าเราขยันตรวจมากกว่านี้ อาจได้เห็น 2 เท่า คือ 36 ล้านคน หรือ >50% ประชากร 9. ผู้ติดเชื้อสะสม >50% ของประชากรน่าจะค่อนข้างตรงความรู้สึกหลายคน ที่ฟังมาแบบ “ปากต่อปาก” และรู้สึกว่าคนใกล้ๆตัวก็ติดเชื้อไปแล้วมากกว่าครึ่ง

กราฟและตัวเลขแบบที่ 2: คำนวณผู้ติดเชื้อจากผู้เสียชีวิต ผมใช้อัตราการเสียชีวิตที่ 0.035% ลดลงจาก 0.05% และกราฟผู้เสียชีวิตจะตามหลังผู้ติดเชื้อ 2 สัปดาห์ กราฟนี้จะทำให้เรารู้ตัวเลขในอดีตย้อนหลัง 2 สัปดาห์ได้แม่นยำพอสมควรและพยากรณ์อนาคตได้ 1. การติดเชื้อสูงสุดของ Wave#6 อยู่ที่ประมาณ 90,000 คนต่อวัน เมื่อวันที่ 22 ก.ค. 2022

2. ผมเลือกปรับค่าให้ได้ Peak ของ Wave#6 ประมาณ 90,000 คือครึ่งหนึ่งของ Wave#5 เพื่อสอดคล้องกับผู้ป่วยปอดอักเสบ ทำให้สามารถประมาณได้ว่า อัตราการเสียชีวิตตอนนี้ควรจะเป็น 0.035% มากกว่าที่จะเป็น 0.05%  3. กราฟ %Increase ของการเสียชีวิต เกาะตามเส้นตรงเดิมมาได้ 4 สัปดาห์แล้ว ทำให้เรายืนยันการเป็นขาลงของจำนวนผู้เสียชีวิตได้ และนั่นหมายถึง ขาลงของผู้ติดเชื้อด้วย ซึ่งน่าจะเป็นขาลงมาอย่างน้อย 2 สัปดาห์ 4. ผู้ติดเชื้อจะลดลงเหลือ 44,000 คนต่อวันในช่วงวันที่ 1 ก.ย. 2022

5. ผู้ติดเชื้อจะลดลงเหลือ 15,000 คนต่อวันในช่วงวันที่ 1 ต.ค. 2022 และผู้เสียชีวิตจะลดเหลือวันละประมาณ 9 คน 6. จากวันนี้ไปจนถึง 31 ธ.ค. จะยังมีผู้เสียชีวิตเพิ่มอีกประมาณ 1,141 คน กราฟและตัวเลขแบบที่ 3: กราฟของผู้ป่วยปอดอักเสบ

กราฟค่าเฉลี่ย 7 วัน (7-day Moving Average) ของ %การเปลี่ยนแปลงของผู้ป่วยปอดอักเสบเส้นสีแดงประ กำลังลดลงสู่ระดับ 0 และกำลังจะเริ่มติดลบ ซึ่งครั้งสุดท้ายที่เราเห็นแนวโน้มนี้ก็คือช่วงปลายเดือน เม.ย. หลังสงกรานต์ ซึ่งเข้าสู่ขาลงของ Wave#5 แนวโน้มนี้จึงช่วยยืนยันกราฟแบบที่ 1 และ 2 ว่าเราเข้าสู่ขาลงของ BA.5 แล้ว

บทสรุป: 1. กราฟทั้ง 3 แบบยืนยันว่า เรากำลังจะเดินลงจากที่ราบสูงของ Wave#6 BA.5 แบบช้าๆ 2. จุดสูงสุดของ Wave#6 เกิดขึ้นเมื่อราวๆ 22 ก.ค. 2022 มีค่าสูงสุดประมาณ 90,000 คนต่อวัน คิดเป็นประมาณ 50% ของ Wave#5

3. วันนี้ 14 ส.ค. เรายังติดเชื้ออยู่ประมาณวันละ 68,000 คน และจะลดลงเหลือ 44,000 คนในวันที่ 1 ก.ย. ซึ่งตัวเลขยังสูงมาก กลุ่ม 608 อย่าเพิ่งประมาทนะครับ 4. วันที่ 1 ต.ต. 2022 ผู้ติดเชื้อจะเหลือวันละ 15,000 คน เสียชีวิตวันละประมาณ 9 คน  น่าจะเข้า Endemic ได้ 5. จะยังมีผู้เสียชีวิตเพิ่มอีกประมาณ 1,141 คนจากนี้ไปจนถึงสิ้นปี 6. คนส่วนใหญ่ในข้อ 5 คือคนที่ไม่ไปฉีดวัคซีนหรือฉีดไม่ครบถึงเข็ม 4, 5

7. ผู้ติดเชื้อสะสมตอนนี้น่าจะอยู่ในช่วง 18 – 36 ล้านคน คิดเป็น 25-50% ของประชากร 8. จากข้อ 7 ร่วมกับการฉีดวัคซีนที่มากพอสมควร ทำให้ไวรัสไม่มีศักยภาพเพียงพอในการทำร้ายประเทศไทยแล้ว คนไทยมีภูมิคุ้มกันแบบผสมผสานมากเพียงพอในการทำให้ประเทศเดินหน้า 9. แม้ภาพใหญ่ประเทศไทยจะแข็งแรง แต่ไวรัสยังฆ่าคนแต่ละคนและทำร้ายครอบครัวได้อยู่ โดยเฉพาะคนที่ไม่ฉีดวัคซีน และคนที่สุขภาพไม่แข็งแรง ห้ามประมาท 10. สงครามจบลงไปแล้วสำหรับคนแข็งแรงและฉีดวัคซีนครบ แต่ยังเหลืออีกสักพักใหญ่สำหรับคนที่ไม่ฉีดวัคซีน เด็กเล็ก และบุคคลากรทางการแพทย์

นับจากจุดนี้ ผมคิดว่าเราเริ่มนับถอยหลังได้แล้ว สงครามจะยุติและสงบลงแน่นอน ซึ่งจริงๆตอนนี้ก็สงบลงแล้วสำหรับหลายๆคนที่แข็งแรง ใช้ชีวิตกันปกติมาก ร้านอาหาร สวนน้ำ สวนสนุก ห้าง คอนเสิร์ต ผับบาร์ เปิดได้แน่นหมดโดยระบบประเทศไม่ล่มแล้ว แม้แพทย์และพยาบาลยังคงต้องแบกภาระกันหลังแอ่นอยู่ก็ตาม ซึ่งเราก็ต้องมองทั้งประเทศ มองทุกคน ทุกกลุ่ม ทุกวัย ทุกฐานะเศรษฐกิจ ช่วยกับพาไปให้ถึงจุดสิ้นสุดปลอดภัยให้มากที่สุดครับ ขอให้ไปฉีดวัคซีนกันให้มากๆนะครับ อย่าเป็น 1 ใน 1,141 คนนะครับ แล้วพบกันทุกคนที่เชิงเขาครับ

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

'หมอธีระวัฒน์' แจง 5 ข้อ พูดเรื่องผลกระทบการวัคซีนโควิดทำไม ในเมื่อมันผ่านไปแล้ว

ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา หัวหน้าศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ว่า

‘หมอมนูญ’ เตือนโควิดหลังสงกรานต์เปลี่ยนไป ใครมีอาการแบบนี้รีบตรวจ ATK

อาการของโรคโควิดเปลี่ยนไป ส่วนใหญ่เป็นอาการของทางเดินหายใจส่วนบน คอ จมูก มากกว่าทางเดินหายใจส่วนล่าง หลอดลม และปอด

‘หมอมนูญ’ เผยผลติดตามสถานการณ์ 5 โรคติดเชื้อทางเดินหายใจ

ข้อมูลของโรงพยาบาลวิชัยยุทธที่ติดตามโรคติดเชื้อทางเดินหายใจที่เกิดจากเชื้อไวรัสโควิด-19 ไวรัสไข้หวัดใหญ่  ไรโนไวรัส (Rhinovirus) อาร์เอสวี (RSV) และ ฮิวแมนเมตะนิวโมไวรัส Human metapneumovirus (hMPV)

‘หมอยง’ ย้ำโควิดยังสายพันธุ์โอมิครอน JN.1 ไม่รุนแรง หายไข้-ไอมาก 1 วัน ใส่แมสทำงานได้

โควิด 19 ได้เปลี่ยนแปลงลดความรุนแรงลง จนปัจจุบันความรุนแรงเท่ากับโรคไข้หวัดใหญ่ RSVและเป็นการระบาดตามฤดูกาล

อาจารย์หมอ วิเคราะห์การระบาดโควิด มาจาก โอมิครอน สายพันธุ์ JN.1 เป็นหลัก

แม้ในช่วง 2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมา ไทยจะเป็นขาลง แต่จำนวนคนที่ติดเชื้อใหม่ในแต่ละวันยังมีจำนวนไม่น้อย จึงควรใช้ชีวิตโดยไม่ประมาท