คุกอ่วม 468 ปี 'อดีตพระอาจารย์คม' ยักยอกเงินวัดป่าธรรมคีรี กว่า 300 ล้าน

20 มี.ค.2567 - ที่ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ถนนเลียบรางรถไฟ ศาลอ่านคำพิพากษา ในคดีที่พนักงานอัยการ สำนักงานคดีปราบปรามการทุจริต 1 ยื่นฟ้อง นายคมฯ หรือ พระอาจารย์คมอดีตเจ้าอาวาสวัดป่าธรรมคีรี กับพวกรวม 9 คนเป็นจำเลย

คำฟ้องระบุพฤติการณ์ว่า ขณะเกิดเหตุจำเลยที่ 1 เป็นเจ้าอาวาสวัดวัดป่าธรรมคีรีเป็นเจ้าพนักงานและเจ้าพนักงานของรัฐตามกฎหมาย จำเลยที่ 2,4 เเละ6-9 เป็นพระลูกวัด จำเลยที่ 3,5 เป็นฆราวาส ตามวันเวลาเกิดเหตุตามฟ้องจำเลยที่ 1 ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบและโดยทุจริต เบียดบังเงินสดที่มีผู้บริจาค ให้แก่วัด ป. ผู้เสียหาย โดยนำเงินเก็บรักษาไว้ที่กุฏิจำเลยที่ 1 แล้วยินยอมให้จำเลยที่ 2,3 นำเข้าฝากในบัญชีเงินฝากธนาคารชื่อบัญชีจำเลยที่ 3 และบุคคลอื่นที่มีเงื่อนไขให้จำเลยที่ 3 เบิกถอนได้แต่เพียงผู้เดียว รวม 76 ครั้ง

นอกจากนี้ยังนำส่งมอบให้จำเลยที่ 3 เก็บไว้เป็นเงินสดในที่พักอาศัยของจำเลยที่ 3 ซึ่งเจ้าพนักงานตำรวจตรวจยึดได้เป็นเงิน 51,918,170 บาทและระหว่างวันที่ 1-7 พ.ค. จำเลยที่ 1 ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบและโดยทุจริต เบียดบังเอาทรัพย์ของวัดป่าธรรมคีรีผู้เสียหายไป โดยจำเลยที่ 1 ตกลงกับจำเลยที่ 2,4,6,8 แล้วก่อนจำเลยที่ 1,2เดินทางเข้ากรุงเทพมหานครได้สั่งการให้จำเลยที่ 4,6,8ขนย้ายทรัพย์สินออกจากกุฏิของจำเลยที่ 1 และที่2ไปซุกซ่อนตามสถานที่ต่าง ๆ ภายในวัด จำเลยที่4,6,8จึงขนย้ายทรัพย์สินไปซุกซ่อนไว้เพื่อรอฟังคำสั่งจากจำเลยที่ 1,2 แจ้งว่าจะให้นำทรัพย์สินดังกล่าวออกจากวัดเมื่อใด ต่อมาวันที่ 7 พ.ค.66

จำเลยที่ 2 โทรศัพท์แจ้งให้จำเลยที่ 9 ไปแจ้งแก่จำเลยที่ 4-8 ช่วยกันขนย้ายทรัพย์สินบางส่วนใส่รถตู้ออกไปซุกซ่อนไว้ที่อื่นนอกวัด โดยมีบางส่วนยังคงซุกช่อนอยู่ในวัดและอยู่ในกุฏิของจำเลยที่ 1 ซึ่งขนย้ายไปยังไม่หมด การกระทำของจำเลยที่ 2,4-9เป็นการร่วมกันกับจำเลยที่ 1 เบียดบังเอาทรัพย์นั้นไป และเป็นการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกแก่จำเลยที่ 1 ในการกระทำความผิดรวมเงินสดและทรัพย์ที่ถูกประทุษร้ายเป็นจำนวน 1,454 รายการ รวมราคาเป็นเงินประมาณ 299,505,992 บาท ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86,91,147,157 พรป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561มาตรา172

ศาลพิเคราะห์แล้ว พยานหลักฐานที่โจทก์ชี้ช่องมีน้ำหนักมั่นคงให้ฟังได้ว่า ขณะเกิดเหตุจำเลยที่ 1เป็นเจ้าอาวาสวัดป่าธรรมคีรีเป็นเจ้าพนักงานตามความในประมวลกฎหมายอาญา จำเลยที่ 2 เป็นประธานสงฆ์ สั่งการให้จำเลยที่ 1 เบิกถอนเงินจากบัญชีเงินฝากธนาคารของวัดป่าธรรมคีรี และบัญชีเงินฝากธนาคารของจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นบัญชีสำหรับฝากเงินที่วัดได้รับบริจาค นำมาเก็บรวบรวมไว้โดยมิได้จัดทำบัญชีแจกแจงตามหน้าที่ที่กฎหมายบัญญัติไว้ แล้วนำเงินดังกล่าวไปส่งมอบให้จำเลยที่ นำเข้าฝากในบัญชีเงินฝากธนาคารชื่อจำเลยที่ 3 และบัญชีเงินฝากธนาคารบุคคลอื่นที่มีการขอให้เปิดบัญชีให้ไว้โดยให้จำเลยที่3 มีอำนาจเบิกถอนเงินเพียงผู้เดียวโดยไม่ปรากฎว่าวัดมีสิทธิเรียกร้องในเงินในบัญชีเงินฝากดังกล่าว รวม 76 ครั้ง และบางส่วนนำเก็บเป็นเงินสดไว้ในที่พักอาศัยจำเลยที่ 3 แม้จำเลยที่ 1-3 ยกข้อต่อสู้ว่าเป็นเงินส่วนตัวของจำเลยที่ 2 แต่ข้ออ้างดังกล่าวปราศจากพยานหลักฐานอื่นสนับสนุน ทั้งที่อยู่ในหน้าที่รู้เห็นของจำเลยที่ 1 เเละ 2

แต่จำเลยที่ 1-3 มิอาจแจกแจงแสดงรายการบัญชีของเงินดังกล่าวได้ หากแม้มีเงินที่จำเลยที่ 2 ได้รับบริจาคส่วนตัวเงินดังกล่าวก็ย่อมปะปนระคนกันกับเงินอันเป็นทรัพย์สินของวัดมิอาจแยกแยะได้ การกระทำของจำเลยที่ 1จึงเป็น การจัดการทรัพย์สินของวัดโดยมิชอบ และมีลักษณะเป็นการเบียดบังทรัพย์นั้นเป็นของตนหรือเป็นของผู้อื่นโดยทุจริต หรือโดยทุจริตยอมให้ผู้อื่นเอาทรัพย์นั้นไปเสีย โดยมีจำเลยที่ 2,3 เป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิด ส่วนเงินสดและทรัพย์สินที่เจ้าพนักงานตำรวจพบและยึดไว้เป็นของกลางภายในวัด พยานหลักฐาน ที่โจทก์ชี้ช่องมีน้ำหนักมั่นคงฟังยุติได้ว่าวันที่ 1 พ.ค.66 อันเป็นวันก่อนที่จำเลยที่ 1 ลาสิกขา

จำเลยที่ 4,8 ร่วมกันขนย้ายทรัพย์สินของกลางดังกล่าวที่เก็บอยู่ในวัดถือว่าอยู่ในความครอบครองของจำเลยที่ 1เจ้าอาวาส ซึ่งจำเลยที่ 2 มิได้จัดทำรายการบัญชีแจกแจงทรัพย์สินไว้เช่นกัน นำออกไปซุกซ่อนไว้ตามสถานที่ต่าง ๆ ภายในวัด ตามที่จำเลยที่ 1,2สั่งการ แล้วจำเลยที่ 4,8ช่วยกันขนย้ายทรัพย์สินดังกล่าวเปลี่ยนที่ซุกซ่อนเร้นครอบครองแทนจำเลยที่ 1 และที่ 2 หลายครั้งเพื่อหลบเลี่ยงให้พ้นไปมิให้คณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สินของวัดหรือเจ้าพนักงานตำรวจตรวจค้นพบ

ต่อมาวันที่ 7 พ.ค.66 จำเลยที่ 2 สนทนาทางโทรศัพท์ใช้ให้จำเลยที่ 9แจ้งแก่จำเลยที่ 4,8ขนย้ายทรัพย์ดังกล่าวออกไปนอกวัด จำเลยที่ 4-9จึงร่วมกันขนย้ายทรัพย์ใส่รถตู้ให้จำเลยที่ 5 ขับออกจากวัดไปจอดไว้ที่บ้านพักอาศัยจำเลยที่ 5อันมีวัตถุประสงค์ต่อเนื่องกับการขนย้ายทรัพย์ตั้งแต่เริ่มต้นเป็นกรรมเดียว

แม้จำเลยที่ 4-9ไม่ทราบถึงพฤติกรรมทางเพศของจำเลยที่ 1,2ที่ถูกกล่าวอ้างในรายงานและสำนวนการสอบสวนประกอบกับด้วยสถานภาพของจำเลยที่ 2ที่แสดงออกต่อสาธารณะ ซึ่งแม้วิญญูชนทั่วไปหากแต่ไม่ได้อยู่ใกล้ชิดและอยู่เป็นช่วงระยะเวลาที่เพียงพอให้ได้มีโอกาสรับรู้หรือสังเกตเห็นการกระทำอันเป็นเครื่องซี้เจตนาในใจ ก็ย่อมไม่อาจทราบถึงพฤติการณ์หรือเจตนาในใจที่จำเลยที่1,2ปกปิดไม่แสดงออกได้ แต่เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าทรัพย์สินดังกล่าวเป็นทรัพย์สินภายในวัดได้มาจากการบริจาค ของประชาชน ไม่มีการจัดทำรายการบัญชีทรัพย์สินแจกแจงให้ปรากฎชัดแจ้งว่าเป็นทรัพย์สินของจำเลยที่ 1,2

ทั้งไม่ปรากฏข้อเท็จจริงอื่นใดอันจะพอให้เข้าใจได้ว่าทรัพย์สินดังกล่าวล้วนมิใช่เป็นทรัพย์สินของวัดอย่างแน่แท้ จึงไม่พอให้ฟังได้ว่าจำเลยที่4-9ไม่รู้หรือสำคัญผิดในข้อเท็จจริงดังกล่าว ขณะจำเลยที่ 4,8ร่วมขนย้าย ก็ทราบได้ว่าจำเลยที่1,2สั่งการให้เคลื่อนย้ายทรัพย์สินจากที่เก็บเดิมอันมีลักษณะเพื่อปกปิดข้อเท็จจริงเกี่ยวกับทรัพย์ ทั้งต่อมาจำเลยที่ 4-9 ต่างก็ทราบว่าจำเลยที่ 1,2 ถูกเจ้าพนักงานตำรวจดำเนินคดี มีการแต่งตั้งรักษาการแทนเจ้าอาวาส มีคำสั่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สินของวัด แต่จำเลยที่ 4-9ก็เลือกกระทำการช่วยเหลือจำเลยที่1,2ชุกช่อนยักย้ายทรัพย์ดังกล่าว แม้อ้างว่าด้วยเหตุที่เคารพศรัทธาจำเลยที่ 2 ภายหลังบอกที่ซุกซ่อน ทรัพย์สินแก่เจ้าพนักงานตำรวจและแจ้งให้จำเลยที่ 5 ขับรถนำทรัพย์สินดังกล่าวกลับคืนโดยไม่ปรากฎทรัพย์ขาดหายไปก็ตาม พยานหลักฐานที่จำเลยยกขึ้นอ้างก็ไม่มีน้ำหนักหักล้างแสดงให้เห็นว่ามีเจตนาเป็นอย่างอื่น

การกระทำของจำเลยที่ 1,2,4,8 จึงเป็นการร่วมกันเบียดบังทรัพย์ของวัดโดยทุจริต

คดีฟังยุติได้ว่าจำเลยที่ 1 เป็นความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบฯ เป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่ซื้อ ทำ จัดการ หรือรักษาทรัพย์ใด เบียดบังทรัพย์นั้นเป็นของตนหรือเป็นของผู้อื่นโดยทุจริต หรือโดยทุจริตยอมให้ผู้อื่นเอาทรัพย์นั้นไปเสีย และฐานเป็นเจ้าพนักงานของรัฐปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติอย่างใดในตำแหน่งหรือหน้าที่หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหรือหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต โดยมีจำเลยที่ 2 เป็นผู้ใช้ให้กระทำความผิดและเป็นผู้ร่วมกระทำความผิด จำเลยที่ 3เป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิด จำเลยที่ 4,8 ร่วมกันกระทำความผิดในลักษณะแบ่งหน้าที่กันทำ

แต่เมื่อจำเลยที่ 2,3,4,8 ไม่ได้เป็นเจ้าพนักงาน ขาดคุณสมบัติเฉพาะตัวตามที่กฎหมายกำหนดไว้โดยเฉพาะ จึงมีความผิดเป็นผู้สนับสนุนเจ้าพนักงานมีหน้าที่ซื้อ ทำ จัดการ หรือรักษาทรัพย์ใด เบียดบังทรัพย์นั้นเป็นของตนหรือเป็นของผู้อื่นโดยทุจริต หรือโดยทุจริตยอมให้ผู้อื่นเอาทรัพย์นั้นไปเสีย ฐานเป็นผู้สนับสนุนเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต และฐานเป็นผู้สนับสนุนเจ้าพนักงานของรัฐปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติอย่างใดในตำแหน่งหรือ หน้าที่หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหรือหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือ ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต

ส่วนจำเลยที่ 5,6,7,9 เข้าร่วมกระทำการดังกล่าวภายหลังจากจำเลยที่ 1 ลาสิกขา เมื่อวันที่ 2 พ.ค.สิ้นสถานะเจ้าพนักงานแล้ว จึงมีความผิดฐานร่วมกันยักยอกทรัพย์ ซึ่งศาลมีอำนาจวินิจฉัยว่าจำเลยกระทำความผิดดังกล่าวตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคท้ายประกอบ พรบ.วิธีพิจารณาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ พ.ศ.2559 มาตรา 6 วรรคหนึ่ง ส่วนการกระทำของจำเลยที่ ในฐานะผู้ใช้นั้นย่อมเกลื่อนกลืนกับการกระทำของตนที่ได้เป็นตัวการร่วมกันกระทำความผิดข้างต้นแล้ว และเมื่อการกระทำของจำเลยที่ 1,2,3,4 เเละ8 เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147 ซึ่งเป็นบทเฉพาะของบททั่วไปตามมาตรา 157 แล้ว ย่อมไม่จำต้องปรับบทความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ซึ่งเป็นบททั่วไปอีก

พิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147 พรป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตฯมาตรา 172 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 จำเลยที่ 2 ,3,4,8 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147 พรป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตฯ มาตรา 172ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86

จำเลยที่ 5,6,7,9 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352 วรรคแรก ประกอบมาตรา 83

การกระทำของจำเลยที่1,2,3 เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่ซื้อ ทำ จัดการหรือรักษาทรัพย์ใด เบียดบังทรัพย์นั้นเป็นของตนหรือเป็นของผู้อื่นโดยทุจริต หรือโดยทุจริตยอมให้ผู้อื่นเอาทรัพย์นั้นไปเสีย และเป็นเจ้าพนักงานของรัฐปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติอย่างใดในตำแหน่งหรือหน้าที่หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหรือหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต

ฐานเป็นผู้สนับสนุนเจ้าพนักงานมีหน้าที่ซื้อ ทำจัดการ หรือรักษาทรัพย์ใดเบียดบังทรัพย์นั้นเป็นของตนหรือเป็นของผู้อื่นโดยทุจริต หรือโดยทุจริตยอมให้ผู้อื่นเอาทรัพย์นั้นไปเสียและเป็นผู้สนับสนุนเจ้าพนักงานของรัฐปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติอย่างใดในตำแหน่งหรือหน้าที่หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหรือหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต เป็นการกระทำอันเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษจำเลยที่ 1 ฐานเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่ซื้อ ทำ จัดการ หรือรักษาทรัพย์ใด เบียดบังทรัพย์นั้นเป็นของตนหรือ เป็นของผู้อื่นโดยทุจริต หรือโดยทุจริตยอมให้ผู้อื่นเอาทรัพย์นั้นไปเสีย

ลงโทษจำเลยที่ 2,3ฐานเป็นผู้สนับสนุนเจ้าพนักงานมีหน้าที่ซื้อ ทำ จัดการ หรือรักษาทรัพย์ใด เบียดบังทรัพย์นั้นเป็นของตนหรือเป็นของผู้อื่นโดยทุจริต หรือโดยทุจริตยอมให้ผู้อื่นเอาทรัพย์นั้นไปเสีย ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 จำคุกจำเลยที่ 1 กระทงละ 6ปี รวม 78กระทง คงจำคุก 468ปี

จำคุกจำเลยที่ 2 กระทงละ 4 ปี รวม 78 กระทง คงจำคุก 312 ปี จำคุกจำเลยที่ 3 กระทงละ 4 ปี รวม 77 กระทง คงจำคุก 308 ปี จำคุกจำเลยที่ 4,8 คนละ 3 ปี 4 เดือน จำคุกจำเลยที่ 5,6,7 ,9 คนละ 3 ปี การเสนอแนวทางชี้ช่องพยานหลักฐานและนำสืบของจำเลยที่ 5-9 เป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้คนละหนึ่งในสาม คงจำคุกจำเลยที่ 4,8 คนละ 2 ปี 2 เดือน 20 วัน คงจำคุกจำเลยที่ 5,6,7,9 คนละ 2 ปี

สำหรับจำเลยที่ 1,2 และจำเลยที่ 3 เมื่อรวมโทษทุกกระทงแล้วให้จำคุกคนละ 50 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91(3) ข้อหาอื่นสำหรับจำเลยที่ 4-9 ให้ยกฟ้อง

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

จำคุกคนละ 18 ปี 24 เดือน อดีตผอ.-รองผอ.สามเสนวิทยาลัย เบียดบังเงินแป๊ะเจี๊ยะ

ที่ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ ถนนเลียบรางรถไฟ ศาลกลางอ่านคำพิพากษา คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ เป็นโจทก์ฟ้องนายวิโรฒ สำรวล อดีตผู้อำนวยการโรงเรียนสามเสนวิทยาลัย

งามไส้! คุก 2 เดือน 'ลูก รมต.' เมาขับฝ่าด่าน

นายประยุทธ เพชรคุณ โฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด เปิดเผยความคืบหน้าเรื่องนี้ว่า วันที่ 18 เม.ย.ที่ผ่านมา พนักงานอัยการสำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีศาลเเขวง 1

ศาลอาญาคดีทุจริตฯ นัดฟังคำสั่ง 'ก้าวไกล' ฟ้อง 'กกต.' 2 มาตรฐาน ปมยุบพรรค

ศาลอาญาคดีทุจริตเเละประพฤติมิชอบกลาง อ่านคำสั่งในคดีที่ เรือเอก ย. เป็นโจทก์ยื่นฟ้องคณกรรมการการเลือกตั้งทั้ง6 เเละเลขาฯกกต.กับพวกรวม 7 คน คดีอาญาหมายเลขดำที่ อท 58/2567 ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157ประกอบมาตรา83

ศาลยกฟ้อง 'พล.ต.อ.ธนา' กับตำรวจชุดคดีเว็บพนันมินนี่ 244 คน หลังลูกน้องบิ๊กโจ๊กยื่นฟ้อง

ศาลอาญาคดีทุจริตฯยกฟ้องชั้นตรวจฟ้อง ‘ธนา ชูวงศ์’ กับ 244 ชุดพนักงานสอบสวนคดีเเก๊งนายตำรวจพัวพันเว็บพนัน หลัง ‘เขมรินทร์ พิสมัย ‘ยื่นฟ้อง ชี้ ที่โจทก์อ้างไม่ได้ทำผิดเป็นข้อต่อสู้ในคดี ไม่ใล่เหตุนำมาฟ้องจำเลยกับพวกระบุ การขอออกหมายจับ ไม่ระบุอาชีพยศ ไม่ใช่สาระสำคัญ

ทนาย 'บิ๊กโจ๊ก' ฟ้องกราวรูด ชุดทำคดีเว็บพนัน ไม่ส่งสำนวนให้ ป.ป.ช.

นายวราชันย์ เชื้อบ้านเกาะ ทนายความของพล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผบ.ตร. ได้รับมอบหมายจาก พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เดินทางมายื่นฟ้องผู้มีคำสั่งแต่งตั้ง และคณะพนักงานสืบสวนสอบสวนในคดีเว็บพนัน BNk Master ของ สน.เตาปูน รวม 30 นาย ต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง

'บิ๊กโจ๊ก' ฟ้องศาลอาญาคดีทุจริตฟัน 'นครบาล' บี้ สน.เตาปูน ยุติสอบ โอนคดีไป ปปช.

ทนาย 'บิ๊กโจ๊ก' บุก สน.เตาปูน พบพนักงานสอบสวน ให้ยุติสอบคดีเว็บพนันบีเอ็นเค รวบรวมสำนวนส่ง ป.ป.ช. โวยทำไมยังออกหมายเรียก 'รอง ผบ.ตร.' จ่อฟ้องศาลอาญาคดีทุจริตฟันยกชุด