
คดี 2 พ่อลูกตระกูล ‘วิลาวัลย์’ บ้านใหญ่แห่ง จ.ปราจีนบุรี สนับสนุนเจ้าหน้าที่รัฐกระทำผิดออกโฉนดที่ดินในพื้นที่อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ และบุกรุกป่า ทำ ‘บิ๊กตู่’ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ถูกสะเก็ดเรื่องนี้เหมือนกัน แม้จะอยู่คนละพรรคก็ตาม
นั่นเพราะ ‘บิ๊กตู่’ เป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุดของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ที่เป็นกระบวนการยุติธรรมต้นน้ำของคดีนี้ ที่เป็นส่วนหนึ่งให้คดีสนับสนุนเจ้าหน้าที่รัฐกระทำผิดออกโฉนดที่ดินมิชอบของ ‘โกทร’ นายสุนทร วิลาวัลย์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ปราจีนบุรี บิดาของ ‘ครูโอ๊ะ’ นางกนกวรรณ วิลาวัลย์ รมช.ศึกษาธิการ ขาดอายุความ
‘โกทร’ เป็นถึงนายก อบจ.ปราจีนบุรี รวมถึงเป็นบิดาของคนระดับรัฐมนตรี แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจคว้าน้ำเหลวในการติดตามไล่ล่า
แม้กองบังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (บก.ปปป.) และกองปราบปราม จะพยายามปูพรมตามล่าตัวของ ‘โกทร’ ตลอดช่วงวันหยุดที่ผ่านมา แต่สังคมตั้งข้อครหาไปแล้วว่า ช้าเกินไปหรือไม่
เรื่องดังกล่าวเกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2545 แต่คดีความเพิ่งมีความก้าวหน้าเป็นเนื้อเป็นหนังเอาในช่วงที่เหลือไม่กี่วันจะขาดอายุความ ราวกับมีกระบวนการสมรู้ร่วมคิดให้ลงเอยแบบนี้
มันเหมือนพล็อตหนังเดิมๆ ที่มีการโยนกันไปกันมาถึงสาเหตุของความล่าช้า ระหว่างหน่วยงานที่รับผิดชอบ ทั้งคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ทั้งอัยการ ทั้งตำรวจ
‘โกทร’ ไม่ใช่คนแรกที่รอดคดีเพราะหมดอายุความ แต่ก่อนหน้านี้นักการเมืองผู้มากบารมี ผู้มีอิทธิพลหลายคนในประเทศนี้รอดมานักต่อนักในลักษณะเกือบจะคล้ายกัน จนเป็นที่มาของคำว่า ‘คุกมีไว้ขังคนจน’
ในขณะที่ความล่าช้านี้ไม่สามารถเอาผิดกับใครฐานละเว้นปฏิบัติหน้าที่จนทำให้คดีขาดอายุความได้เลย
และการที่คนในรัฐบาล หรือคนที่เกี่ยวข้องกับคนในรัฐบาล ได้อานิสงส์หลุดรอดจากช่องว่างทางกฎหมาย ‘บิ๊กตู่’ จึงต้องน้อมรับสะเก็ดบางส่วนที่กระเด็นมาถึง เหมือนกับตอนคดีของ บอส-นายวรยุทธ อยู่วิทยา ในฐานะผู้นำรัฐบาล ที่ถืออำนาจรัฐ และในฐานะผู้บังคับบัญชาของตำรวจ
แล้วเรื่องนี้มีสิทธิ์ถูกนำไปอภิปรายไม่ไว้วางใจด้วย
อย่างไรก็ดี แม้คดีของ ‘โกทร’ จะเหลือเรื่องบุกรุกป่าอีกกระทง ที่อายุความยาวถึงปี 2583 แต่มันทำให้ประชาชนขาดความเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรมว่า ที่สุดแล้วจะเอาผิด จับตัว หรือวนลูปเดิมอีกหรือไม่
ประเด็นหลังจากนี้ยังน่าสนใจ คือหลังจากขาดอายุความแล้ว ‘โกทร’ จะปรากฏตัวหรือไม่ เพราะปัจจุบันยังดำรงตำแหน่งนายก อบจ.ปราจีนบุรีอยู่
หากปรากฏตัว เจ้าหน้าที่จะทำอย่างไร หรือหากมีการต่อสู้ในคดีบุกรุกป่าอีกกระทงที่เหลือ จะมีการให้ประกันตัวหรือไม่ ในเมื่อมีพฤติการณ์หลบหนีชัดเจน
ในส่วนของเก้าอี้นายก อบจ.ปราจีนบุรี ยังต้องจับตาดูแอ็กชันของรัฐบาลในเรื่องนี้จะเป็นอย่างไร เพราะแม้กระทรวงมหาดไทยในฐานะ ‘ต้นสังกัด’ สามารถดำเนินการถอดถอนออกจากตำแหน่งได้
เพราะในมาตรา 79 แห่งพระราชบัญญัติองค์การบริหารส่วนจังหวัด พ.ศ.2540 แก้ไขเพิ่มเติมถึง (ฉบับที่ 5) พ.ศ.2562 ได้ให้อำนาจ “รมว.มหาดไทย” เอาไว้อยู่
โดยบัญญัติไว้ว่า “ในกรณีที่นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด ประธานสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด หรือรองประธานสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด ละเลยไม่ปฏิบัติการตามอำนาจหน้าที่หรือปฏิบัติการไม่ชอบด้วยอำนาจหน้าที่ หรือประพฤติตนฝ่าฝืนต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชน ผู้ว่าราชการจังหวัดจะดำเนินการสอบสวนก็ได้
ถ้าหากผลการสอบสวนปรากฏว่านายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด ประธานสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด หรือรองประธานสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด มีพฤติการณ์เช่นนั้นจริง ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดเสนอให้รัฐมนตรีใช้ดุลพินิจสั่งให้นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด ประธานสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด หรือรองประธานสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด พ้นจากตำแหน่ง คำสั่งของรัฐมนตรีให้เป็นที่สุด”
มาตรานี้ ‘บิ๊กป๊อก’ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย เคยใช้ให้ ‘นิพนธ์ บุญญามณี’ พ้นจากนายก อบจ.สงขลามาแล้ว
อีกจุดที่ต้องจับตาคือ ท่าทีของ ‘ครูโอ๊ะ-กนกวรรณ’ ที่มีกลิ่นออกมาว่า อาจจะตัดสินใจลาออกจากตำแหน่ง รมช.ศึกษาธิการ ไม่รอให้ศาลสั่ง เพื่อแสดงสปิริต
เพราะต่อให้ ‘ครูโอ๊ะ’ ไขก๊อกไป แต่โควตาของบ้านใหญ่ปราจีนบุรียังอยู่ แค่เปลี่ยนตัว ‘ละคร’ เท่านั้น
แต่เอฟเฟกต์จะแรง เพราะหาก ‘ครูโอ๊ะ’ ทำอย่างนั้น จะสร้างแรงกดดันให้ ‘นิพนธ์’ ซึ่งถูก ป.ป.ช.ชี้มูล แต่ยังปฏิบัติหน้าที่อยู่
และสิ่งที่ ‘ภูมิใจไทย’ ทำ จะสะเทือนถึงบรรทัดฐานที่พรรคประชาธิปัตย์เคยยึดมาตลอด
หาก ‘ครูโอ๊ะ’ โชว์สปิริต แต่ ‘นิพนธ์’ นิ่ง มันจะเกิดการเปรียบเทียบทันที.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
จิรุตม์-มณฑลลุ้นผงาดกกต. สีน้ำเงินคุมเสียงข้างมาก7เสือ
เมื่อมีความชัดเจนทางการเมืองว่า “พรรคเพื่อไทย” จะยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ หลังการโหวตร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญวาระ 3 ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นช่วงปลายปีนี้หรือต้นปีหน้า 2569
'ภัยพิบัติการเมือง เมื่อกฎบริจาค กลายเป็นสนามแข่งพรรคใหญ่'
ในช่วงปลายปี 2568 ซึ่งประเทศไทยกำลังเผชิญกับสถานการณ์ภัยพิบัติทางธรรมชาติอย่างน้ำท่วมในหลายพื้นที่ คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้ออกมาชี้แจงแนวทางการบริจาคเงินและสิ่งของเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัย
พลิกเกม"น้ำท่วม"สู้ศึกเลือกตั้ง สมรภูมิการเมืองช่วงชิงชัยชนะ
แรงกดดันของสังคมที่มีต่อ "อนุทิน ชาญวีรกูล" นายกรัฐมนตรี หลังเหตุการณ์มหาอุทกภัยที่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา พุ่งเป้าไปที่ความผิดพลาด บกพร่อง และล่าช้า ในการสั่งการเข้าช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจนทำให้มีผู้เสียชีวิตเป็นจำนวนมาก
วิกฤตน้ำท่วมทำรัฐบาลรวน อาจป่วนถึงการแก้รัฐธรรมนูญ
วิกฤตในการบริหารสถานการณ์อุทกภัยครั้งใหญ่ของภาคใต้ โดยเฉพาะที่หาดใหญ่ จังหวัดสงขลา นอกจากความสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนจำนวนมหาศาลแล้ว ยิ่งทำให้รัฐบาลสูญเสียความน่าเชื่อถือในสายตาสาธารณชน
รัฐบาลอ่อนหัด โครงสร้างล้าหลัง ฉุดเชื่อมั่น'อนุทิน-ภท.'จมดิ่งกับน้ำท่วม
วิกฤตมหาอุทกภัยถล่ม อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ศูนย์กลางเศรษฐกิจภาคใต้ สร้างความหายนะราวกับคลื่นสึนามิ ซากปรักหักพังของเมืองเสมือนวันสิ้นโลก
ปี69เดือด!เลือกตั้งทุกระดับ 'กกต.-ประชาชน'ตัดสินอนาคต
ปี 2569 กลายเป็นปีที่ท้าทายที่สุดสำหรับประชาธิปไตยไทย ด้วยการเลือกตั้งหลายระดับที่กระชั้นชิดกันอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) ที่คาดว่าจะพ่วงด้วยการลงประชามติแก้ไขรัฐธรรมนูญ และบันทึกความเข้าใจ (MOU)


