จากเหตุโศกนาฏกรรมสุดสะเทือนใจ ไฟไหม้รถบัสทัศนศึกษาของนักเรียนโรงเรียนวัดเขาพระยาสังฆาราม จังหวัดอุทัยธานี ที่เกิดเหตุบนถนนวิภาวดีรังสิต กรุงเทพฯ จนมีนักเรียนและครูเสียชีวิตถึง 23 ราย และมีผู้ได้รับบาดเจ็บสาหัส 3 ราย
เหตุการณ์ครั้งนี้ถือเป็นปัญหาระดับชาติ ที่มีคำถามตามมามากมาย ทั้งเรื่องการจัดทัศนศึกษาในกลุ่มเด็กเล็กควรจะมีต่อไปหรือไม่ และเรื่องใหญ่คือความปลอดภัยของรถบัส ได้ผ่านขั้นตอนการตรวจสอบสภาพรถอย่างถูกต้องหรือไม่ และยังมีข้อแคลงใจอาจมีเรื่อง การตรวจทิพย์ ที่เป็นปัญหาคอร์รัปชันด้วยหรือไม่ และรัฐบาลจะแก้ปัญหาอย่างไร
เพราะหลังจากสำนักงานพิสูจน์หลักฐานตำรวจ ได้ร่วมกับกรมการขนส่งทางบก ตรวจสภาพและรายละเอียด เพื่อหาสาเหตุที่เกิดไฟลุกไหม้ขึ้นพบว่า รถบัสคันดังกล่าวมีถังแก๊สเชื้อเพลิงจำนวน 11 ถัง พบจดทะเบียนถูกต้องเพียง 6 ถัง ส่วนที่เหลือ 5 ถัง ไม่อยู่ในรายการจดแจ้งกับเจ้าหน้าที่แต่อย่างใด
ทั้งนี้ภายหลังเกิดเหตุ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้รุดไปบัญชาการสถานการณ์ด้วยตัวเองทันที ในฐานะผู้นำประเทศ และอีกหมวกในฐานะผู้เป็นแม่เหมือนกัน ที่ทำให้นายกฯ เองถึงกับร่ำไห้กับเหตุการณ์นี้
แต่เมื่อฟังสาเหตุและสถานการณ์ที่เกิดขึ้นแล้ว สิ่งที่รัฐบาล นายกฯ อิ๊งค์ ต้องเร่งแก้ตอนนี้ที่ต้นเหตุคือเรื่องความปลอดภัยของรถบัส ที่มีจุดบกพร่องจนเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น
โดยนายกฯ อิ๊งค์มองว่า “จริงๆ แล้วทัศนศึกษาคือการเปิดโลกให้เด็กๆ ซึ่งเราไม่อยากจะแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ การทัศนศึกษาไม่ได้ทำร้ายเด็ก แต่รถที่ไม่ได้ถูกดูแลหรือถูกตรวจคือสิ่งที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุบนท้องถนน ซึ่งต้องมาแก้ปัญหาในส่วนคมนาคมจะวางกฎและกรอบอย่างไร เราจะใช้โอกาสนี้วางระบบให้ชัดเจนขึ้นได้”
ซึ่งหลังเหตุการณ์นี้ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องต่างร่วมกันถอดบทเรียน ตั้งแต่เรื่องการจัดทัศนศึกษา เรื่องรถบัสที่มีการเสนอว่าให้ใช้รถบัสนักเรียนแบบสหรัฐอเมริกา ที่มีมาตรฐานและมีประตูด้านหลังเปิดได้ พร้อมมีการวางกฎระเบียบที่เข้มข้นขึ้นในส่วนต่างๆ โดยในส่วนของกระทรวงคมนาคม นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.คมนาคม
ผุด 5 มาตรการทันที คือ 1.ให้กรมการขนส่งทางบกเรียกรถโดยสารสาธารณะประจำทางและไม่ประจำทางที่ใช้เชื้อเพลิง CNG ทั้งหมดเข้ารับการตรวจสภาพรถ จำนวน 13,426 คัน ภายใน 60 วัน 2.ให้ยกระดับมาตรฐานการประกอบการขนส่งรถโดยสารไม่ประจำทาง ให้เข้ารับการตรวจสภาพเพื่อดูเรื่องการให้บริการ ซึ่งถือเป็นการสังคายนารถโดยสารสาธารณะทั้งหมด
3.ให้กรมการขนส่งทางบก บูรณาการร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการและสถานศึกษาทั่วประเทศ ในกรณีที่จะนำรถเช่าเหมาหรือรถโดยสารไม่ประจำทางไปใช้บริการ ให้ประสานงานกับสำนักงานขนส่งจังหวัดเพื่อตรวจสอบความปลอดภัยก่อนออกเดินทางทุกครั้ง 4.พนักงานขับรถและผู้ประจำรถต้องได้รับการอบรมและทดสอบ การเผชิญเหตุช่วยเหลือผู้โดยสารตามหลักสูตรการเผชิญเหตุและการช่วยเหลือผู้โดยสาร
และ 5.จะออกกฎหมาย ระเบียบ เพื่อให้ผู้ประกอบการต้องมีการแนะนำข้อมูล และแนวทางเผชิญเหตุฉุกเฉินในการใช้บริการเช่นเดียวกับสายการบิน โดยเมื่อผู้โดยสารขึ้นรถ พนักงานต้องให้การแนะนำการใช้อุปกรณ์ฉุกเฉินกรณีมีเหตุ และเส้นทางการหนีภัย เพื่อให้ผู้โดยสารเตรียมพร้อมหากมีเหตุฉุกเฉิน
นอกจากนี้กระทรวงคมนาคมจะเข้าไปดูการออกแบบรถโดยสารว่าจำนวนที่นั่งเหมาะสมหรือไม่ ทางออกควรเพิ่มเติมอย่างไร กรณีต้องเดินทางไกลควรต้องมีคนขับรถ 2 คน ผลัดเปลี่ยนกัน รวมถึงจะใช้โอกาสนี้ออกมาตรการเด็ดขาดกวดขันรถที่มีอายุเกิน หลังรถบัสที่เกิดเหตุนี้ พบมีอายุการใช้งานมาแล้วถึง 54 ปี
ขณะที่ในส่วนของกรมการขนส่งทางบก ผู้ที่ถูกจับตามากที่สุดหลังพบปัญหารถบัสคันเกิดเหตุติดตั้งถังแก๊สเกินกว่าที่แจ้งไว้ ซึ่ง นายจิรุตม์ วิศาลจิตร อธิบดีกรมการขนส่งทางบก และคณะ ได้เข้าชี้แจงต่อที่ประชุมคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การคมนาคม สภาผู้แทนราษฎร ที่ยกกรณีดังกล่าวเป็นวาระสำคัญ เรียกถกด่วนทันที
โดยนายจิรุตม์แจงว่า “คนที่ต้องรับผิดชอบในเรื่องถังแก๊สเกินจำนวน ประกอบด้วย 1.ผู้ประกอบการหรือเจ้าของรถ เบื้องต้นได้มีการพักใช้ใบอนุญาตจนกว่าผลสอบสวนจะออก 2.คนขับรถ ให้พักใบอนุญาตจนกว่าจะสอบสวนเสร็จ ถ้ามีความผิดก็เพิกถอนใบอนุญาต 3.วิศวกรผู้ตรวจสอบถังแก๊ส ระงับการดำเนินการทั้งหมด
4.บุคลากรจัดการด้านความปลอดภัยในการขนส่ง (TSM) กรมได้ให้หยุดปฏิบัติหน้าที่และดึงตัวเข้ามาทำงานที่กรมการขนส่งทางบก ซึ่งผิดหรือไม่ผิดก็ต้องมาดูกัน โดยในบริษัท ชินบุตร ทราบว่าเป็นบุคคลในครอบครัวเดียวกันกับผู้ประกอบการ ได้มีการเพิกถอนระงับใบอนุญาตเป็นผู้จัดการด้านความปลอดภัยแล้ว อย่างไรก็ตาม ทั้งหมดอยู่ระหว่างการสอบสวน หากพบว่ามีความผิดก็ต้องดำเนินการไปตามกฎหมาย”
ทั้งนี้ กรมการขนส่งทางบกได้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงในกรณีดังกล่าว ว่ามีใครหละหลวมตรงไหน กำหนดให้รายงานภายใน 2 สัปดาห์ และขณะนี้ได้เด้ง 2 ข้าราชการ ตำแหน่งหัวหน้าฝ่าย (นายช่างตรวจสภาพรถชำนาญงาน) และนายช่างตรวจสภาพรถชำนาญงาน ฝ่ายตรวจสภาพรถ สำนักงานขนส่งจังหวัดสิงห์บุรี ไปช่วยราชการ ณ กรมการขนส่งทางบกแล้ว เพื่อให้การสอบสวนข้อเท็จจริงเป็นไปด้วยความเรียบร้อย
ส่วนผลการพิสูจน์และสอบสวนอย่างรอบด้านจากทุกฝ่ายจะออกมาเป็นอย่างไร สุดท้ายเป็นสิ่งที่รัฐบาลไม่เพียงแต่ต้อง “ถอดบทเรียน” เพื่อไม่ให้เกิดเหตุซ้ำรอยเท่านั้น ต้องวางกฎเข้มและลงดาบผู้กระทำผิดอย่างถึงที่สุด เพื่อไม่ให้เกิดซ้ำรอยอีก.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
แถลงผลงาน3เดือน‘รัฐบาลอิ๊งค์’ โชว์อนาคตประเทศ รอดหรือร่วง?
ได้เวลาตีปี๊บผลงานรัฐบาล 90 วันของ “นายกฯ อิ๊งค์” แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี วันนี้ 12 ธันวาคม 2567 ในหัวข้อ “2568 โอกาสไทย ทำได้จริง” (2025 Empowering Thais : A Real Possibility) ซึ่งจัดเป็นครั้งแรกของรัฐบาล น.ส.แพทองธาร ที่สถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย (NBT) พร้อมถ่ายทอดสดให้คนไทยได้รับชม
กม.สกัดรัฐประหาร‘ส่อแท้ง’ พรรคร่วมไม่อิน-ไม่เอา
ร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) จัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม (ฉบับที่...) พ.ศ. .... ฉบับ ‘หัวเขียง’ ที่นายประยุทธ์ ศิริพาณิชย์ สส.บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทยเสนอ ส่อแวว ‘แท้ง’ ตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่มต้น
จับ“ไทย”ชน“เมียนมา” เด้งเชือกรับมือเกมมหาอำนาจ
หลังจากที่กองกำลัง “ว้าแดง” ได้ออกแถลงการณ์ชี้แจงข่าวลือความตึงเครียดระหว่างทหารไทยกับว้าแดงบริเวณชายแดน อ.ปาย จ.แม่ฮ่องสอน ทำให้ “ข่าวลือ” ดังกล่าวเริ่มเบาเสียงลง
พท.ยึดอำนาจกองทัพ สกัดลากรถถังตรึงทำเนียบฯ
เรียกเสียงครางฮือไปทั่วแวดวงทหารและแวดวงการเมือง กับการขยับของ สส.เพื่อไทย ที่เข้าชื่อกันเสนอร่าง พ.ร.บ.จัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม เข้าสภาฯ ที่ตอนนี้อยู่ในขั้นตอนการรับฟังความคิดเห็นประชาชนผ่านเว็บไซต์ของสภาฯ
เพื่อไทยแจกเงินรัฐถังแตก? แผนสะดุดอดปล้นแวต15%
แม้รัฐบาลเพื่อไทยจะมั่นอกมั่นใจว่าจะอยู่ครบวาระหลังมีภูมิคุ้มกันด้วยพลังแฝง จากกรณีศาลรัฐธรรมนูญไม่รับคำร้องคดี ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ครอบงำรัฐบาล
'ป่วยทิพย์' ชั้น 14 ในมือป.ป.ช. อีก 1 คดีจุดเปลี่ยนการเมือง
ไม่กี่วันก่อน นายสาโรจน์ พึงรำพรรณ เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ออกมาชี้แจงกรณีมีกระแสข่าวว่าคณะอนุกรรมการไต่สวนที่มี นายเอกวิทย์ วัชชวัลคุ กรรมการ ป.ป.ช. เป็นประธาน