คอการเมืองวันนี้ต้องให้ความสนใจเป็นพิเศษเสียหน่อย กับเหตุการณ์ที่รัฐสภามีประชุมร่วมรัฐสภา โดย สส. สว.ประชุมด้วยกันในวันนี้ และอีกวันคือ วันที่ 14 ก.พ. พิจารณาร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ พ.ศ.....จำนวน 2 ฉบับ ได้แก่ ฉบับของพรรคเพื่อไทย (พท.) และฉบับของพรรคประชาชน (ปชน.) ในวาระที่ 1 ชั้นรับหลักการ
ย้ำป้องกันการลืมอีกรอบ สมาชิกรัฐสภาจะพิจารณาแก้ไขมาตรา 256 ว่าด้วยหลักเกณฑ์แก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ และเพิ่มใหม่หมวด 15/1 ว่าด้วยการจัดตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) เพื่อยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่แทนฉบับปัจจุบัน
อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนหลายคนจะทราบแล้วว่า การถกเถียงการแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งนี้เกิดปัญหาขึ้น อันเนื่องจากการเช็กเสียงแต่ละ สส. สว.แล้ว จะได้คะแนนเห็นชอบไม่ตรงตามที่มาตรา 256 กำหนดไว้
กล่าวคือ มาตราดังกล่าวระบุไว้ชัดว่า ในญัตติขอการแก้ไขเพิ่มเติมในชั้นรับหลักการนั้น 1.ต้องได้คะแนนเห็นชอบไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของทั้ง 2 สภา
2.ในจำนวนนี้ยังต้องมี สว.เห็นชอบด้วยไม่น้อยกว่า 1 ใน 3 ของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของวุฒิสภา หรือ 67 เสียง
ลำพังเงื่อนไข ข้อที่ 1 เพียงแค่นับมือของพรรคเพื่อไทยและพรรคประชาชนร่วมกันก็ผ่านเกณฑ์ได้อย่างง่ายๆ แต่ปัญหาอยู่ที่เงื่อนไขข้อที่ 2 คือ สว. 67เสียง แนวโน้มสูงว่าจะได้รับเสียงจากส่วนนี้ไม่ครบ ซึ่งหากเป็นเช่นนั้น นั่นหมายความว่าปิดประตูตายการแก้ไขรัฐธรรมนูญทันที แล้วค่อยว่ากันใหม่ในสมัยประชุมต่อไป เท่ากับว่าสิ่งที่หลายพรรคหาเสียงไว้ โดยเฉพาะพรรคเพื่อไทยล้มเหลว ทำไม่ได้เหมือนที่ประกาศลั่นและสัญญาต่อหน้าประชาชน
แต่ด้วยมันสมองของนักการเมืองไทยมีอะไรที่ทำไม่ได้บ้าง “ชูศักดิ์ ศิรินิล” รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะรองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ชงประเด็นให้สมาชิกรัฐสภาทำเรื่องยื่นไปยังศาลรัฐธรรมนูญ ขอให้วินิจฉัยอำนาจและหน้าที่ของรัฐสภา ตามมาตรา 210 ว่าสามารถทำประชามติได้กี่ครั้ง
เพราะจุดปวด PAIN POINT ของเรื่องดังกล่าว อยู่ที่ก่อนนี้หน้าศาลรัฐธรรมนูญเคยวินิจฉัยเกี่ยวกับการขอแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อจัดทำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ต้องทำประชามติจากประชาชนเสียก่อน ทว่าในครั้งนั้นแต่ละพรรค แต่ละคนตีความไม่เหมือนกัน
บางคนว่าต้องทำถึง 3 ครั้ง คือ 1.ก่อนพิจารณาวาระที่หนึ่ง 2.หลังผ่านวาระที่สาม และ 3.หลังยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เรียบร้อยแล้ว บางคนว่าทำแค่ 2 ครั้งก็เพียงพอแล้ว คือหลังผ่านวาระที่สาม และหลังยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เสร็จ
มิหนำซ้ำ สภาผู้แทนราษฎรเคยยื่นเรื่องสอบถามไปยังศาลรัฐธรรมนูญแล้วด้วย ว่าต้องทำประชามติกี่ครั้ง แต่ศาลเห็นว่าไม่มีหน้าที่ที่จะตอบ เพราะยังไม่เกิดปัญหา ที่สำคัญเป็นหน้าที่ของรัฐสภาในการไปหารือกัน ดังนั้นจึงทำให้ไม่มีผู้ใดกล้าบรรจุวาระเรื่องนี้เข้าสู่ที่ประชุมรัฐสภาอีก
ต่อมามีข้อมูลเปลี่ยนแปลง โดย “พริษฐ์ วัชรสินธุ” สส.บัญชีรายชื่อ และโฆษกพรรคประชาชน ที่ได้รับมอบหมายจากพรรคให้เป็นโต้โผรับผิดชอบการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ออกมาเปิดเผยว่า จากการไปพบตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ประกอบกับอ่านคำวินิจฉัยส่วนบุคคล พบว่าทำประชามติเพียง 2 ครั้งได้ จึงทำให้ “วันมูหะมัดนอร์ มะทา” ประธานรัฐสภา ยอมบรรจุวาระการแก้ไขรัฐธรรมนูญอีกครั้ง ซึ่งจะได้พิจารณากันวันนี้และพรุ่งนี้ (14 ก.พ.)
ไฮไลต์อยู่ที่สมาชิกรัฐสภาแต่ละคนไม่มั่นใจว่าจะต้องทำประชามติก่อนเข้าสู่วาระที่หนึ่งก่อนหรือไม่ เพราะหากยังไม่มีความชัดเจนในเรื่องดังกล่าว อาจถูกร้องเรียนในภายหลังได้ จึงมีรายงานข่าวออกมาทำนองว่า มีความเป็นไปได้ที่จะมีสมาชิกจำนวนหนึ่งไม่ร่วมสังฆกรรม
เช่น “อนุทิน ชาญวีรกูล” รองนายกฯ และ รมว.มหาดไทย ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ให้สัมภาษณ์ไว้ตอนหนึ่งว่า “เราไม่เสี่ยงหรอกครับเรื่องพวกนี้ ถ้ามันมีความเสี่ยงแม้แต่น้อย และมันไม่ใช่เป็นกฎหมายที่รัฐบาลเสนอ หรือ ครม.เสนอ และเป็นเรื่องของแต่ละพรรค เมื่อเรามีความเห็นของตัวเอง ก็แปลว่าเราไม่ได้เป็นทีมเดียวกัน เราก็ต้องรักษาเอกสิทธิ์ ก่อนย้ำว่าเราไม่อยากมีความเสี่ยงแม้แต่น้อย”
เช่นเดียวกับ สว.สายสีน้ำเงินที่เกาะกลุ่มประมาณ 150-160 เสียง ก็มีท่าทีไม่เล่นด้วยเช่นกัน เมื่อเป็นเช่นนั้นก็ส่อเค้าการแก้รัฐธรรมนูญจะแท้ง ทำคลอดไม่สำเร็จ พรรคประชาชนก็ซดน้ำแห้วเหมือนเดิม
แต่รอบนี้มี “เพื่อไทย” ร่วมมือแก้รัฐธรรมนูญด้วย รอบเครื่องเขาสูงกว่าพรรคน้องใหม่ “ชูศักดิ์” จึงเสนอให้สมาชิกรัฐสภายื่นเรื่องทำประชามติกี่ครั้งไปยังศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อยื้อเวลาออกไป อย่างน้อยๆ วันที่ 13-14 ก.พ.นี้ ก็ยังไม่ถึงขั้นปิดเกม ปล่อยให้ที่ประชุมรัฐสภาอภิปรายกันอย่างกว้างขวาง แล้วรอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยไปก่อน ส่วนหลังจากนั้นเพื่อไทยจะเดินเกมอย่างไรก็ค่อยว่ากันต่อ เนื่องจากบางฝ่ายก็มองว่าเพื่อไทยไม่ได้จริงจัง จริงใจเท่าไหร่ที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพราะกติกาเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน เพื่อไทยก็ไม่ได้เสียประโยชน์อะไรมากมายเช่นกัน
ทั้งนี้ ต้องติดตามว่าใครกันที่จะนำเรื่องไปยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญเป็นครั้งที่สอง ครั้งแรกศาลไม่รับ แต่คาดการณ์กันว่าครั้งที่สองนี้มีเปอร์เซ็นต์สูงที่ศาลจะรับไว้พิจารณา เพราะปัญหาได้เกิดขึ้นแล้ว สมาชิกรัฐสภาไม่อาจลงมติเดินหน้าได้ เนื่องจากกังวลเรื่องจำนวนครั้งในการทำประชามติ และคงต้องจับตาว่าแม้ได้ข้อสรุปเรื่องจำนวนครั้งแล้ว จะมีเหตุผลใดที่ไม่เห็นด้วยกับการยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่อีก.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
'ไอติม' เลี่ยงยื่นซักฟอก ใช้กลไกอื่นตรวจสอบรัฐบาลแทน
'พริษฐ์' ปัดตอบยื่นซักฟอกรัฐบาล ขอใช้กลไกอื่นของสภาตรวจสอบเข้มข้นแทน เชื่อถกแก้ รธน. วาระ 2 จบภายใน 3 วัน นัดประชุมวิปฝ่ายค้านวางกรอบ 9 ธ.ค.
'อนุทิน' ยันยกเลิกพ.ร.ก.ฉุกเฉินแล้วยังฟื้นฟูหาดใหญ่ต่อ จ่อขนนักวิชาการลงพื้นที่ถอดบทเรียน
'อนุทิน' ยอมรับยังกังวลน้ำท่วมหาดใหญ่ ยัน ยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินแล้วยังฟื้นฟู-เยียวยาต่อ หยอด อำนาจอยู่ที่ มท.1แล้ว 'นายกฯ คงไม่ขัดอะไร' เผยขั้นตอนนำผู้ประสบภัยกลับบ้าน ทำไปแล้วกว่า 90% จ่อขนกองทัพนักวิชาการลงพื้นที่ถอดบทเรียนพรุ่งนี้
'จตุพร' แนะ 'อนุทิน' อย่ามัวแต่พูดอธิบายภาพ 'เบน สมิธ' ต้องรุกกลับปราบสแกมเมอร์ให้สิ้นซาก
'จตุพร' แนะ 'อนุทิน' อย่าพะวงกับรูปถ่ายร่วมเฟรม 'เบน สมิธ' อย่ามัวแต่พูดอธิบายภาพ อ้างไม่สนิท จี้ปฏิบัติให้จริง รุกกลับปราบ'แก๊งสแกมเมอร์' ให้ราบคาบจากไทย ลั่นรู้นะ คนปล่อยรูปหวังทำลายการเมือง
จ่ายศพละ2ล.อีก8จว. ขยายเยียวยานํ้าท่วมใต้ ตั้ง5อนุครบวงจรใช้ทุกที่
นายกฯ ประเดิมนั่งหัวโต๊ะถอดบทเรียนรับมือมหาอุทกภัย ตั้ง 5 อนุกรรมการแก้ครบวงจร พยากรณ์-เตือนภัย-เยียวยา
นายกฯ ลั่นหากเกิดเหตุชายแดนหลังยุบสภา รัฐบาลรักษาการยังมีอำนาจสนับสนุนเต็มที่
นายกฯ ย้ำไม่มีปัจจัยบอกเหตุ ก็ต้องมีแผนป้องกัน โดยเฉพาะตามแนวชายแดน มั่นใจผู้ว่าฯ ดูแลได้ หากอยู่ในช่วงยุบสภา ปฎิเสธข่าวการเจรจาที่ออตตาวาไม่เป็นผล
เพื่อไทยกระอัก! 'อนุทิน' ย้อนเจ็บ มีภาพคู่ทักษิณเยอะ ไม่เห็นมีปัญหา
"อนุทิน" เหน็บ "สุริยะ-โฆษกเพื่อไทย" ไม่รู้เรื่องอะไรเพราะไม่ได้ร่วมวง การสนทนาสำหรับผมต้องระดับสูงขึ้นไป ย้อนเจ็บภาพถ่ายคู่ทักษิณก็มีตั้งเยอะ ไม่เห็นมีปัญหาอะไรเลย


