คนไทยแห่ทำศัลยกรรม ยอด'ดึงหน้า'พุ่ง รพ.ชื่อดังปลื้มช่วงสงกรานต์คิวแน่น

ต้องยอมรับว่าการศัลยกรรม เสริมความงามกลายเป็นเรื่องปกติธรรมดาแล้วในปัจจุบัน ดังจะเห็นได้ว่าศูนย์วิจัยกสิกรไทยเคยประเมินเมื่อช่วงเดือนสิงหาคม 2566 ว่า ธุรกิจศัลยกรรมและเสริมความงามของไทยปี 2566  มีมูลค่าตลาดสูงประมาณ 71,000-72,000 ล้านบาท ขยายตัวราว 2.3%-3.6% (YoY) ซึ่งเป็นความเคลื่อนไหวที่ทยอยกลับมาฟื้นตัวภายหลังสถานการณ์โควิดคลี่คลาย แต่มูลค่าดังกล่าวยังไม่กลับไปเท่าก่อนโควิด

แม้จะยังไม่มีการอัพเดท ตัวเลขล่าสุด แต่คาดว่าการศัลยกรรม เสริมความงาม ในปี2567 น่าจะเฟื่องฟูขยายตัวมากขึ้นกว่าเดิมมาก จากการเปิดเผยของ นพ.ธนัญชัย อัศดามงคล แพทย์เฉพาะทางด้านศัลยกรรมตกแต่งและผู้อำนวยการศูนย์ศัลยกรรมความงาม โรงพยาบาลบางมด  ซึ่งเป็นหนึ่งในโรงพยาบาลที่ได้รับความนิยมเรื่องการศัลยกรรมความงาม เปิดเผยว่า ยอดตัวเลขคนทำศัลยกรรมของโรงพยาบาลปีนี้พุ่งขึ้นตามคาดการณ์  ซึ่งเป็นไปตามข้อมูลอ้างอิงจากจากศูนย์วิจัยกสิกรไทย ที่ระบุว่าธุรกิจศัลยกรรมและเสริมความงามไทยในปี 2566 มีมูลค่ากว่า 7.1-7.2 หมื่นล้านบาท ซึ่งเป็นทิศทางที่เติบโตสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง สอดคล้องกับการคาดการณ์ทั่วโลกว่าอุตสาหกรรมนี้จะเติบโตขึ้นประมาณ 13.2% ในช่วงปี 2567 -2575

 “สำหรับโรงพยาบาลบางมด เราคาดการณ์ไว้แล้วว่า ช่วงเทศกาลสงกรานต์จะเป็นช่วงวันหยุดที่คนไข้ศัลยกรรมสามารถพักฟื้นร่างกายได้ยาวขึ้น คนไข้ส่วนใหญ่จึงมีการจองคิวกันมาไว้ล่วงหน้าหลายเดือน จนทำให้ยอดจองเต็มไปถึงกลางเดือนพฤษภาคมแล้ว เราจึง ได้เตรียมความพร้อมกันมาตั้งแต่ช่วงต้นปีเพื่อรองรับผู้มาใช้บริการ ทั้งเครื่องมือ ทีมแพทย์ และสถานที่ด้วยขนาดโรงพยาบาล 203 เตียง “

นพ.ธนัญชัย อัศดามงคล รพ.บางมด


นพ.ธนัญชัย  กล่าวอีกว่า ส่วนสถิติยอดการทำศัลยกรรมของศูนย์ศัลยกรรมความงามโรงพยาบาลบางมด ในไตรมาสแรกของปี 2567 พบว่า การทำศัลยกรรมดึงหน้า (Modern Facelift) เป็นหัตถการที่ได้รับความนิยมสูงสุด ซึ่งมีผู้สนใจมาใช้บริการเพิ่มขึ้นเป็น 3 เท่าตัว   เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปีที่ผ่านมา และมีแนวโน้มเติบโตขึ้นต่อเนื่องจากปัจจัยต่างๆ ได้แก่

 1.ผู้ที่สนใจทำศัลยกรรมมีค่าเฉลี่ยอายุที่น้อยลง จากเดิมอายุ 50–70 ปี แต่ในปัจจุบันอายุ 40 ปี ก็เริ่มหันมาสนใจศัลยกรรมดึงหน้ากันแล้ว 2. กลุ่มผู้สนใจที่เป็นเพศชาย เริ่มมีแนวโน้มการทำศัลยกรรมดึงหน้ามากขึ้น เฉลี่ยสัดส่วนที่ 30% ของกลุ่มคนไข้เพศหญิง 3.ชาวต่างชาติเดินทางมาทำศัลยกรรมดึงหน้าในประเทศไทยมากขึ้น โดยเฉพาะทางฝั่งยุโรปและอเมริกา โดยมีคนไข้ที่เป็นชาวต่างชาติจำนวนเพิ่มขึ้นประมาณ 20% จากจำนวนคนไข้ทั้งหมดเพราะมั่นใจในความชำนาญและชื่อเสียงของศัลยแพทย์ 4. โรงพยาบาลมีเทคนิคเฉพาะที่ใช้ในการผ่าตัดและใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของผลลัพธ์ที่ได้ ทำให้คนไข้คลายกังวลในเรื่องความเจ็บปวดหลังผ่าตัดและการพักฟื้นที่สั้นลงมาก

ตัวอย่างของผู้ที้่ทำศัลกรรมดึงหน้า ของรพ.บางมด

ทั้งนี้ ข้อมูลจากสมาคมศัลยแพทย์ตกแต่งเสริมสวยนานาชาติ (International Society of Aesthetic Plastic Surgery หรือ ISAPS) เปิดเผยผลการสำรวจประจำปีในด้านการเสริมความงามในยุคปัจจุบัน ซึ่งระบุว่า ตัวเลขของผู้เสริมความงามโดยศัลยแพทย์ล่าสุด เพิ่มขึ้นถึง 19.3% โดยเป็นการทำศัลยกรรมแบบผ่าตัดรวมกว่า 12.8 ล้านครั้ง สำหรับการทำศัลยกรรมแบบผ่าตัดที่ได้รับความนิยมสูงสุด 5 อันดับแรกยังคงเป็นการเสริมหน้าอก ดูดไขมัน ทำตา เสริมจมูก และผ่าตัดตกแต่งหน้าท้อง เป็นต้น

ในแง่การแข่งขัน ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ระบุว่า  ผู้ประกอบการธุรกิจศัลยกรรมความงาม มีการแข่งขันที่รุนแรงจากจำนวนผู้เล่นในธุรกิจที่มีจำนวนมากไม่ต่ำกว่า 4,000 ราย โดยเฉพาะการแข่งขันกับผู้เล่นในต่างประเทศ เช่น เกาหลีใต้ ที่รุกเข้ามาทำการตลาดในไทยมากขึ้น รวมถึงมีการดึงลูกค้าให้ไปใช้บริการในประเทศตนเองผ่านตัวแทนหรือเอเจนซี่ต่างๆ รวมถึงประเทศคู่แข่งในอาเซียนที่หันมาเจาะตลาดศัลยกรรมและความงามมากขึ้น เช่น สิงคโปร์ มาเลเซีย เป็นต้น

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ศูนย์วิจัยกสิกร คาดดิจิทัลวอลเล็ต ดันยอดขายค้าปลีกโต 1%

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เผยแพร่บทวิเคราะห์ โครงการ Digital Wallet โดยชี้ จะส่งผลต่อยอดค้าปลีกมากน้อยเพียงใด ขึ้นอยู่กับหลายเงื่อนไข ไม่ว่าจะเป็น การกำหนดพื้นที่ และประเภทร้านค้า นอกเหนือจากประเด็นทางด้านกฎหมาย รวมถึงระบบใช้งานของแอปพลิเคชัน ที่ยังต้องรอติดตามว่า จะใช้ที่ไหน อย่างไร? ซึ่งการกำหนดเงื่อนไขต่างๆ อาจส่งผลต่อร้านค้าปลีก และพฤติกรรมการใช้เงินของผู้บริโภคที่ต่างกัน ดังนี้