เดือด! ตะแบง 'ม็อบหยุดเอเปก' ใช้สิทธิขั้นพื้นฐาน

21 พ.ย. 2565 - รศ.หริรักษ์ สูตะบุตร อดีตรองอธิการบดีฝ่ายบริหารบุคคล มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า ความเห็นของฝ่ายสนับสนุนม็อบ "ราษฎรหยุดเอเปก" แต่ละคนที่แสดงกันออกมา ก็คือ การแสดงออกและการชุมนุมโดยสงบปราศจากอาวุธเป็นสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานของประชาชนตามรัฐธรรมนูญ และต่างประสานเสียงกันประณามตำรวจว่า ใช้ความรุนแรงเกินกว่าเหตุ ทำให้ประชาชนบาดเจ็บเป็นจำนวนมาก

นี่เป็นเรื่องเหลือเชื่อที่คนที่มีชื่อเสียงเหล่านี้จะสามารถหลับหูหลับตาตะแบงกันได้ถึงขั้นนี้

ชื่อม็อบก็บอกแล้วว่า "ราษฎรหยุดเอเปก" และยังประกาศจะล้มการประชุมเอเปก เนื่องจากไม่มีประโยชน์ และพลเอกประยุทธ์ไม่มีความชอบธรรมที่จะเป็นเจ้าภาพจัดประชุมเอเปก นี่คือสิทธิขั้นพื้นฐานหรือ การแสดงออกว่าไม่เห็นด้วยกับการจัดประชุมเอเปก ไม่เห็นด้วยกับ BCG เป็นสิทธิขั้นพื้นฐานและเสรีภาพในการแสดงออกของประชาชนอย่างไม่ต้องสงสัย แต่การพยายามสร้างความวุ่นวายเพื่อล้มการประชุมเอเปก ไม่ว่าเอาส่วนไหนของร่างกายคิดก็ไม่ใช่สิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชนอย่างแน่นอน แม้แต่การใช้เสาชิงช้าซึ่งเป็นโบราณสถานมาประกอบพิธีกรรมเถื่อน หยาบคายและน่าอับอาย ก็ไม่ใช่สิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานเช่นกัน

เรื่องการใช้ความรุนแรง หากม็อบชุมนุมกันอย่างสงบและสันติ ไม่เคลื่อนที่ไปไหน ก็ไม่มีทางที่จะเกิดความรุนแรงขึ้นได้ ก็เมื่อจะเคลื่อนไปศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ เพื่อสร้างความวุ่นวายที่นั่น ไม่ว่าใครเป็นรัฐบาลก็ยอมให้มีการทำเช่นนั้นไม่ได้ และเมื่อม็อบจะฝ่าแนวกั้นไปให้ได้ ก็หนีไม่พ้นที่จะมีการปะทะกัน และต้องขอบอกว่า ตำรวจเขาอึดอัดอัดอั้นมานานแล้ว เพราะถูกผู้บังคับบัญชาสั่งให้ใช้ความอดทนอดกลั้นให้ถึงที่สุด ถ้าดูคลิปที่ไม่ได้มีการตัดต่อด้วยใจเป็นธรรม จะเห็นว่ามีผู้ชุมนุมใช้ไม้ท่อนใหญ่ฟาดตำรวจควบคุมฝูงชนคนหนึ่ง และเจ้าหน้าที่คนที่ถูกฟาดก็คือคนที่ยิงกระสุนยางใส่ผู้ชุมนุมคนนั้นเพื่อตอบโต้ และที่มีการอ้างว่ามีนักข่าวรอยเตอร์ตาบอด ก็ชัดเจนแล้วจากเจ้าตัวว่า ตาไม่ได้บอด ไม่ต้องผ่าตัด ไม่มีการบาดเจ็บอย่างอื่น มีเพียงแผลที่ตาขาวที่เกิดจากเศษแก้ว ไม่ใช่เกิดจากกระสุนยาง

คงไม่มีใครมองไม่ออกว่า นี่คือการทำเป็นขบวนการ ไม่ว่าใคร รวมทั้งม็อบก็ทราบดีว่า การหยุดหรือล้มการประชุม หรือให้พลเอกประยุทธ์ล้มเลิกการประชุมหรืองดลงนามในข้อตกลงทุกชนิด เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ การรอจนถึงวันที่การประชุมเริ่มขึ้นแล้วจึงสร้างความวุ่นวาย ก็เพียงเพื่อต้องการสร้างภาพลบของประเทศให้เกิดขึ้นในสายตาชาวโลก เพื่อทำลายรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ ส่วนผู้ที่ออกมาขานรับขยายผล ก็ล้วนเป็นส่วนหนึ่งของขบวนการทั้งสิ้น

เมื่อเห็นว่ากติกาตามรัฐธรรมนูญไม่เป็นธรรม ทำไมไม่ประท้วงด้วยการบอยคอตการเลือกตั้งตั้งแต่แรก แต่เมื่อยอมเข้าสู่กระบวนการเลือกตั้ง ก็ต้องถือว่ายอมรับในกติกานี้แล้ว แต่เมื่อตัวเองไม่สามารถเป็นฝ่ายรัฐบาลได้ เนื่องจากพ่ายแพ้เกมการเมืองของอีกฝ่าย จึงได้เคลื่อนไหวทั้งในที่ลับและที่แจ้งเพื่อล้มรัฐบาลให้ได้ ตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้

หากตัวเองได้เป็นรัฐบาล ม็อบ 3 นิ้ว ก็คงไม่เกิด ผู้ที่ถูกดำเนินคดีตามมาตรา 112 ก็คงไม่มี เพราะมาตรา 112 คงถูกยกเลิกไปแล้ว แต่การสั่นคลอนและลิดรอนพระราชอำนาจและเสรีภาพของพระมหากษัตริย์ก็คงมีมากขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดไม่มีสถาบันพระมหากษัตริย์ พวกคุณจึงจะพอใจ ใช่หรือไม่.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

อดีตรองอธิการบดี มธ. สะกิด 'สภาหอการค้า-สภาอุตฯ' หนุน 'นายกฯ' หาตลาดใหม่สู้สหรัฐ

อดีตรองอธิการบดี มธ. ขอเชียร์ให้นายกรัฐมนตรียึดมั่นในความถูกต้อง ไม่ยอมก้มหัวให้ประเทศมหาอำนาจ จัดการกับกัมพูชาให้จบให้ได้ หากทำได้โอกาสที่จะกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้งหลังการเลือกตั้ง จะเท่ากับ 100%

2553 จากรัฐบาลที่ถูกบีบด้วยอาวุธ สู่ประวัติศาสตร์ที่คนรุ่นหลังเลือกจำ

เหตุการณ์ในรั้ว จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อกลุ่มนิสิตบางส่วนชูป้ายว่า “สลายการชุมนุม 53 คนสั่งฆ่าอยู่นี่” ระหว่างที่ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” อดีตนายกรัฐมนตรี มาบรรยายพิเศษให้หลักสูตรปริญญาเอกสาขานโยบายสาธารณะ

อดีตรองอธิการ มธ. ฟันธง 'อนุทิน' นายกฯ ชี้พรรคร่วมรบ.แทงกั๊ก แค่รอ 'ปชน.' ตัดสินใจ

พรรคร่วมรัฐบาลเดิมที่ยังแทงกั๊ก ไม่ตัดสินใจ อ้างว่าจะให้สมาชิกพรรคหรือกรรมการบริหารพรรคตัดสินใจ แต่แท้ที่จริง รอดูว่าพรรคประชาชนจะเลือกใคร