
สปสช. ประชุมหน่วยบริการบัตรทองทั่วประเทศ ชี้แจงเตรียมพร้อม 1 ม.ค. นี้ รุกบริการ “30 บาทรักษาทุกที่ทั่วประเทศ” ขยายเพิ่ม 31 จังหวัด เชื่อมต่อระบบบริการและข้อมูล เพิ่มความสะดวก รวดเร็ว พร้อมระบุ 3 เป้าหมายขับเคลื่อนสู่ผลสำเร็จ และย้ำเบิกจ่ายชดเชย แยกจัดสรรงบหน่วยบริการเดิมและหน่วยบริการนวัตกรรม ไม่กระทบกัน
28 ธ.ค.2567-ทพ.อรรถพร ลิ้มปัญญาเลิศ รองเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เปิดเผยว่า ตามที่รัฐบาลได้ประกาศ Kick Off 30 บาทรักษาทุกที่ ในอีก 31 จังหวัดที่เหลือ ซึ่งจะเริ่มในวันที่ 1 มกราคม 2567 โดยเป็นระยะสุดท้ายซึ่งจะครอบคลุมทั่วประเทศ และเพื่อเตรียมความพร้อมในส่วนระบบของ สปสช. ได้มีการจัดประชุมชี้แจงแนวทางการเบิกจ่ายตามนโยบายให้กับหน่วยบริการต่างๆ ในระบบให้กับหน่วยบริการ โดยเมื่อวันที่ 23 ธ.ค. 67 เป็นการชี้แจงให้กับหน่วยบริการนวัตกรรม 7 ประเภท ที่ได้ลงทะเบียนเข้าร่วมเป็นหน่วยบริการกับ สปสช. และเมื่อวันที่ 26 ธ.ค. 67 เป็นการชี้แจงให้กับหน่วยบริการทุกระดับในระบบทั้งหมด ทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ผ่านการถ่ายทอดทาง FB Live สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ
ทั้งนี้ 30 บาทรักษาทุกที่ เป็นนโยบานสำคัญด้านสุขภาพของรัฐบาล ที่มีแผนดำเนินการเป็น 4 ระยะ โดยเมื่อวันที่ 7 ม.ค. 2567 เป็นการ Kick Off ระยะที่ 1 ใน 4 จังหวัดนำร่องก่อน คือ แพร่ ร้อยเอ็ด เพชรบุรี และนราธิวาส ก่อนขยายเพิ่มเติมอีก 3 ระยะ และจะครอบคลุมทั่วทั้งประเทศในวันที่ 1 ม.ค. นี้
ในการขับเคลื่อนของ สปสช. ตามนโยบายฯ นั้น ทพ.อรรถพร กล่าวว่า สปสช. กำหนดเป้าหมายการดำเนินการ คือ 1.การเพิ่มความสะดวก รวดเร็วในการรับบริการ โดยประชาชนสามาถใช้สิทธิรับบริการใกล้บ้านได้ 2.หน่วยบริการได้รับการสนับสนุนงบประมาณ และการจ่ายชดเชยค่าบริการเร็วขึ้น และ 3. การตรวจสอบก่อนจ่าย สปสช. ได้นำใช้ระบบ AI มาช่วยดำเนินการเพื่อให้มีความถูกต้องและรวดเร็วขึ้น แต่ทั้งหมดนี้จะเกิดขึ้นได้ต้องมีการบูรณาการระบบข้อมูล มี Standard data set การเชื่อมต่อข้อมูลทุกระบบมีความคล่องแคล่ว โดยที่หน่วยบริการเองจะต้องส่งข้อมูลบริการ ข้อมูลการเบิกจ่ายที่รวดเร็ว ถูกต้อง และครบด้วยด้วย
รองเลขาธิการ สปสช. กล่าวต่อว่า ขอชี้แจงว่าในการวางระบบการตรวจสอบต่างๆ นั้น ส่วนใหญ่เป็นการสะท้อนมาจากหน่วยตรวจสอบ เช่น การยืนยันข้อมูลบริการที่เกิดขึ้นจริง เป็นต้น ซึ่งก็นำมาสู่การจัดทำระบบยืนยันข้อมูล ไม่ว่าจะเป็นการยืนยันตัวตนผู้ใช้สิทธิเพื่อระบุว่าได้มารับบริการจริง รวมถึงการปิดสิทธิ ทั้งวิธีการใช้บัตรประชาชนสมาร์ทการ์ด หรือการยืนยันตัวตนผ่านแอปพลิเคชันทางการ ไม่ว่าจะเป็นแอปฯ สปสช. แอปฯ เป๋าตัง หรือแอปฯ ทางรัฐ นอกจากนี้ยังมีการใช้หลักเกณฑ์การให้บริการของแต่ละวิชาชีพมาตรวจสอบด้วย อาทิ เกณฑ์ระยะเวลาการให้บริการต่อผู้ป่วย 1 ราย เพื่อเปรียบเทียบกับจำนวนการเบิกจ่าย หากหน่วยบริการไหนที่มีจำนวนเบิกจ่ายที่มากผิดปกติ ก็จะมีทีมลงไปตรวจสอบ เป็นต้น
“การประชุมทั้ง 2 ครั้งที่ผ่านมา สปสช. ได้ชี้แจงทั้งหลักเกณฑ์ เงื่อนไขการจ่ายค่าใช้จ่ายเพื่อบริการสาธารณสุขฯ ซึ่งขณะนี้ สปสช. ได้ออกประกาศสำนักงานฯ เรื่อง จังหวัดที่ดำเนินงานตามนโยบาย 30 บาทรักษาทุกที่ ด้วยบัตรประชาชนใบเดียว (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2567 โดยเพิ่มเติมรายชื่อ 31 จังหวัดครอบคลุมทั้งประเทศ และให้มีผลตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2568 เป็นต้นไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งงบประมาณที่ใช้สำหรับหน่วยบริการเดิมในระบบ และหน่วยบริการนวัตกรรมมีการจัดสรรที่แยกกัน ไม่กระทบกัน รวมทั้งมีประกาศคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เรื่องมาตรการในการดำเนินงานเกี่ยวกับการเรียกเก็บค่าใช้จ่ายเพื่อบริการสาธารณสุขของหน่วยบริการ พ.ศ. 2567 รองรับ การชี้แจงการตรวจสอบก่อนจ่ายชดเชย การบันทึกข้อมูลจ่ายชดเชย ระบบ E-Claim การตรวจสอบยอดจ่ายชดเชยและกรณีที่ไม่ผ่าน รวมไปถึงการอุทธรณ์กรณีไม่ผ่าน ตลอดจนช่องทางการติดต่อการเบิกจ่ายต่างๆ” รองเลขาธิการ สปสช. กล่าว
ทพ.อรรถพร กล่าวต่อว่า ในการประชุมฯ ทั้ง 2 ครั้งนี้ ยังได้เปิดให้ผู้เข้าร่วมประชุมได้ซักถามประเด็นต่างๆ รวมถึงแนะนำ ซึ่งภาพรวมคำถามส่วนใหญ่จะเกี่ยวกับการยืนยันตัวตน การปิดสิทธิ การเบิกจ่ายชดเชย ระยะเวลาการขอขึ้นทะเบียนหน่วยบริการ การใช้โปรแกรมต่างๆ ในระบบของ สปสช. เป็นต้น อย่างไรก็ดีในกรณีที่ติดขัดในด้านต่างๆ สปสช. ได้เพิ่มคู่สาย สายด่วน สปสช. 1330 ให้กับหน่วยบริการเพื่อสอบถามข้อมูลต่างๆ หรือประสานงานเพิ่มเติมด้วย
นอกจากนี้เพื่อเป็นการเพิ่มความสะดวกในการเข้ารับบริการและการให้บริการของหน่วยบริการตามนโยบาย 30 บาทรักษาทุกที่ สปสช. ยังได้เพิ่มคู่สาย สายด่วน สปสช. 1330 ให้บริการประชาชนทุกวันตลอด 24 ชั่วโมง ซึ่งประชาชนสามารถสอบถามบริการ แจ้งปัญหา ขอรับการช่วยเหลือ ช่วยนัดหมายบริการ นัดคิว นัดแพทย์ออนไลน์ ยืนยันตัวตน รับบริการร้านยาใกล้บ้าน บริการเจาะเลือดที่บ้าน บริการกายภาพบำบัด หรือการพยาบาลที่คลินิกใกล้บ้าน หรือบริการระบบการแพทย์ทางไกล (Telemedicine) ซึ่งจะมีระบบตรวจสอบเชื่อมเข้าระบบ สปสช. ทันที พร้อมเพิ่มอาสาสมัคร เช่น พยาบาลเกษียณ คนพิการ ร่วมให้บริการประชาชนผ่านสายด่วน สปสช. 1330 นอกจากนี้ยังได้จัดเจ้าหน้าที่เพื่อตอบกลับในช่องทางสื่อสารอื่นๆ เช่น Line @NHSO , Traffy Fondue, FB และ Tiktok เป็นต้น
รองเลขาธิการ สปสช. กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับข้อมูลล่าสุด ณ วันที่ 27 ธันวาคม 2567 มีหน่วยบริการนวัตกรรมในระบบฯ แล้วจำนวน 13,004 แห่ง ในจำนวนนี้แยกเป็น คลินิกเวชกรรม 788 แห่ง คลินิกทันตกรรม 1,394 แห่ง ร้านยาคุณภาพ 5,491 แห่ง คลินิกการพยาบาล 4,344 แห่ง คลินิกกายภาพบำบัด 340 แห่ง คลินิกเทคนิคการแพทย์ 194 แห่ง และคลินิกแพทย์แผนไทย 453 แห่ง ซึ่งตั้งแต่เริ่มนโยบายมีประชาชนเข้ารับบริการแล้วจำนวน 7,041,278 คน เป็นจำนวนบริการ 16,595,592 ครั้ง
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ครม. เคาะงบฯ หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ปี 69 วงเงิน 2.7 แสนล้านบาท
นางสาวศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า คณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติกรอบงบประมาณสำหรับงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 วงเงินรวมทั้งสิ้น 274,889.82 ล้านบาท
'หมอเหรียญทอง' แจกแจงแนวคิดจ่ายเงินเอง ราคาบัตรทอง ชี้ช่วยลดความแออัดผู้ป่วยรพ.รัฐ
พล.ต.นพ.เหรียญทอง แน่นหนา ผู้อำนวยการโรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะ โพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊กว่า โครงการ 'จ่ายเงินเอง ราคาบัตรทอง แอดมิตไม่ต้องเสียเงิน ทุกเขตทั่วราชอาณาจักรไม่ต้องใช้ใบส่งตัว'