
อัยการตีกลับสำนวน “รังสิมันต์” หมิ่น “บิ๊กป้อม” ชี้ไม่สมบูรณ์นัดอีกรอบ 31 มี.ค. ทั่นโรมประกาศเอาคืนตำรวจ ดันทุรังเร่งคดี เด็กก้าวไกลสางแค้นเตรียมเรียก ผบช.น.-ผบช.ภ.7 แจง กมธ. กองเชียร์เตรียมซวย นครบาลชี้รวมกลุ่มให้กำลังใจยังผิดกฎหมายอยู่
เมื่อวันศุกร์ที่ 18 มี.ค. นายรังสิมันต์ โรม ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ และรองเลขาธิการพรรคก้าวไกล (ก.ก.) เดินทางมายังสถานีตำรวจนครบาลบางขุนนนท์ เพื่อรายงานตัวตามข้อกล่าวหา ในความผิดฐานหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326 และ 328 จากการอภิปรายไม่ไว้วางใจนอกสภา พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในกรณีมูลนิธิอนุรักษ์ป่ารอยต่อฯ เมื่อต้นปี 2563 โดยมีนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรค พร้อม ส.ส.พรรคเดินทางมาให้กำลังใจ
นายรังสิมันต์กล่าวว่า ทุกครั้งที่อภิปรายไม่ไว้วางใจพาดพิงถึง พล.อ.ประวิตร คดีจะมีความเคลื่อนไหวตลอดเวลา ซึ่งกรณีนี้เป็นกรณีล่าสุด โดยก่อนหน้านี้ได้มีการออกหมายเรียกในวันที่ 11 มี.ค. แต่ได้ชี้แจงไปว่าไม่น่าจะไปได้ โดยระบุว่าจะไปรายงานตัวภายในเดือน มี.ค.แน่นอน แต่พนักงานสอบสวนไม่ยอม จึงมีการออกหมายจับออกมา ซึ่งส่วนตัวลึกๆ เชื่อว่าศาลไม่น่าจะให้ เนื่องจากคดีอัตราโทษค่อนข้างต่ำ และการออกหมายจับได้ ต้องออกหมายเรียกอย่างน้อย 2 ครั้ง แต่นี่ได้รับแค่ครั้งเดียว จู่ๆ ออกหมายจับเลย จึงค่อนข้างแปลกใจมากว่าทำไมกระบวนการของวันนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถไปขอหมายจับจากศาล และศาลให้ และคดีนี้เหมือนมีความพยายามในการดำเนินคดีและไม่ให้ประกันตัว หวังให้หลุดพ้นจากความเป็น ส.ส.
“ถ้าเราทำกันแบบนี้ ประเทศเราจะกลัวกันแบบนี้ ผมรู้มาโดยตลอดว่าหัวอกตำรวจชั้นผู้น้อย พวกท่านก็กลัว ท่านก็เจ็บปวด แต่ถ้าท่านกลายเป็นเครื่องมือของผู้มีอำนาจแล้วเล่นงานผมแบบนี้ ผมก็ไม่ยอม แล้วพรรคก้าวไกล เราก็ไม่ยอม พร้อมต่อสู้เต็มที่” นายรังสิมันต์กล่าว และว่า กระบวนการหลายอย่างไม่ควรเรียกว่ากระบวนการยุติธรรม นี่คือกระบวนการอยุติธรรม
ด้านนายพิธากล่าวว่า สิ่งที่เกิดขึ้นคือความไม่ปกติของสังคมไทยในการเร่งรัดคดีอย่างผิดปกติ ที่เกิดขึ้นกับผู้เเทนราษฎรที่ปฏิบัติหน้าที่ตรวจสอบรัฐบาล ซึ่งพรรคยืนยันว่าจะเดินหน้าตรวจสอบการทำงานของรัฐบาล ทั้งในการอภิปรายไม่ไว้วางใจอย่างเข้มข้น ในฐานะผู้แทนราษฎรเคียงข้างประชาชน
ทั้งนี้ หลังจากรายงานตัว ตำรวจ สน.บางขุนนนท์ได้นำตัวนายรังสิมันต์ขึ้นรถตำรวจไปยังสำนักงานอัยการจังหวัดตลิ่งชัน เพื่อเข้าพบพนักงานอัยการ โดยหลังจากเข้าพบเรียบร้อย นายรังสิมันต์ ออกมาพร้อมกับนายพิธาเเละทีมงานพรรค ระบุว่า สำนวนไม่สมบูรณ์ ตำรวจต้องสอบสวนและแจ้งข้อหาเพิ่มเติมในวันที่ 31 มี.ค.นี้ จึงไม่ได้มีการฟ้องคดี และไม่มีการขอฝากขัง
นายรังสิมันต์กล่าวว่า ผลสรุปที่ว่าสำนวนไม่สมบูรณ์ จึงเป็นคำถามว่ากระบวนการในวันนี้คือการเร่งรัดคดีของผู้มีอำนาจเพื่อกลั่นแกล้งกันหรือไม่ ยืนยันพร้อมฟ้องกลับให้เป็นบรรทัดฐาน คำว่านายสั่งมา จะต้องไม่เป็นกระบวนการที่ถูกยอมรับในสังคมไทย เมื่อสำนวนยังไม่เรียบร้อยเช่นนี้ แล้วตำรวจดันทุรังเร่งออกหมายจับเพื่อนำตัวมาส่งอัยการไปเพื่ออะไร แล้วศาลอนุมัติหมายจับในสำนวนที่ไม่เรียบร้อยแบบนี้ได้อย่างไร
“ผมไม่อยากให้ประเทศแห่งนี้เป็นประเทศที่เมื่อมีคนเอาความจริงมาพูด แล้วผลลัพธ์จะต้องกลายเป็นคดีความอยู่ร่ำไป แม้ท่านจะถูกกดดันมาจากเบื้องบน แต่ต้องไม่นำพาประเทศไปสู่จุดนั้น" นายรังสิมันต์กล่าว
นายประยุทธ เพชรคุณ รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด (อสส.) กล่าวว่า ได้รับรายงานจากนายอธิคม ปานโต อัยการพิเศษฝ่ายสำนักงานคดีอาญาตลิ่งชัน ในฐานะพนักงานอัยการหัวหน้าผู้รับผิดชอบสำนวน ว่าได้รับสำนวนของ สน.บางขุนนนท์ เเละตรวจสำนวนเบื้องต้นพบว่าประเด็นต้องสอบสวนเพิ่มเติม จึงได้เเจ้งพนักงานสอบสวนดำเนินการต่อไป พร้อมนัดผู้ต้องหามาพบเพื่อฟังคำสั่งของพนักงานอัยการวันที่ 31 มี.ค.ต่อไป
นายณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ ส.ส.กทม. พรรค ก.ก. ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการการพัฒนาการเมือง การสื่อสารมวลชน เเละการมีส่วนร่วมของประชาชน สภาผู้แทนราษฎร กล่าวในเรื่องนี้ว่า เป็นการทำลายระบอบการเมืองและการตรวจสอบถ่วงดุลตามระบอบประชาธิปไตย จึงเตรียมเข้าบรรจุเรื่องนี้ในวาระของ กมธ. และจะเชิญ พล.ต.ท.สำราญ นวลมา ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (ผบช.น.), พล.ต.ต.เอกชัย บุญวิสุทธิ์ ผู้บัญชาการตำรวจนครบาลภาค 7, ผู้กำกับ สน.บางขุนนนท์ ตลอดจนเจ้าหน้าที่ทุกท่าน เพื่อสืบหาข้อเท็จจริงและเอาผิดผู้มีส่วนร่วมหรือรู้เห็นในกระบวนการดังกล่าว
ขณะที่ พล.ต.ต.จิรสันต์ แก้วแสงเอก รอง ผบช.น. ในฐานะโฆษก บช.น. กล่าวถึงการมารับข้อกล่าวหาของนายรังสิมันต์ ว่ามีเพื่อนร่วมพรรคการเมืองและผู้ชุมนุมกลุ่มทะลุฟ้าประมาณ 50 คนมาร่วมสังเกตการณ์ ซึ่งกลุ่มผู้ชุมนุมได้ใช้รถเครื่องเสียงปราศรัยบริเวณ สน.บางขุนนท์ และศาลอาญาตลิ่งชัน โดยใช้รถเครื่องเสียงปราศรัยด่าทออย่างต่อเนื่อง เจ้าหน้าที่จึงได้เก็บรวบรวมพยานหลักฐานในส่วนความผิดอื่นที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการคดีตามกฎหมายต่อไป เพราะแม้ กทม.จะถูกปรับให้เป็นพื้นที่จังหวัดนำร่องด้านการท่องเที่ยวแล้วก็ตาม แต่การชุมนุมหรือรวมกลุ่มทำกิจกรรมที่มีลักษณะเสี่ยงต่อการแพร่โรคนั้นยังคงผิดกฎหมายอยู่.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
นายกฯลุยปราบฝุ่นเหนือ เจรจาเพื่อนบ้านลดเผา
"เศรษฐา" มอบนโยบายแก้ฝุ่น PM 2.5 ยอมรับคงลำบากถ้าให้หมดไป
รบ.ปัดทุนใหญ่เด้งDSI
รัฐบาลช่วยกันหามหมูเถื่อน “เพื่อไทย” ปากสั่นอธิบดีดีเอสไอกระเด็น
อ่วม!ค่าไฟขยับ4.68บาท เอกชนลุ้นรัฐคงอัตราเดิม
กกพ.เคาะขึ้นค่าไฟงวดใหม่ ม.ค.-เม.ย.67 อยู่ที่ 4.68 บาท/หน่วย
หยุดยิงอีก4วัน ปล่อย2คนไทย ขอบคุณผู้นำยิว
กต.แจ้งข่าวดี "ปานปรีย์" ต้อนรับแรงงานไทยได้รับการปล่อยตัวเพิ่มอีก 2 คน
ฝัน4ปีปั้น‘ยูนิคอร์น’ นิดเยือนถิ่นแม้วหยอดสตาร์ทอัป/2สส.ฉาวได้พรรค
"เศรษฐา" เยือนถิ่นสันกำแพง จ.เชียงใหม่ โอ่ดันโอทอปโชว์เวทีโลก
ยิวพักรบอีก2วัน เคาะงบ352ล้าน ดูแลแรงงานไทย
ครม.อนุมัติงบกลางปี 66 วงเงิน 352.16 ล้านบาท ช่วยเหลือและอพยพคนไทยที่ได้รับผลกระทบสงครามอิสราเอล