"ธนกร" ยื่นหนังสือลาออกตำแหน่งโฆษกรัฐบาล "อนุชา" คัมแบ็กอีกรอบ จับตาเสริม "ทิพานัน" นั่งรองโฆษกฯ "อนุทิน" มอง 6-7 เดือนเตรียมตัวเลือกตั้งกำลังดี ไม่หวั่น พท.เปิดตัวผู้สมัคร ส.ส.อีสาน ฟุ้งแนวโน้ม ภท.ได้เพิ่มโชคดีคนแห่ร่วมทัพ สภาผ่านร่าง พ.ร.บ.งบ 66 ถึงมาตรา 11 ก.ท่องเที่ยวฯ
เมื่อวันที่ 18 สิงหาคม นายธนกร วังบุญคงชนะ อดีตโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ได้ยื่นหนังสือลาออกจากตำแหน่งโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีแล้วเมื่อช่วงเย็นของวันที่ 17 สิงหาคม 2565 ถือเป็นการยุติบทบาทโฆษกประจำสำนักนายกฯ อย่างเป็นทางการ ขอขอบคุณสื่อมวลชนทุกท่านจากใจจริง ที่ให้การสนับสนุนการทำงานของตน ในฐานะโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีด้วยดียิ่งมาโดยตลอด ความร่วมมือและแรงสนับสนุนของทุกท่าน เป็นกำลังใจ ทำให้ตนสามารถขับเคลื่อนงานประชาสัมพันธ์ ผลงาน ภารกิจของนายกรัฐมนตรี ตลอดในระยะเวลา 1 ปีที่ผ่านมา ประสบความสำเร็จได้อย่างราบรื่น แม้จากนี้ตนจะต้องเปลี่ยนบทบาทในการทำงานเพื่อรับใช้พี่น้องประชาชน แต่ก็ยังยินดีและพร้อมประสานกับพี่น้องสื่อมวลชนทุกท่าน เพื่อประโยชน์ในการบริหารราชการแผ่นดินของนายกรัฐมนตรีและรัฐบาลเช่นเดิม
นายธนกรระบุด้วยว่า แม้จะต้องไปทำหน้าที่ ส.ส.แล้ว แต่ก็จะพยายามมาทำเนียบฯ บ้าง เพราะนายกรัฐมนตรีได้บอกว่าให้ตนมาทำเนียบฯ ได้ตลอดเวลา ซึ่งอาจจะมารับนายกฯ ในวันประชุม ครม.บ้าง และการลงพื้นที่ของนายกรัฐมนตรีก็จะพยายามเดินทางไปด้วยทุกที่เพื่อคอยประสานกับ ส.ส.ในพื้นที่
สำหรับการลาออกจากตำแหน่งโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีของนายธนกร เพื่อไปเป็น ส.ส.บัญชีรายชื่อแทน น.ส.วทันยา บุนนาค ที่ประกาศลาออกจากการเป็น ส.ส.
ในช่วงเช้า นายธนกรได้เดินทางเข้าพบ พล.อ.ประยุทธ์ เพื่อกราบลาอย่างเป็นทางการ
นายเสกสกล อัตถาวงศ์ อดีตผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ขอแสดงความยินดีกับนายธนกร ที่จะได้เป็น ส.ส.ตามที่นายธนกรได้มีความตั้งใจเอาไว้ว่าอยากจะทำหน้าที่เป็นผู้แทนประชาชน ช่วยเหลือในเวลาที่กำลังเดือดร้อนอยู่ในขณะนี้ นอกจากนี้ขอชื่นชมในการทำหน้าที่โฆษกรัฐบาลที่ผ่านมา ซึ่งตนเองได้ทำงานให้กับรัฐบาลมาพร้อมกับนายธนกร ทราบดีว่าเป็นคนรุ่นใหม่ มีความตั้งใจทำงานทุกอย่างจนออกมาได้ด้วยดี มีความขยัน รับผิดชอบ ช่วยงานนายกฯ และรัฐบาลได้มาก ก็ขออวยพรให้ทำหน้าที่ ส.ส.เพื่อประชาชนตามที่นายธนกรได้ตั้งใจเอาไว้ และตนเชื่อว่านายธนกรจะทำได้เป็นอย่างดี
วันเดียวกัน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ลงนามคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ 204/2565 เรื่องมอบหมายให้ข้าราชการการเมืองปฏิบัติหน้าที่ อีกหน้าที่หนึ่ง เพื่อให้การประชาสัมพันธ์ของรัฐบาลเป็นไปด้วยความเรียบร้อยต่อเนื่อง เหมาะสม และที่ประสิทธิภาพ นายกฯ จึงมีคำสั่งมอบหมายให้นายอนุชา บูรพชัยศรี ข้าราชการการเมือง ตำแหน่งรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีอีกหน้าที่หนึ่ง ตั้งแต่วันที่ 18 ส.ค.เป็นต้นไป จนกว่าจะมีคำสั่งเปลี่ยนแปลง
ทั้งนี้ สำหรับตำแหน่งรองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในส่วนของ น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี คาดว่าจะมีการเสนอที่ประชุมครม.พิจารณาในวันที่ 23 ส.ค.
นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และ รมว.สาธารณสุข ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย (ภท.) ให้สัมภาษณ์กรณี ราชกิจจานุเบกษาเผยแพร่ระเบียบคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ว่าด้วยการใช้ทรัพยากรของรัฐหรือบุคลากรของรัฐเพื่อกระทำการใดซึ่งจะมีผลต่อการเลือกตั้ง พ.ศ.2563 ทำให้หลายฝ่ายมองว่าเป็นการเข้าโหมดเลือกตั้งว่า ประกาศที่ออกมาเป็นสิ่งย้ำเตือนให้พวกเราตระหนักว่าจะเข้าสู่ฤดูเลือกตั้งแล้ว จะมีข้อกำหนดออกมาว่าอะไรทำได้ไม่ได้ เป็นสิ่งที่ดีออกมาตอกย้ำให้ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.ของพรรค ระมัดระวัง แม้กระทั่งในฐานะพรรคร่วมรัฐบาล ก็ต้องทราบว่าทำอะไรได้บ้างหรือทำอะไรไม่ได้ในช่วงใกล้ฤดูเลือกตั้ง
เมื่อถามว่า ระยะเวลา 6-7 เดือนที่เหลือในการเตรียมตัวเลือกตั้งถือว่ามากหรือน้อยไปหรือไม่ นายอนุทินกล่าวว่า “กำลังดี”
ส่วนกรณีพรรคเพื่อไทย (พท.) เพิ่งประกาศ 93 ว่าที่ผู้สมัครในภาคอีสาน ภท. จะสู้ในพื้นที่ดังกล่าวได้หรือไม่ นายอนุทินกล่าวว่า อย่าไปพูดถึงคำว่าต่อสู้เลย เราก็นำเสนอนโยบายของเราด้วยรูปแบบการเลือกตั้ง ยิ่งถ้าสมมุติใช้สูตรเลือกตั้งบัญชีรายชื่อหาร 100 พรรคการเมืองต่างๆ ก็ส่งผู้สมัครให้มากที่สุดเท่ากับความสามารถที่มีอยู่ เพราะมันก็ชัดเจนว่าจะต้องได้ ส.ส.บัญชีรายชื่อด้วย ถ้าเราส่งผู้สมัคร ส.ส.เขตที่คุ้นเคยกับพื้นที่โอกาสได้ ส.ส.บัญชีรายชื่อก็เพิ่มขึ้น ก็ถือเป็นเรื่องปกติที่ทุกพรรคจะส่งผู้สมัครที่ดีที่สุดเพื่อให้ได้ ส.ส. เวลาลงสนามเลือกตั้งนักการเมืองเก่าที่ไม่ได้กลับมาเยอะแยะ อยู่ที่นโยบายความตั้งใจและความใกล้ชิดประชาชน และความสร้างความเชื่อมั่นให้ประชาชนหลายอย่างประกอบกัน ประมาทปัจจัยใดๆ ไม่ได้เลยแม้แต่นิดเดียว
ถามย้ำว่า พรรคภูมิใจไทยมั่นใจจะได้ส.ส.ภาคอีสานมากขึ้นจากเดิมหรือไม่ นายอนุทินกล่าวว่า “น่าจะดูหั่งเช้ง (แนวโน้ม) ก็น่าจะดี แนวโน้มเช่นธุรกิจนี้หั่งเช้งดีนะ ท่าทางจะไปได้ดี นอกนั้นดี นอกนั้นดีหมดเลย ทั้งนี้ก็อยากได้ ส.ส.ทั่วประเทศถึง 100 เสียง แต่ได้หรือไม่ไม่รู้ แต่เวลาเราอยากได้อะไรแล้วเราพยายามทำให้ถึงจุดนั้น โอกาสที่จะประสบความสำเร็จก็มี
เมื่อถามถึงกระแสข่าวนายปารเมศ โพธารากุล อดีต ส.ส.กาญจนบุรี ลาออกจากสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ แล้วจะมาร่วมพรรคภูมิใจไทย นายอนุทินกล่าวว่า ตนยังไม่ได้พูดคุยกับนายปารเมศโดยตรง แต่ในฐานะพรรคการเมือง ถ้าใครเห็นว่านโยบายกับความตั้งใจสอดคล้องกันเราเปิดกว้างกับทุกคน และก็นับเป็นข่าวดี เป็นโชคและเป็นบุญของพรรคภูมิใจไทย
ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายศุภชัย โพธิ์สุ รองประธานสภาฯ คนที่หนึ่ง เป็นประธานการประชุม มีวาระพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2566 วงเงิน 3.185 ล้านล้านบาท ที่คณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาเสร็จแล้ว ในวาระสอง ต่อจากเมื่อวันที่ 17 ส.ค.ที่ผ่านมา โดยเมื่อเปิดการประชุมได้ลงมติมาตรา 8 งบประมาณของกระทรวงกลาโหม ที่คณะ กมธ.ตัดลดงบประมาณเหลือ 8.53 หมื่นล้านบาท จาก 8.81 หมื่นล้านบาททันที เนื่องจากเมื่อคืนของวันที่ 17 ส.ค. สมาชิกได้อภิปรายเรียบร้อยแล้ว ทั้งนี้ ที่ประชุมเห็นชอบตามมาตรา 8 ตามที่คณะ กมธ.แก้ไข ด้วยคะแนน 216 ต่อ 83 งดออกเสียง 1 และไม่ลงคะแนน 2 เสียง
อย่างไรก็ตาม นายวราเทพ รัตนากร ในฐานะกรรมาธิการเสียงข้างมาก ชี้แจงกรณีการจัดซื้อเครื่องบินขับไล่ F-35A ว่า การปรับลดงบประมาณต่ำกว่ามติ ครม.ที่กำหนดไว้ในการก่อหนี้ผูกพันนั้น ข้อเท็จจริงในชั้นอนุกรรมาธิการได้รายงานว่าปรับลดลงทั้งก้อน แต่ในส่วนของกรรมาธิการชุดใหญ่ มีมติเห็นว่าการปรับลดนั้นทำให้ไม่สามารถสนับสนุนกองทัพที่จะได้ยุทโธปกรณ์ไปดำเนินการในการใช้และวางแผนตามความเหมาะสม กรรมาธิการเสียงข้างมากจึงพิจารณาว่ามติ ครม.เขียนลักษณะนั้นเพื่อบังคับทุกหน่วยงาน รวมถึงกระทรวงกลาโหม แต่ไม่ได้หมายความว่าการบังคับนั้นจะมาผูกพันกับการพิจารณางบประมาณของกรรมาธิการแต่อย่างใด เพราะเราแยกอำนาจในการตั้งงบประมาณที่เป็นหน้าที่ฝ่ายบริหาร ส่วนอำนาจการอนุมัติเป็นอำนาจฝ่ายนิติบัญญัติ เคยมีเรื่องการตั้งงบประมาณมาแล้วมีการปรับลดเหลือน้อยกว่าตามที่มติ ครม.กำหนด ซึ่งสามารถทำได้
จากนั้นที่ประชุมก็ได้พิจารณาเรียงตามรายมาตรา ตั้งแต่มาตรา 9 งบประมาณกระทรวงการคลัง ที่คณะ กมธ. ปรับลดลงเหลือ 1.042 หมื่นล้านบาท จาก 1.049 หมื่นล้านบาท มาตรา 10 งบประมาณกระทรวงการต่างประเทศ วงเงิน 3.76 พันล้านบาท มาตรา 11 งบประมาณกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ที่คณะ กมธ.ปรับลดลงเหลือ 3.02 พันล้านบาท จาก 3.05 พันล้านบาท ซึ่งท้ายที่สุดที่ประชุมเสียงส่วนใหญ่ลงมติเห็นด้วยยืนตามคณะ กมธ.
ต่อมาเวลา 15.20 น. ที่ประชุมสภาฯเข้าสู่การพิจารณามาตรา 12 งบประมาณกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ โดยคณะ กมธ.ปรับลดลงเหลือ 2.136 หมื่นล้านบาท จาก 2.137 หมื่นล้านบาท ซึ่งมี ส.ส.ร่วมอภิปรายจำนวนมาก จนถึงเวลา 17.13 น. ก็ไม่สามารถลงมติมาตราดังกล่าวได้.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
คุก18ปี24เดือน อดีตผอ.สามเสน โกงค่าแป๊ะเจี๊ยะ
ศาลอาญาคดีทุจริตฯ สั่งจำคุก 18 ปี 24 เดือน "อดีต ผอ.-รอง ผอ.สามเสน"
บี้รบ.เปิดกว้าง ถามประชามติ จับตาเลือกสว.
"วันนอร์" ชี้ร่างแก้ไข รธน. ไม่ทันประชุมสภาวิสามัญ เหตุต้องทำประชามติก่อน
โผพท.ออก3เข้า4รทสช.ยังวุ่น
ปรับ ครม.ฝุ่นตลบ เพื่อไทยลงตัว ออก 3 เข้า 4 ขณะที่ “รทสช.”
โจ๊กพล่านร้องปปช.-ปปง. อึ้งหลอกนายกฯเซ็นคำสั่ง
"โจ๊ก" ดิ้นสุดตัว! เดินสาย "ป.ป.ช.-ปปง." โชว์ความบริสุทธิ์ ยื่นฟันอาญา "พล.ต.อ.ธนา" พร้อม พงส. 200 นาย
รัฐบาลไม่ฟัง‘ธปท.’ ดึงดันดิจิทัล‘เศรษฐพุฒิ’ห่วง4เรื่องใหญ่ทำประเทศเสี่ยง
ผู้ว่าฯ แบงก์ชาติทำหนังสือถึง ครม. เตือนเดินหน้าแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต
ไฟเขียวพ.ร.ฎ.เลือกสว. สมัคร13พ.ค.รู้ผล2ก.ค.
ครม.คลอดร่าง พ.ร.ฎ. เลือก สว. เปิดรับสมัคร 13 พ.ค. ประกาศผล 2 ก.ค.