กกต.5จี!คุ้ยเงินบริจาค‘พปชร.’

“กกต.” เร็วจี๋! สอบปมนายทุนจีนเจ้าของผับปาร์ตี้ยาเสพติดย่านยานนาวา มีชื่อบริจาค 3 ล้านเข้าพรรค พปชร. “แสวง” เผย "สิทธิผู้บริจาค-จำนวนเงิน” ตามเกณฑ์ กม. เหลือแค่ตรวจสอบพรรครู้แหล่งที่มาเงินหรือไม่  “พี่ศรี” บุกร้อง กกต.สอบให้ละเอียด “บิ๊กป้อม” มั่นใจไม่ถึงขั้นยุบพรรค “ฝ่ายค้าน” นัดกำหนดท่าที 1 พ.ย. “พท.” ลั่นไม่ขอยื่นยุบพรรค เหตุพบข้อมูลวันบริจาคทุนจีนได้สัญชาติไทยแล้ว “อัยการแขวงพระนครใต้” ยื่นฟ้อง 34 คนงานต่างด้าวผับดังเข้าเมืองไม่มีใบอนุญาต “ทูตตำรวจจีน"  ประสานขอข้อมูลตำรวจไทย

มีความเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่องภายหลังจากนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ในฐานะประธานยุทธศาสตร์พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ออกมายอมรับว่า นายชัยณัฐร์ กรณ์ชายานันท์ นายทุนจีนที่ได้รับสัญชาติไทย มีความเชื่อมโยงกับผับดังย่านยานาวา ซึ่งถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจบุกทลายปาร์ตี้ยาเสพติด โดยพบมีชื่อบริจาคเงินให้พรรค พปชร.จำนวน 3 ล้านบาทเมื่อปี 2564

เมื่อวันที่ 28 ต.ค. นายแสวง บุญมี เลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) และนายทะเบียนพรรคการเมือง กกต. กล่าวว่า ในฐานะนายทะเบียนและสำนักงาน  กกต. ตั้งแต่ทราบข่าวก็ได้ให้สำนักกิจการพรรคการเมืองดำเนินการตรวจสอบเบื้องต้น ซึ่งมี 3 ประเด็น คือ 1.ผู้บริจาคมีสิทธิ์บริจาคหรือไม่ โดยดูจากตัวเลขตามบัตรประจำตัวประชาชน พบว่าเป็นผู้มีสัญชาติไทย ก็ถือว่าเป็นผู้ที่สามารถบริจาคเงินให้พรรคการเมืองได้ 2.จำนวนเงินที่บริจาคพบว่าอยู่ในเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด และ 3.พรรคผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองรู้หรือควรจะรู้ว่าแหล่งที่มาของเงินชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ตรงนี้อยู่ในชั้นสำนักงานกำลังดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ เมื่อตรวจสอบแล้วก็จะมีการทำเรื่องเสนอมายังนายทะเบียนพรรคการเมือง

นายแสวงกล่าวว่า ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยพรรคการเมือง ได้กำหนดเรื่องการบริจาคเงินให้พรรคการเมืองไว้ โดยต้องไม่เป็นผู้มีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 74 และจำนวนเงินที่บริจาคต้องไม่เกิน 10 ล้านบาท ซึ่งทั้ง 2 เกณฑ์ กกต.จะตรวจสอบตามมาตรฐาน โดยเมื่อทุกพรรคการเมืองได้รับบริจาค ก็จะตรวจสอบเบื้องต้นว่าผู้บริจาคเป็นผู้ที่สามารถบริจาคเงินให้พรรคได้หรือไม่ และเงินที่บริจาคอยู่ในเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนดหรือไม่ ก่อนที่พรรคจะติดประกาศรายละเอียดการรับบริจาคไว้ที่ทำการของพรรค และส่งให้สำนักงาน กกต.ประกาศให้สาธารณชนทราบต่อไป 

“เมื่อมีกรณีเป็นที่สงสัยของประชาชน สำนักงาน กกต.ก็จะดำเนินการตรวจสอบให้ความเป็นธรรม ทั้งกับพรรคและตัวผู้บริจาคเอง ซึ่งขณะนี้เรื่องดังกล่าวอยู่ระหว่างดำเนินการ” นายแสวงกล่าว

ถามว่า เมื่อพรรคการเมืองรู้ภายหลังว่าเงินที่ได้รับมาไม่ถูกต้องจะสามารถดำเนินการแก้ไขได้หรือไม่ นายทะเบียนพรรคการเมือง กกต.กล่าวว่า ตัวกฎหมายเขียนไว้ชัดอยู่แล้ว ผลการตรวจสอบเป็นอย่างไรก็ต้องเป็นไปตามกฎหมาย ขอให้ได้ข้อเท็จจริงว่าเป็นอย่างไรก่อน ขอให้ประชาชนสบายใจ ยืนยัน กกต.ปฏิบัติเหมือนกันทุกพรรค และขอตรวจสอบให้ได้ข้อเท็จจริงก่อนว่าเป็นอย่างไร

ขณะที่นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย เดินทางมายื่นหนังสือต่อ กกต.เพื่อขอให้ตรวจสอบพรรค พปชร.กรณีรับเงินบริจาค  3 ล้านบาทจากนายทุนชาวจีน ซึ่งเป็นเจ้าของสถานบันเทิงชื่อดังย่านยานนาวา

นายศรีสุวรรณกล่าวว่า มีข้อสงสัยว่านักธุรกิจชาวจีนเคยมีสัญชาติจีน และได้มีการแปลงสัญชาติมาเป็นสัญชาติไทยแล้วเมื่อปี 2557 มีบัตรประชาชนเป็นคนไทย แต่เนื่องจากบุคคลดังกล่าวเป็นนักธุรกิจที่ประกอบกิจการหลากหลาย มีบริษัทในเครือหลาย 10 บริษัท จึงเป็นข้อสังเกตว่าการแปลงสัญชาติมาเป็นคนไทย เขาได้สละสัญชาติจีนด้วยหรือไม่ หรือว่ามีการถือสองสัญชาติ ซึ่งเกี่ยวข้องกับ พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง โดยเฉพาะมาตรา 44 ระบุว่า ห้ามพรรคการเมืองไปรับเงินรับทองหรือรับประโยชน์อื่นใดจากบุคคลที่ให้การสนับสนุนการทำลายความมั่นคง การทำลายเศรษฐกิจของชาติ และการทำลายระบบราชการของชาติ มาตรา 72 ระบุว่า ห้ามพรรคการเมืองไปรับเงินหรือทรัพย์สินประโยชน์อื่นใดโดยรู้ หรือควรรู้ว่าแหล่งที่มาไม่ชอบด้วยกฎหมาย และมาตรา 74 ระบุว่า ห้ามพรรคการเมืองรับเงินจากบุคคลที่ไม่ได้ถือสัญชาติไทย

‘ป้อม’ มั่นใจไม่ถึงยุบพรรค

"กกต.จะต้องดำเนินการตรวจสอบเชิงลึก และวินิจฉัยว่าบุคคลดังกล่าวถือ 2 สัญชาติจริงหรือไม่ และเกี่ยวพันไปถึงธุรกิจทั้งหมดนับสิบบริษัท มีนอมินีเข้าไปถือหุ้นเกินกว่าที่กฎหมายกำหนดหรือไม่ เพราะถ้าเกินกว่ากฎหมายกำหนดก็จะถือว่าเป็นบริษัทของคนต่างด้าว เป็นข้อห้ามในกฎหมายพรรคการเมืองเช่นกัน โดยหากพบว่ามีความผิด ก็จะเข้าข่ายตามมาตรา 92 (3) เสนอให้ศาลรัฐธรรมนูญยุบพรรคการเมืองดังกล่าวได้" นายศรีสุวรรณกล่าว

ถามว่า นายสมศักดิ์ออกมายืนยันว่าเงินที่ได้รับบริจาคถูกต้องตามกฎหมาย นายศรีสุวรรณกล่าวว่า หากยืนยันว่าบุคคลดังกล่าวแปลงสัญชาติมาเป็นสัญชาติไทยและไม่ได้ถือสองสัญชาติ ก็มีสิทธิ์ที่จะสนับสนุนให้พรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่งในประเทศไทยได้ แต่ต้องไม่เกิน 10 ล้านบาทตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมืองกำหนดไว้

เมื่อถามว่า กกต.จะต้องมีการตรวจสอบไปถึงพรรคการเมืองอื่นด้วยหรือไม่ กับกรณีการรับเงินบริจาคในลักษณะเดียวกันนี้ นายศรีสุวรรณกล่าวว่า ถ้าก้าวไปถึงพรรคการเมืองไหน แล้วเชื่อมโยงไปถึงพรรคการเมืองไหนที่มีลักษณะคล้ายคลึงกัน ส่วนตัวคิดว่าเป็นอำนาจของ กกต.และนายทะเบียนพรรคการเมืองที่จะต้องตรวจสอบอย่างละเอียด เพื่อสร้างความโปร่งใสในเรื่องของการจัดการเลือกตั้งในอนาคต รวมถึงการควบคุมพรรคการเมืองในประเทศด้วย 

ส่วน พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี  ในฐานะหัวหน้าพรรค พปชร. กล่าวถึงเรื่องเงินบริจาคจากทุนจีนว่า พรรคได้ส่งเรื่องให้ กกต.แล้ว

ถามว่า นายศรีสุวรรณยื่นเรื่องให้ กกต.ตรวจสอบว่าเข้าข่ายจะถูกยุบพรรคหรือไม่ พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า “ไม่ยุบหรอก” เมื่อถามว่า กังวลหรือไม่ว่าอาจจะถูกยุบพรรคตามมาได้ พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า ก็ตามที่นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.ยุติธรรม ในฐานะประธานยุทธศาสตร์พรรคให้สัมภาษณ์ไปแล้ว

ซักว่า ในฐานะหัวหน้าพรรคกังวลหรือไม่ พล.อ.ประวิตรส่ายหัวแทนคำตอบ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะนี้ยังไม่มีความเคลื่อนไหวหรือความเห็นจากแกนนำพรรค พปชร. โดยนายไพบูลย์  นิติตะวัน ทีมกฎหมายของพรรคปฏิเสธให้ความเห็นในเรื่องดังกล่าว ระบุเพียงว่าเป็นไปตามที่นายสมศักดิ์ให้สัมภาษณ์ไว้ และไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง ทุกอย่างเป็นไปตามขั้นตอน

ด้านนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.พาณิชย์ ในฐานะหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.)  กล่าวถึงเรื่องเงินบริจาคเข้าพรรคว่า พรรคปฏิบัติตามกฎหมายอยู่แล้ว เพราะเราให้ความสำคัญกับเรื่องของการทำหน้าที่ที่ต้องปฏิบัติตามกฎหมาย เหมือนที่เราได้ทำมาทุกยุคทุกสมัย ส่วนการตรวจสอบขั้นสุดท้ายหรือขั้นปลายก็เป็นหน้าที่ของ กกต.ที่จะเป็นผู้ดำเนินการตรวจสอบ

หัวหน้าพรรค ปชป.ปฏิเสธที่จะแสดงความเห็นเรื่องเงินบริจาคของพรรค พปชร. โดยระบุว่า เมื่อถึงเวลาถ้ามีการตรวจสอบ กกต.ก็คงเปิดโอกาสให้พรรค พปชร.ได้ไปชี้แจง และการใช้ดุลพินิจพิจารณาว่าเป็นอย่างไรนั้นก็คงเป็นหน้าที่เบื้องต้นของ กกต.

นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ รองหัวหน้าพรรคสร้างอนาคตไทย โพสต์เฟซบุ๊กระบุว่า กรณีนายทุนจีนแปลงสัญชาติแล้วบริจาคเงินให้พรรคการเมือง ต้องดูว่าขณะบริจาคนายชัยณัฐร์สละสัญชาติจีนแล้วหรือไม่ เพราะหากยังถือ 2 สัญชาติแล้วมาบริจาคเงินให้พรรคการเมือง สุ่มเสี่ยงต่อการเลี่ยงกฎหมาย พรรคการเมืองที่รับบริจาคจะมีความผิดตามมาตรา 74 อันอาจนำไปสู่การยุบพรรคได้ ตามมาตรา 92

 “ต้องดูว่าผับของนายชัยณัฐร์จัดตั้งเป็นนิติบุคคลชื่อใด  มีใครถือหุ้น หรือมีนอมินีถือหุ้นแทนต่างด้าวหรือไม่ และการบริจาคเงิน 3 ล้านบาท เป็นเงินส่วนตัว หรือเงินที่ถอนมาจากนิติบุคคล ที่มีนอมินีเป็นผู้ถือหุ้น เพราะถ้าเป็นเช่นนั้นนิติบุคคลที่เปิดผับ ก็ถือเป็นนิติบุคคลต่างด้าว การบริจาคเงินก็ผิดตามมาตรา 74 (2) ยุบพรรคได้” นายนิพิฏฐ์กล่าว

ฝ่ายค้านนัดวางท่าที 1 พ.ย.

นายธีรัจชัย พันธุมาศ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล  (ก.ก.) กล่าวว่า พรรคร่วมฝ่ายค้านจะหารือถึงประเด็นนี้ในวันอังคารที่ 1 พ.ย. สำหรับการให้ชาวต่างชาติมาเปิดผับ หรือทำธุรกิจอื่นในประเทศไทย ไม่ได้ทำให้ประเทศไทยได้ประโยชน์

ส่วนนายชูศักดิ์ ศิรินิล ประธานคณะทำงานฝ่ายกฎหมายพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวว่า เรื่องเงินบริจาคพรรค พปชร.ขอแสดงความเห็นทางกฎหมายเป็นหลัก ไม่ค่อยเห็นด้วยที่จะไปยื่นยุบพรรคนั้นพรรคนี้ ตามข้อเท็จจริงผู้บริจาคเงิน 3 ล้านบาทให้พรรค พปชร. เดิมเป็นคนสัญชาติจีน แต่ได้ขอแปลงสัญชาติเป็นสัญชาติไทย และได้สัญชาติเรียบร้อยเมื่อวันที่ 22 ต.ค.57 ตาม พ.ร.บ.สัญชาติ  ม.19 (2) บุคคลจะขอแปลงสัญชาติเป็นสัญชาติไทยต้องไม่ใช้สัญชาติเดิม มิเช่นนั้นจะถูกถอนสัญชาติไทย ดังนั้นจึงอาจเข้าใจได้ว่าปัจจุบันผู้บริจาคถือสัญชาติไทยเพียงสัญชาติเดียว และในวันที่บริจาคเงินให้ พปชร.คือวันที่ 5  พ.ค.64 ได้ถือสัญชาติไทยแล้ว จึงไม่ขัด ม.74 (1) พ.ร.ป.พรรคการเมืองที่ห้ามรับบริจาคเงินจากบุคคลผู้ไม่มีสัญชาติไทย

นอกจากนี้ ในมาตรา 72 พ.ร.ป.พรรคการเมืองยังห้ามมิให้พรรคการเมืองรับบริจาคเงิน โดยรู้หรือควรจะรู้ว่าได้มาโดยมิชอบด้วยกฎหมาย หรือมีเหตุอันควรสงสัยว่ามีแหล่งที่มาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย การบริจาคเงินถึง 3  ล้านบาทน่าจะต้องมีการตรวจสอบแหล่งที่มาของเงิน กรณีนี้ผู้ตอบคำถามได้ดีที่สุดคือพรรค พปชร. และหากเข้าข่ายมาตรานี้ก็อาจถือเป็นเหตุให้ถูกยุบพรรคการเมืองได้ตาม  ม.92 (3) 

ถามว่า จะยื่นยุบพรรค พปชร.หรือไม่ นายชูศักดิ์ กล่าวว่า พรรค พท.เจ็บปวดกับการใช้การยุบพรรคเป็นเครื่องมือทางการเมือง พรรคถูกยุบมีผลให้สมาชิกพรรคเป็นหมื่นเป็นแสนคนต้องสิ้นสภาพสมาชิกไปด้วย จึงเห็นว่าการยุบพรรคควรมีกรณีเดียวเท่านั้น คือการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข กรณีอื่นๆ ให้เป็นความรับผิดชอบของผู้บริหารพรรค แต่ก็น่าเสียดายเราขอแก้กฎหมาย แต่รัฐสภาไม่ผ่านให้ เท่าที่ทราบเห็นมีนักร้องเขาจะไปร้องกันก็ว่ากันไป ให้เป็นเรื่องนายทะเบียนพรรคการเมือง เราคงไม่ไปยุ่งด้วย  แม้จะอยู่คนละขั้วกันทางการเมืองก็ตาม

น.ส.ลิณธิภรณ์ วริณวัชรโรจน์ รองเลขาธิการพรรค  พท. กล่าวว่า เรื่องเงินบริจาคพรรค พปชร. ทาง กกต.ต้องตรวจสอบเรื่อง 2 สัญชาติในการบริจาคมีผลต่อการรับเงินบริจาคของพรรคการเมืองหรือไม่ เพื่อให้เกิดความกระจ่างต่อสังคม และควรมีการกำหนดระเบียบ ออกข้อบังคับให้สามารถตรวจสอบการบริจาคเงินของพรรคการเมืองเพื่อไม่ให้เกิดการฟอกขาวของเครือข่ายธุรกิจสีเทาในอนาคต

วันเดียวกัน นายโกศลวัฒน์ อินทุจันทร์ยง รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด กล่าวถึงความคืบหน้าคดีจับกุมนักเที่ยวชาวจีนในผับและพบมีการเสพยาเสพติดว่า อัยการได้ฟ้องผู้ต้องหาในความผิดเกี่ยวกับเสพยาเสพติดที่ให้การรับสารภาพไปเเล้ว 7 คน ส่วนคนที่ให้การปฏิเสธ พงส.จะทำสำนวนเต็มรูปแบบเพื่อส่งให้พนักงานอัยการพิจารณาอีกครั้ง โดยในวันนี้ (28 ต.ค.) พงส.แจ้งว่าจะมีการส่งตัวให้พนักงานอัยการฟ้องผู้ต้องหาประมาณ 48 ราย แต่เมื่อถึงเวลามีผู้ต้องหาที่รับสารภาพและสามารถยื่นฟ้องได้จำนวน 34 คน ซึ่งเป็นคนงานต่างด้าวชาวเมียนมาและกัมพูชาที่มาทำงานในผับดังกล่าวโดยไม่มีใบอนุญาต หรือใบอนุญาตขาดอายุ ซึ่งอัยการได้ยื่นฟ้องศาลแขวงพระนครใต้แล้ว ในความผิดฐานเป็นคนต่างด้าวเข้ามาโดยไม่ได้รับอนุญาต  ขณะนี้รอศาลตัดสิน ส่วนคนที่ให้การปฏิเสธพนักงานสอบสวนก็จะดำเนินคดีเต็มรูปเเบบ ในส่วนผู้ต้องหารายอื่นๆ ยังไม่มีรายงานเข้ามา

ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) พล.ต.ต.นิธิธร จินตกานนท์ รอง ผบช.น. กล่าวว่า สำหรับนักท่องเที่ยวจีนถูกตรวจพบสารเสพติดในปัสสาวะทั้ง 104 คน รับสารภาพแค่ 6 คนในชั้นศาล พนักงานสอบสวนจึงต้องทำสำนวนส่งอัยการ โดยจะนำพฤติการณ์ที่ผู้ต้องหาเข้าไปในสถานที่ปิดลับบรรยายประกอบลงในสำนวนให้ศาลพิจารณาด้วย ส่วนรถยนต์หรู 35 คันยังยึดเอาไว้เพื่อรอเจ้าของตัวจริงมาแสดงตัว เพราะตำรวจยังสงสัยถึงการได้มาของรถดังกล่าว จึงต้องให้เจ้าของตัวจริงมาแสดงตัวเพื่อทำการซักถาม ขณะที่ตู้นิรภัยที่ยึดได้มี 2 ใบ ที่ต้องสงสัยว่าอาจใช้เก็บซ่อนสิ่งผิดกฎหมาย ตอนนี้ยังอยู่ในห้องควบคุมของ สน.ยานนาวาระหว่างรอตรวจค้น

พล.ต.ต.นิธิธรกล่าวว่า ขณะนี้ทูตตำรวจจีนมีการประสานงานกับตำรวจไทยอย่างใกล้ชิด โดยได้มีการขอข้อมูลกลุ่มชาวจีนที่ถูกควบคุมตัวทั้งหมดไปตรวจสอบประวัติและพฤติกรรมทั้งหมด เพื่อกำหนดมาตรการควบคุมหลังถูกผลักดันกลับประเทศ โดยที่ผ่านมาทางการจีนมีข้อมูลว่ามีคนของตัวเองเข้ามากระทำธุรกิจผิดกฎหมายในไทย และคอยสอดส่องดูแลเรื่องดังกล่าวกับตำรวจไทยมาตลอด ยืนยันได้แน่นอนว่าจะมีปฏิบัติการลักษณะอีกในเร็วๆ นี้.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง