สูตรไหนป้อมก็‘รัฐบาล’

“เพื่อไทย” หวังศาลรัฐธรรมนูญชี้ทางออกประเทศในการตีความกฎหมายลูก ผวา! หากขัด รธน.ต้องออก  พ.ร.ก.ที่สุ่มเสี่ยง “หมอระวี” วิเคราะห์ยิบ  ชี้หากหาร 100 เพื่อไทยมาแน่ทั้ง ส.ส.เขตและปาร์ตี้ลิสต์ สะกิด 3 ป. หากแตกแยกอาจถึงคราวสูญพันธุ์ ฟันธงไม่ว่าหวยออกทางไหน “ลุงป้อม” ก็เป็นรัฐบาลชัวร์

เมื่อวันอาทิตย์ ยังคงมีการวิเคราะห์วิจารณ์ถึงกรณีศาลรัฐธรรมนูญจะนัดวินิจฉัยร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) ฉบับที่... พ.ศ..... ในวันพุธที่ 30 พ.ย. โดยนายสุทิน คลังแสง ส.ส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย (พท.) ในฐานะประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้าน (วิปฝ่ายค้าน) กล่าวว่า สิ่งที่รัฐสภาดำเนินการไปนั้น พิจารณาเป็นลำดับด้วยความรอบคอบ ตั้งแต่ คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) คณะรัฐมนตรี (ครม.) มาจนถึงรัฐสภา ซึ่งคำวินิจฉัยที่ออกมานั้น เชื่อว่าจะเป็นทางออกของประเทศ เพื่อให้ประเทศเดินหน้าต่อไปได้ แต่หลายส่วนมีความกังวลว่าถ้าคำวินิจฉัยออกมาทางลบก็ต้องไปคิดกันต่อว่าจะแก้ไขที่จุดไหนถึงจะนำไปสู่การเลือกตั้งได้ เช่นกรณีกฎหมายลูกขัดรัฐธรรมนูญ ต้องดูว่าจะแก้ที่กฎหมายลูกหรือที่รัฐธรรมนูญ ซึ่งทั้งสองทางจะมีปัญหาเรื่องเงื่อนเวลาที่อาจไม่เพียงพอต่อกรอบเวลาที่เหลืออยู่ของรัฐบาล

ถามว่า หากที่สุดแล้วต้องออกเป็นพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) ฝ่ายค้านรับได้หรือไม่ นายสุทินกล่าวว่า เรายังไม่มั่นใจว่าการใช้ พ.ร.ก.จัดการเลือกตั้งนั้นจะทำได้และชอบด้วยรัฐธรรมนูญหรือไม่ เพราะไม่เคยมีการทำเช่นนี้มาก่อน คงต้องมีองค์กรใดออกมาชี้เพื่อให้มั่นใจว่าทำได้จริง แล้วค่อยเดินหน้าไปทางนั้น ไม่เช่นนั้นจะมีปัญหาตามมาอย่างแน่นอน

ขณะที่ นพ.ระวี มาศฉมาดล ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคพลังธรรมใหม่ ในฐานะแกนนำสมาชิกรัฐสภาที่ร่วมกันยื่นคำร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยระบุว่า หากสุดท้ายถ้าศาลรัฐธรรมนูญยกคำร้องโดยวินิจฉัยว่าร่าง พ.ร.บ.การเลือกตั้ง ส.ส.ที่ใช้ระบบหาร 100 ไม่ขัดรัฐธรรมนูญ ประเมินว่าพรรค พท.จะมีทั้ง ส.ส.เขตและปาร์ตี้ลิสต์ โดยจะได้คะแนนเสียงมาอันดับหนึ่ง โดยจำนวน ส.ส.จะทิ้งพรรคการเมืองที่ได้เสียงอันดับสองแบบขาดลอย ทำให้ที่บางฝ่ายไปมองว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม จะได้กลับมาเป็นนายกฯ ต่อ ขอมองตรงกันข้าม เพราะมองว่าอาจจะ 50-50 โดยพรรค พท.และพรรคการเมืองที่เป็นแนวร่วมเดียวกันอาจได้เป็นรัฐบาลในสมัยหน้า

“หากใช้หาร 100 ในส่วนของพรรคก้าวไกล (ก.ก.) ยังไงก็จะมี ส.ส.น้อยลง เพราะคะแนนในบัญชีรายชื่อฐานจะอยู่ที่ประมาณ 370,000 คะแนนต่อ ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ 1 คน อีกทั้ง ส.ส.บัญชีรายชื่อเลือกตั้งรอบหน้าก็ลดลงจากตอนเลือกตั้งปี 2562 เพราะตอนนั้นมี ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ 150 คน แต่ครั้งหน้าเหลือ 100 คน” นพ.ระวีวิเคราะห์ 

ฟันธง‘บิ๊กป้อม’เป็นรัฐบาลแน่

หัวหน้าพรรคพลังธรรมใหม่กล่าวอีกว่า ส่วนพลังประชารัฐ (พปชร.) หาก พล.อ.ประยุทธ์กับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และหัวหน้าพรรค พปชร. ยังเหนียวแน่นเหมือนเดิม มองว่าก็มีโอกาส 50-50 ที่จะได้กลับมาเป็นรัฐบาลอีกสมัย แต่หาก 3 ป.แตกกัน โดย พล.อ.ประยุทธ์ไปที่พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) และ พล.อ.ประวิตรอยู่ พปชร. สิ่งที่จะเกิดขึ้นก็คือ ส.ส.ในพรรคก็จะแบ่งกัน โดยหากมองในแง่ดี พรรค พล.อ.ประยุทธ์อาจได้ 50 เสียง พรรค พปชร.ได้มา 50 เสียง ผลคือ พปชร.ก็จะเป็นรัฐบาลแบบเดิม ภายใต้องค์ประกอบคือพรรคการเมืองฝ่ายรัฐบาลปัจจุบันอย่างพรรคภูมิใจไทย (ภท.), พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) และพรรคชาติไทยพัฒนา (ชทพ.) เป็นต้น รวมเสียงกันแล้วมากกว่าพรรค พท. ขั้วนี้ก็เป็นรัฐบาล แต่หากเพลี่ยงพล้ำ คือ พรรค พท.กับแนวร่วมได้ ส.ส.รวมกันแล้วเกือบจะเกิน 250 เสียง อาจเป็นไปได้ที่ พล.อ.ประวิตรจะสวิงไปที่ฝั่งพรรค พท.จนรวมตัวจัดตั้งรัฐบาลร่วม 300 เสียง โดย พล.อ.ประวิตรอาจมีโอกาสเป็นนายกฯ จากการต่อรองตกลงกันอะไรหรือไม่ แต่เชื่อว่า พล.อ.ประวิตรจะเป็นรัฐบาลแน่นอน

นพ.ระวีมองว่า เกมนี้จะเป็นตัวแปรสำคัญที่จะเบรกไม่ให้ ส.ส.และกลุ่มต่างๆ ในพรรค พปชร.ตาม พล.อ.ประวิตรไปที่รวมไทยสร้างชาติ เช่น กลุ่มนายสุชาติ ชมกลิ่น รมว.แรงาน ถึงเวลาจริงๆ จากที่บอกจะมีตามไปด้วยประมาณ 20 คน สุดท้ายแล้วอาจไปกับนายสุชาติแค่ 10 คน ส่วนกลุ่มสามมิตรก็ต้องคิดแล้วว่าจะไป รทสช.กับ พล.อ.ประยุทธ์ ที่ไม่แน่นอนว่าจะเป็นรัฐบาลหรือฝ่ายค้าน หรือจะอยู่กับ พปชร.ต่อ ที่ก็มีโอกาสได้ร่วมจัดตั้งรัฐบาลกับพรรค พท. โดยหากอยู่กับ พล.อ.ประวิตรยังไงก็ได้เป็นรัฐบาลแน่นอน ทำให้สามมิตรก็อาจไม่ไปไหน ก็อยู่กับ พล.อ.ประวิตรดีกว่า เพราะอยู่ด้วยทุนก็ไม่ต้องออก กระสุนมีให้เพียบ เกมจะพลิกทันที ดังนั้นที่บอกจะมีกลุ่มต่างๆ ใน พปชร.อาจแยกตัวออกไปอยู่กับ รทสช.ตามบิ๊กตู่อออกไปด้วย ถึงเวลาจริงๆ ก็อาจไม่ไป เกมอาจพลิกได้ ไม่ใช่ว่ากระแส พล.อ.ประยุทธ์ดีจะตามไปกับ พล.อ.ประยุทธ์ เพราะเหนืออื่นใด ส.ส.ส่วนใหญ่ต้องการอยู่ฝ่ายรัฐบาล

นพ.ระวีกล่าวอีกว่า สุดท้ายหากศาลวินิจฉัยว่าหาร 100 ขัดรัฐธรรมนูญ จนสุดท้ายกระบวนการหาทางออกของรัฐสภากลับมาเป็นว่าให้ใช้หาร 500 และให้มีส.ส.พึงมี ผลที่จะเกิดขึ้นคือ พรรคเพื่อไทย ส.ส.ก็จะหายไปจากเป้าหมายของพรรคอย่างน้อยก็ 25-30 เสียงที่หายไปจาก ส.ส.บัญชีรายชื่อที่ พท.เคยทำได้ ประมาณ 25-30% จากคะแนนในบัตรเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อ แต่ที่หายไปก็จะไปโป่งที่พรรค ก.ก.แทน แต่วันนี้พรรค พท.กับ พล.อ.ประวิตรคงไม่ห่วง เพราะวันนี้ ก.ก.คงไปรอเป็นฝ่ายค้านหลังเลือกตั้งอีกรอบ แต่สิ่งที่ พล.อ.ประวิตรจะได้หากใช้หาร 500 คือพรรค พปชร.ก็จะมี ส.ส.เพิ่มขึ้นมาจาก ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ ที่จะทำให้ พล.อ.ประวิตรมีพลังไปต่อรองกับพรรค พท. หากในอนาคตมีการจับมือกันระหว่างพรรค พท.กับ พล.อ.ประวิตร

“เทียบกันหากใช้หาร 100 ส.ส.เพื่อไทยจะมีมากกว่า พปชร.แบบขาดลอย แต่หากใช้หาร 500 ก็จะทำให้เพื่อไทย ส.ส.หายไปร่วมๆ 30 คน แต่ พปชร.ก็ได้ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์เพิ่มขึ้นมา ขั้นต่ำก็ประมาณ 9-10 คน ทำให้บิ๊กป้อมมีพลังต่อรองในการขอเป็นนายกฯ สมัยหน้า เมื่อไปจับมือกับพรรคเพื่อไทย โดยหากกลับมาใช้ระบบหาร 500 จะทำให้พรรคเล็กรอดชีวิตเข้ามาในสภา อาจประมาณ 7-8 พรรค คงไม่มากเหมือนตอนเลือกตั้งปี 2562 ที่พรรคเล็กเข้ามาร่วมๆ 13 พรรค เพราะเก้าอี้ ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์เหลือแค่ 100 คน” นพ.ระวีกล่าว 

ชี้ 3 ป.แตกคอสูญพันธุ์แน่

นพ.ระวีย้ำว่า อย่างที่เคยบอกไว้ หาก 3 ป.แตกคอกัน ซึ่ง พล.อ.ประวิตรและ พล.อ.ประยุทธ์อาจไม่พอใจตนเอง แต่พูดความจริงก็คือ ถ้าแตกคอกัน 3 ป.สูญพันธุ์ เพราะโอกาสที่พรรคขั้วรัฐบาลตอนนี้จะกลับมาเป็นรัฐบาลหลังเลือกตั้งอีกครั้ง จะเหลือแค่ 40% โดยฝ่ายเพื่อไทยมีโอกาสเป็นรัฐบาล 60% โดยหากเป็นแบบนี้ อนาคตของ พล.อ.ประยุทธ์ที่ไป รทสช.อาจเป็นฝ่ายค้าน แล้วตัว พล.อ.ประวิตรจะมั่นใจได้อย่างไรว่าถึงเวลาจริงๆ พรรค พท.จะยอมให้เป็นนายกฯ ถ้าพรรค พท.มี ส.ส. 200 คน พรรคประชาชาติมา 10 เสียง พรรคเสรีรวมไทยมา 10 และพรรคเพื่อชาติมาสัก 3 คน ส่วนพรรค พปชร.หากได้ ส.ส.มาไม่เยอะพอ พรรค พท.อาจไปดึงชาติพัฒนากล้า (ชพนก.) และพรรค ชทพ.มา ก็อาจได้สัก 275-280 เสียงก็ตั้งรัฐบาลได้แล้ว 

“พล.อ.ประยุทธ์และ พล.อ.ประวิตรทำให้พรรคทหารจากเดิมที่อยู่ได้แค่สมัยเดียวก็หายไปกันหมด แต่ตอนนี้อยู่มาได้หลายปี แต่ท้ายสุดอาจสูญพันธุ์ เพราะหากต้องไปเป็นฝ่ายค้านสักแค่สมัยเดียว  สมัยหน้าหากหวังจะขึ้นมาเป็นรัฐบาลอีกน่าจะยากแล้ว” นพ.ระวีระบุ

ส่วนนายโกวิทย์ พวงงาม ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคพลังท้องถิ่นไท (พทท.) ในฐานะร่วมลงชื่อยื่นตีความ กล่าวว่า เพื่อต้องการให้เกิดความชัดเจนในข้อกฎหมาย จะได้หายข้อข้องใจ  ซึ่งก็ยังไม่รู้ว่าสุดท้ายกติกาเลือกตั้งจะออกมาแบบไหน จะเป็นหาร 100 หรือหาร 500 แต่ไม่ว่าสุดท้ายผลคำวินิจฉัยจะออกมาแบบไหน พรรคยืนยันว่าพร้อมจะเดินหน้าต่อไป เราพร้อมยอมรับทุกกติกาที่จะใช้ เพราะเราทำการเมืองไม่ใช่เพื่อการเลือกตั้งอย่างเดียว แต่การเมืองคือเรื่องของสาธารณะ พรรคการเมืองต้องทำหน้าที่เป็นปากเสียงของประชาชน ทั้งในสภาและนอกสภา

“ในฐานะหัวหน้าพรรคพลังท้องถิ่นไท เราสู้ทุกรูปแบบ เราต้องทำการเมืองให้ไม่ไปตามกระแส ซึ่งกระแสก็อย่างเช่น การคิดว่าจะลงเลือกตั้งต้องมีทุน ต้องมีเงินใช้ในการหาเสียง ซึ่งวิธีแบบนี้เราไม่เอาด้วย แต่ผมอยากทำการเมืองทวนกระแส เช่น เราต้องขายนโยบายกับประชาชน เช่น เรื่องกระจายอำนาจ นโยบายสร้างรายได้ใหม่ให้กับประเทศ ต้องเป็นการเมืองที่ไม่ใช่ธุรกิจการเมืองไปเกี่ยวข้อง” นายโกวิทย์กล่าว

ส่วนนายอุตตม สาวนายน หัวหน้าพรรคสร้างอนาคตไทย (สอท.) กล่าวว่า   ไม่ว่าผลการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญจะออกมาอย่างไร พรรคมีความพร้อม กติกาใดก็ตามจะหาร 100 หรือหาร 500 เราเตรียมตัวต่อเนื่องแล้ว

“เราเตรียมตัวตั้งแต่ยังไม่ชัดเจน เมื่อเป็นหาร 100 เราก็เตรียมตัวเช่นเดียวกัน เพราะฉะนั้นวันที่ 30 พ.ย. ก็รอฟังดูว่าจะเป็นอย่างไร แต่ในส่วนของพรรคเราพร้อมเดินหน้า” นายอุตตมกล่าว.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

'อดิศร' ซัดแรงมีรัฐสภาไปทำพระแสงอะไร จะแก้รัฐธรรมนูญ ยังให้ศาลวินิจฉัยอำนาจประชาชน

นายอดิศร เพียงเกษ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย อภิปรายว่า อำนาจตุลาการ และอำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหาร แยกกันและถ่วงดุลกัน ไม่ใช่คล่อมเลน มีบางครั้งจะยื่นญัตติได้ต้องรอศาลรัฐธรรมนูญ ถามว่าเกิดอะไรขึ้น นั่นฝ่ายตุลาการ แต่เราฝ่ายนิติบัญญัติ เราคิดของเราเองได้