บิ๊กเด่นลั่นคดีตู้ห่าวไม่มีมวยล้ม

"ผบ.ตร." แจงยิบคดีทุนจีนสีเทา เคลียร์ทุกประเด็นที่ "ชูวิทย์" โพสต์แรงเขย่าเก้าอี้ ยันไม่กลัวอิทธิพล ไม่เป็นมวยล้มต้มคนดูแน่ ลุยกำกับเอง พร้อมสั่งต่อไปนี้ให้ ผบช.น.แถลงความคืบหน้าเป็นระยะ "เรืองไกร" ร้อง ป.ป.ช.สอบ ส.ส.เพื่อไทยพัน "ตู้ห่าว" ปชป.หวั่นเม็ดเงินสีเทาไหลเข้าระบบการเลือกตั้ง กลายเป็น "ธนกิจการเมือง" แนะดันวาระชาติแก้ไขด่วน

เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตนักการเมือง โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวเกี่ยวกับนายทุนจีน  พร้อมกับการตั้งข้อสังเกตการออกคำสั่งตั้งคณะพนักงานสืบสวนสอบสวน และการทำงานของตำรวจโดยภาพรวม โดยระบุว่า เรื่องราวมาเฟียทุนจีนสีเทา สะเทือนสังคมไทยอย่างรุนแรงเกือบ 2 เดือนไม่มีแผ่ว กระทบเป็นวงกว้าง เหมือนขยะที่กองสุมอยู่ใต้พรมมานาน เพิ่งจะทราบว่าการจับผับจิงหลินมีเบื้องหลังมากมายได้ถึงขนาดนี้ และความเลวร้ายชักช้าทั้งหลายทั้งปวง เกิดจากผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติเสียเอง

หากทราบเรื่องราวต่อไปนี้ เสมือนประชาชนอย่างตนถูกตบหน้ากลางสี่แยกปทุมวัน เรื่องนี้จำเป็นต้องให้สังคมรู้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล ตำแหน่งรอง ผบ.ตร. ที่ออกหน้าสื่อแถลงข่าว กวาดล้างทุนจีนสีเทา แท้จริงเป็นเพียงโฆษกออกหน้าเวที แต่ไม่มีอำนาจ เหมือนยักษ์ไม่มีกระบอง จาก “คำสั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่ 544/2565 เรื่อง แต่งตั้งคณะพนักงานสืบสวนสอบสวน” จะรู้ซึ้งว่าอะไรคือปัญหาซ่อนเงื่อนที่ทำให้เรื่องราวสลับซับซ้อนเชื่องช้า ผบ.ตร.กลับออกคำสั่งให้พล.ต.อ.สุรเชษฐ์เป็นเพียงผู้ควบคุม กำกับดูแลการสืบสวนสอบสวนเท่านั้น ร่วมกับ พล.ต.ท.ภาณุรัตน์ หลักบุญ ผู้ช่วย ผบ.ตร. แต่ก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ไฮไลต์สำคัญแท้จริงเป็น พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ที่เป็นหัวหน้าพนักงานสืบสวนสอบสวนคดีผับจินหลิง การเป็นหัวหน้าพนักงานสืบสวนสอบสวน ที่มีอำนาจในการอนุมัติแจ้งข้อกล่าวหาได้หมด แต่กลับมีลูกน้องปล่อยตัวผู้ต้องหา หลานนายตู้ห่าวหายเข้ากลีบเฆม แถมรถหรูของกลางหายแวบไปอีก 4 คัน แบบนิ่มๆ หมายจับตู้ห่าวก็ถูกดองไว้ร่วมเดือน กว่าจะออกได้ทุกอย่างล่าช้า         

แม้แต่คำสั่งแต่งตั้งฉบับนี้ กว่าจะออกมาได้ก็ปาไปวันที่ 15 พ.ย.65 ทั้งที่เรื่องเกิดตั้งแต่ 26 ต.ค.65 หมายความว่าก่อนหน้านั้น คดีใหญ่อย่างนี้ให้แค่ระดับ สน.ยานนาวา เจ้าของพื้นที่ที่ปล่อยปละละเลย จัดการกันเอง มิน่าเล่าผู้ต้องหากว่า 200 คน ตรวจเจอฉี่ม่วงในที่เกิดเหตุ 108 คน มาถึงโรงพักเหลือแค่ 77 คน หากตั้ง พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เป็นหัวหน้าพนักงานสอบสวน ตัว ผบ.ตร.นั่นแหละ จะต้องเป็นผู้เซ็นอนุมัติข้อหา เซ็นรับรองสำนวนเสียเองตามกฎหมาย ด้วยอาการกลัวลนลานที่จะต้องรับผิดชอบในภาวะก่อนเกษียณ จึงขอทนแบกหน้ากับตำแหน่ง ผบ.ตร. ให้ถึงเดือน ก.ย.ปีหน้า หากเป็นอย่างนี้ อย่าไปเป็น ผบ.ตร.เลย เล่นออกคำสั่งลิเกลิงหลอกเจ้า ให้คนหนึ่งออกหน้าแอกชัน บู๊ล้างผลาญ แต่ให้อำนาจหัวหน้าพนักงานสืบสวนสอบสวนกับอีกคน ช่างค้านสายตาประชาชน แถมคนเป็นหัวหน้าที่แท้จริงก็ทำตัวหลบๆ ซ่อนๆ เพราะแผลจากลูกน้องเละเทะสะเก็ดเต็มตัวไปหมด การเป็นผู้นำองค์กรต้องกล้าตัดสินใจ กล้ารับผิดชอบ ไม่ใช่ทำตัวเป็นเต่าหัวหดอยู่ในกระดอง อำนาจและหน้าที่ต้องไปควบคู่กัน ไม่งั้นจะไปจัดการกับมาเฟียที่ไหนได้

"โถที่แท้บิ๊กโจ๊กเป็นแค่คนรำมวย แต่คนชกจริงอย่าง “บิ๊กจ้าว” ผบช.น. ดันหลบไปอยู่หลังฉากกับ “บิ๊กเด่น” ผบ.ตร. จนคนดูเข้าใจผิดคิดว่าบิ๊กโจ๊กเป็นฮีโร่ มีอำนาจจัดการเรื่องนี้ ส่วน “อีแอบ” ผู้มีอำนาจที่แท้จริง มัวแต่นั่งเอะอะโวยวาย ด่าลูกน้องจนเข้าหน้าไม่ติด ทำงานไม่ประสีประสา แล้วระดับ ผบ.ตร.ทำอะไรอยู่เล่า? ช่วยออกมาจากหลังฉากเสียที หรือว่ากลัวอิทธิพล “ตู้ห่าว” เสียขนาดนั้น เป็นถึง ผบ.ตร. ยังแยกแยะไม่ได้ว่างานไหนสำคัญกว่ากัน ก็เข้าโปรแกรม “ลาออกก่อนเกษียณ” เสียเลย ดูจะเท่กว่าทำหน้าที่ได้แค่ตัดริบบิ้น เปิดงานอบรม ตัดแต้มจราจร ออกหน้าไปวันๆ" นายชูวิทย์ ระบุ

บิ๊กเด่นแถลงโต้ชูวิทย์

จากนั้นเวลา 15.30 น. ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ชี้แจงกรณีดังกล่าวว่า นายชูวิทย์อาจจะมีการเข้าใจผิดในหลายเรื่องที่อาจจะทำให้ไม่มั่นใจในตำรวจขึ้นมา เริ่มต้นคดีผับจินหลิงเกิดจาก พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (ผบช.น.) ต้องให้เครดิตท่าน เนื่องจากมีการสืบทางลึกมาและได้ใช้กำลังที่ไม่เกี่ยวกับท้องที่ เพื่อไม่ให้ข่าวรั่ว โดยได้เข้าไปดำเนินการเมื่อวันที่ 26 ต.ค.65 สามารถจับกุมผู้ต้องหาได้จำนวนมาก ที่นายชูวิทย์บอกว่าตรวจปัสสาวะเหลือ 6 คน ขอยืนยันว่าไม่เป็นความจริง ทั้งนี้ ได้มีการตรวจสารเสพติดเบื้องต้นเป็นผลบวก  104 คน ซึ่งได้ส่งทั้งหมดไปที่โรงพยาบาล (รพ.) ธัญญารักษ์ เพื่อตรวจยืนยันผล ทาง รพ.ได้ยืนยันผลมา 77 ราย รับสารภาพ 66 ราย ได้ส่งฟ้องศาล ปฏิเสธ 11 ราย โดยมีหนึ่งรายได้ประกันตัวและหลบหนี 1 ซึ่งทั้งหมด 76 รายอยู่ระหว่างการควบคุมตัวของทางการ ส่วนใหญ่ที่เป็นคนจีนต้องรอส่งกลับเมื่อคดีเสร็จสิ้น       

พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์กล่าวว่า ทันทีที่คดีเกิดขึ้น พล.ต.ต.นครินทร์ สุคนธวิท ผบก.น.6. ไม่ได้นิ่งนอนใจ ได้ไปร่วมในที่เกิดเหตุด้วย ได้แต่งตั้งคณะทำงานสืบสวนสอบสวน โดยให้รองผู้บังคับการที่ดูแลด้านสืบสวนสอบสวนนครบาล 6 เป็นหัวหน้าพนักงานฯ ไม่ได้ให้ สน.ยานนาวาทำโดยลำพัง ต่อมาตนเห็นว่าคดีนี้เป็นที่น่าสนใจและเป็นคดีที่อาจจะมีความสำคัญ จึงได้แต่งตั้งคณะทำงานโดยมี ผบช.น. เป็นหัวหน้าคณะทำงานสืบสวนสอบสวน โดยได้เซ็นคำสั่งเอง นอกจากนั้นได้มอบหมายให้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เป็นหัวหน้ากำกับดูแลงานสืบสวนสอบสวนด้วย ซึ่งมีอำนาจเต็มแทนตนได้อยู่แล้ว ซึ่งเรื่องนี้ถ้านายชูวิทย์ไปพูดแล้วทำให้คนอื่นเข้าใจคลาดเคลื่อน ตนจะมากำกับดูแลใกล้ชิดด้วยตนเอง เพื่อจะได้ตัดปัญหาความคลางแคลงใจ และมั่นใจว่าคดีนี้ไม่ใช่เป็นคดีมวยล้มต้มคนดู

 ทั้งนี้ ผบช.น. ในฐานะหัวหน้าพนักงานฯ ได้รายงานความคืบหน้ากับตนเป็นระยะๆ สามารถจับกุมขยายจากคดีเสพมาเป็นคดีครอบครองได้หลายคน ต่อมาได้ดำเนินคดีผู้ต้องหาที่เปิดสถานบริการด้วย จากนั้นขยายผลต่อจนเป็นคดีสมคบเรื่องยาเสพติด ออกหมายจับและอยู่ในความควบคุมตัวของตำรวจ 9 ราย รวมนายตู้ห่าว ซึ่งพยานหลักฐานในตอนนี้เป็นเจ้าของกิจการ ทุกคนยังอยู่ในเรือนจำอยู่            

ผบ.ตร.กล่าวว่า หากถามว่าทำไมยังไม่ดำเนินคดีฟอกเงิน ต้องชี้แจงว่าคดียาเสพติดข้อหาสมคบตาม พ.ร.บ.มาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด เจ้าพนักงาน ป.ป.ส. สามารถยึดและอายัดทรัพย์สินได้ครอบคลุมอยู่แล้วตามประมวลกฎหมายยาเสพติดฉบับใหม่ เมื่อยึดอายัดทรัพย์สินแล้ว

นายตู้ห่าวจะต้องมาแสดงว่าได้ทรัพย์สินมาถูกต้องหรือไม่อย่างไร ส่วนสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ไม่ได้ทิ้ง จะตรวจสอบเรื่องเส้นทางการเงินที่ถ่ายทอดไปยังบุคคลอื่น  โดยทำงานคู่ขนานกันไป

 ส่วนเหตุใดถึงไม่ใช่คดีนอกราชอาณาจักร และอัยการสูงสุดยังไม่เข้ามาควบคุมการสอบสวนนั้น คดีนี้จากพยานหลักฐานยังเป็นคดีในราชอาณาจักร เราได้ขอความร่วมมือไปทางสำนักงานอัยการ คดียาเสพติดเป็นการประสานงานให้ส่วนราชการต้องหารืออยู่แล้ว เพราะต้องส่งสำนวนคดีทั้งหมดให้พนักงานอัยการพิจารณาดำเนินคดี ซึ่งเป็นไปตามนโยบายที่ตนให้ไว้ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. 65 ทั้งเรื่องยาเสพติดต่างๆ ไม่ใช่จะดูที่รายนี้เพียงรายเดียว จะดูทุกมิติ ในการป้องกันปราบปรามยาเสพติด ทางนายกรัฐมนตรีได้กำชับคดีจินหลิง ทุนจีน ให้ทำงานตรงไปตรงมา พร้อมนำหนองบัวลำภูโมเดล ทำไปพร้อมๆ กันทั่วประเทศ เพื่อให้เกิดความมั่นใจ ซึ่งเดือนหน้าจะสำรวจความพึงพอใจของประชาชนจำนวน 1 ล้านกลุ่มตัวอย่าง เพื่อให้เห็นภาพว่าขณะนี้ชาวบ้านมองปัญหายาเสพติดว่าเจ้าหน้าที่ของรัฐแก้ไขปัญหาเป็นอย่างไร โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ตำรวจ

ลุยกำกับดูแลคดีเอง

 “เราทำอย่างตรงไปตรงมา ผมขอยืนยันให้มั่นใจได้ และขอบอกนายชูวิทย์ว่า ถ้าท่านต้องการที่จะให้ข้อมูล ผมยินดี ท่านจะนำมาให้ผมโดยตรง หรือจะไปคุยหารือกับ ผบช.น.ก็ได้ ถ้าท่านสบายใจ หรือจะรอง ผบ.ตร. ทั้ง พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ และ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ก็ได้ แต่ผมยินดีท่านติดต่อผมได้โดยตรงได้ ผมยินดีจะรับข้อมูล ตอนนี้ผมก็ดูแลอย่างใกล้ชิด” พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์กล่าวยืนยัน

 เมื่อถามถึงกระบวนการแจ้งข้อหาฟอกเงินจะล่าช้าหรือไม่ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กล่าวว่า คดีนี้เริ่มต้นจากคดีเสพ เมื่อวันที่ 26 ต.ค.65 โดยได้ขอออกหมายจับช่วงประมาณวันที่ 22-23 พ.ย. ใช้เวลาเพียง 1-2 สัปดาห์ เรียนตรงๆ ว่า ผบช.น.คนนี้มีบุคลิกเงียบ ไม่ชอบให้ข่าว แต่ตนได้สั่งการแล้วว่าต่อไปขอให้รายงานความคืบหน้าทางคดีให้กับสื่อมวลชนได้รับทราบผ่านไปยังประชาชน เพื่อจะได้ให้เกิดความสบายใจว่า ตำรวจทำงานอย่างตรงไปตรงมา และมีความคืบหน้าอย่างต่อเนื่อง ประเด็นใดที่มีความสงสัยฝากแนะนำมาจะไปสอบปากคำให้ครบจนเสร็จสิ้นกระบวนข้อสงสัยต่างๆ ตนในฐานะ ผบ.ตร. ไม่ได้มีเพียงคดีเดียว ตอนนี้โฟกัสไปที่ภาพรวมของการแก้ไขปัญหายาเสพติดในมิติของการป้องกันปราบปรามและบำบัด ไม่ใช่ไม่ให้ความสำคัญ ทาง พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ และ พล.ต.ท.ธิติ ได้รายงานความคืบหน้ามาโดยตลอด แต่ต่อไปนี้เพื่อความสบายใจ ตนจะเข้ามากำกับดูแลให้ใกล้ชิด และหากมีข่าวก็อาจจะพูดเอง หรือมอบให้คนอื่นพูดบ้าง

 เมื่อถามว่า นายชูวิทย์ตั้งคำถามว่าเกรงกลัวอิทธิพลของนายตู้ห่าวหรือไม่นั้น ผบ.ตร.กล่าวว่า เห็นนายชูวิทย์ไว้ใจรองผบ.ตร.ทั้ง 2 คน คิดว่าเพียงพอแล้ว แต่ตอนนี้เรียกร้องต้องการให้ตนลงมา ตนจะลงมาเพื่อให้เกิดความสบายใจ ส่วนที่นายชูวิทย์ระบุว่า พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ไม่มีอำนาจ เปรียบเหมือนยักษ์ไม่มีกระบองนั้น ไม่เป็นความจริง ทุกคดีทั่วประเทศ รอง ผบ.ตร.ที่รับผิดชอบงานสืบสวนสอบสวนทำแทน ผบ.ตร.ได้อยู่แล้ว คดีนี้ถือเป็นคดีแรกด้วยซ้ำของนครบาลที่ตนยกระดับให้ ผบช.น.เป็นหัวหน้าพนักงานสืบสวนสอบสวน อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้นายกฯ ได้กำชับสั่งการมาให้ทำงานอย่างตรงไปตรงมา และรอบคอบ รวดเร็ว ซึ่งคงไม่มีอิทธิพลใดๆ ที่เข้ามายุ่งเกี่ยวได้อยู่แล้ว ขอยืนยัน

ทางด้านนายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ อดีตสมาชิกพรรคพลังประชารัฐ เปิดเผยว่า ได้ส่งหนังสือถึงคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เพื่อขอให้ตรวจสอบการถือครองหุ้นบริษัท เอฟเวอร์ ยูเนียน จำกัด ของ ส.ส.พรรคเพื่อไทยรายหนึ่ง (ในนามคู่สมรส) นั้น จากการขอสำเนาเอกสารบริษัทดังกล่าวจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้ามาตรวจสอบเพิ่มเติม พบข้อพิรุธพอสมควร ทั้งการเข้าชื่อจองซื้อหุ้น รายชื่อผู้ก่อตั้งบริษัท การจ่ายชำระค่าหุ้นเป็นเงินสด 20 ล้านบาท และการเปลี่ยนแปลงรายชื่อผู้ถือหุ้น ที่มีความสับสนในเลขหมายของใบหุ้นของนายหาว เจ๋อ ตู้ ที่สลับกันไปมา ซึ่งอาจมีการแจ้งข้อมูลต่อกรม ไม่ตรงกับความเป็นจริงในหลายจุด  จึงมีเหตุที่ควรส่งสำเนาเอกสารที่ขอมาเพิ่มเติมให้ ป.ป.ช. นำไปตรวจสอบกับกรม และบุคคลของบริษัท เอฟเวอร์ฯ ที่เป็นผู้ลงนามในเอกสารต่างๆ ต่อไปว่ามีการแจ้งข้อมูลเท็จหรือไม่

วันเดียวกัน คณะกรรมการยุทธศาสตร์ กทม. พรรคประชาธิปัตย์จัดเสวนา "เบื้องลึกทุนจีนสีเทา ตู้ห่าว" โดย น.ส.วทันยา บุนนาค ประธานคณะทำงานนวัตกรรมการเมืองกรุงเทพมหานคร พรรคประชาธิปัตย์ ได้ตั้งคำถามต่อกรณีธุรกิจทุนจีนสีเทาว่า ทำไมตู้ห่าวจึงสามารถทำธุรกิจสีเทาและขยับขยายเครือข่ายอย่างกว้างขวางได้ในประเทศไทย ผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมืองมีส่วนเกี่ยวข้องหรือไม่อย่างไร และมีอิทธิพลต่อการเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึงจนกลายเป็นธนกิจการเมือง ซึ่งเชื่อมโยงอยู่กับธุรกิจผิดกฎหมาย เม็ดเงินจากทุนจีนสีเทาจะไหลเข้าสู่การเลือกตั้งหรือไม่ จึงเชิญชวนทุกภาคส่วนร่วมกันค้นหาเบื้องลึกเบื้องหลังเพื่อป้องกันไม่ให้ทำลายประเทศไทย

น.ส.ศิริภา อินทวิเชียร รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ เรียกร้องให้รัฐบาลตั้งเป็นวาระแห่งชาติ แก้ปัญหาเรื่องนี้โดยด่วน.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง