ฟ้องกันนัว! ศาลอนุญาตผัดฟ้องคดีสาวคนสนิท-ครอบครัว ฉ้อโกงอดีตรองนายกฯ "ย." ขณะที่ "ทนายษิทรา" โต้หวังคิดเอาทรัพย์คืน มั่นใจลูกความมีหลักฐานครบ จ่อฟ้องกลับแจ้งความเท็จ แย้มมีเซอร์ไพรส์แฉอีก
เมื่อวันที่ 11 มกราคม ที่ศาลอาญาตลิ่งชัน ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันที่ 10 ม.ค. ที่ผ่านมา พนักงานสอบสวน สน.บางยี่ขัน นำคำร้องขอผัดฟ้องคดีที่พนักงานสอบสวนมีความเห็นสมควรสั่งฟ้อง นาง ธ. นาย จ. กับนาย ก. และนาง ข. (มารดาและบิดาของนาง ธ.) เป็นผู้ต้องหาที่ 1-4 ตามลำดับ ในความผิดฐานร่วมกันฉ้อโกงอันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 341 ประกอบ 83 มายื่นต่อศาล
คำร้องผัดฟ้องระบุพฤติการณ์สรุปว่า นาย ย. นามสมมุติ (อดีตรองนายกรัฐมนตรี) ผู้กล่าวหา ได้ให้การว่าก่อนเกิดเหตุ รู้จักกับนาง ธ. ผู้ต้องหาที่ 1 และคบหากัน จากนั้นได้มอบทรัพย์สินให้จำนวนมาก โดยผู้ต้องหาที่ 3 และที่ 4 (บิดามารดานาง ธ.) ร่วมกันหลอกลวงผู้กล่าวหา เมื่อได้ทรัพย์สินไปแล้วผู้ต้องหาทั้งหมดก็หลบหน้าผู้กล่าวหาไป ไม่สามารถติดต่อได้ ต่อมาเมื่อตรวจสอบภายหลังพบว่านาย จ. ผู้ต้องหาที่ 2 ได้จดทะเบียนสมรสและอยู่กินกับผู้ต้องหาที่ 1 อยู่ และทรัพย์สินที่ผู้กล่าวหามอบให้ทั้งหมดก็อยู่กับผู้ต้องหาที่ 1-4 หลังรับคำร้องทุกข์ พนักงานสอบสวนได้ออกหมายเรียกผู้ต้องหาทั้ง 4 และผู้ต้องหาที่ 1-3 มาพบพนักงานสอบสวนตามหมายเรียก ส่วนผู้ต้องหาที่ 4 ได้รับหมายเรียกแล้วแต่หลบหนีไป จึงขออนุญาตศาลออกหมายจับ ซึ่งศาลได้ไต่สวนคำร้องเเล้วอนุญาตออกหมายจับผู้ต้องหาที่ 4
โดยพนักงานสอบสวนหมายเรียกผู้ต้องหามาเพื่อยื่นฟ้องต่อพนักงานอัยการสำนักงานคดีอาญาตลิ่งชัน โดยผู้ต้องหาที่ 1-3 เดินทางมาศาล พร้อมให้การปฏิเสธตามขั้นตอน จึงต้องยื่นผัดฟ้องต่อศาล ศาลพิจารณาเเล้วอนุญาตให้ผัดฟ้อง มีกำหนด 6 วัน ตั้งเเต่วันที่ 10-15 ม.ค.65 ส่วนผู้ต้องหาที่ 4 ไม่มาศาล พนักงานสอบสวนยื่นคำร้องขอศาลออกหมายจับ ศาลพิจารณาเเล้วอนุญาตออกหมายจับผู้ต้องหาที่ 4 ผู้ต้องหาที่ 1-3 ให้การปฏิเสธ เเละได้ประกันตัวในชั้นพนักงานสอบสวน พนักงานสอบสวนจึงนำตัวผู้ต้องหาที่ 1- 3 มายื่นผัดฟ้องมีกำหนด 6 วัน ตั้งแต่ 10 ถึง 15 ม.ค.นี้ (โทษคดีศาลเเขวงไม่เกิน 3 ปีผัดฟ้องได้ 5 ครั้ง ครั้งละ 6 วัน) ศาลพิจารณาเเล้วอนุญาตผัดฟ้อง จากนั้นพนักงานสอบสวนนำสำนวนพร้อมความเห็นสมควรสั่งฟ้องต่อพนักงานอัยการสำนักงานคดีอาญาตลิ่งชันเพื่อพิจารณามีคำสั่งต่อไป
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับคดีนี้ผู้เสียหายเป็นนาย ย. อดีตรองนายกฯ ที่ถูกนาย จ. ผู้ต้องหาที่ 2 ในคดีนี้ไปร้องเรียนทนายชื่อดัง และฟ้องคดีต่อศาลกล่าวหาว่านาย ย. ไปเป็นชู้กับภรรยา พร้อมนำเรื่องมาเผยแพร่ในโลกออนไลน์ และแถลงต่อสื่อมวลชนตามที่ปรากฏเป็นข่าวดังก่อนหน้านี้
ทางด้านนายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ ทนายตั้ม กล่าวถึงคดีดังกล่าวว่า ข่าวที่ตำรวจ สน.บางยี่ขันได้ขออนุมัติศาลอาญาตลิ่งชันออกหมายจับผู้ถูกกล่าวหาฝ่ายหญิงและครอบครัว ในข้อหาร่วมกันฉ้อโกงเพื่อเรียกสินสอดคืนจากหญิงสาวและครอบครัว กรณีนี้ ทั้งสามีที่เป็นลูกความตนเอง รวมถึงภรรยากับแม่ ได้ไปให้การกับตำรวจแล้ว แต่คนพ่อไม่ได้ไปให้การ เพราะมีหมายจับคดีเช็กติดตัวอยู่ หากไปพบตำรวจก็โดนจับได้ทันที ซึ่งการแจ้งความดังกล่าวนั้นเป็นความต้องการที่อดีตรองนายกฯ อยากให้ภาพปรากฏบนสื่อตามนี้
นายษิทรากล่าวว่า ภายหลังคดีสั่งฟ้องในวัน 13 มกราคมนี้ จะทำหนังสือร้องขอความเป็นธรรมให้กับสามีที่เป็นลูกความ โดยให้อดีตรองนายกฯ มาให้การด้วยว่าเคยรู้จักหรือพบกับลูกความตนหรือไม่ ส่วนกรณีที่อ้างว่าถูกหลอกเอาทรัพย์สินไป 7 รายการนั้น ขณะเกิดเหตุมีใครอยู่บ้าง พ่อแม่และลูกความตนเกี่ยวข้องอย่างไร ต่อมาคือข้ออ้างเรื่องการสู่ขอฝ่ายหญิงนั้น อดีตรองนายกฯ ไปกับใคร มีสักขีพยานและหลักฐานขณะทำพิธีหรือไม่ ท้ายสุดคือทรัพย์สินมูลค่ากว่า 20 ล้านบาทนั้น นำไปให้ฝ่ายหญิงเมื่อใด ลูกความตนอยู่ด้วยหรือไม่
"กรณีทำพิธีสู่ขอนั้น ต้องมีภาพหลักฐาน แต่ส่วนตัวเชื่อว่าไม่มี เป็นการสร้างเรื่องเพื่อหาเหตุเอาเงินคืน ตำรวจจึงต้องไปสืบหาเส้นทางการเงิน 20 ล้านบาทที่อ้างว่าให้ฝ่ายหญิงไปด้วย และตนตั้งข้อสังเกตว่าหากอดีตรองนายกฯ รู้ว่าตัวเองโดนหลอก เหตุใดถึงไม่มาให้ข่าวแต่แรก กลับรอให้มีภาพหลุดมาก่อน นอกจากนี้ หลังการแถลงข่าวครั้งแรก ยังมีผู้ประสานมาหาผมว่าต้องการให้จบเรื่องนี้ด้วย" นายษิทราระบุ
ทนายษิทรากล่าวด้วยว่า ยังเชื่อมั่นในลูกความตัวเอง เพราะมีหลักฐานชัดเจนทั้งหมด จากนี้เตรียมดำเนินคดีกลับรองนายกฯ ฐานแจ้งความเท็จ รวมถึงผู้เกี่ยวข้อง พร้อมจะให้การช่วยเหลือลูกความตนในคดีฉ้อโกงที่ถูกแจ้งความ เรื่องนี้ไม่ใช่กระบวนการตบทรัพย์ เพราะมีการฟ้องร้องตั้งแต่แรก หากเป็นการตบทรัพย์ ต้องมีการต่อรองเพื่อไม่ให้เป็นข่าว ซึ่งฝั่งตนฟ้องร้องอย่างเงียบๆ มาตลอด กระทั่งเป็นห่วงเรื่องความปลอดภัย จึงต้องออกมาเป็นข่าว เนื่องจากฝ่ายสามีซึ่งเป็นนักธุรกิจถูกคุกคามจนต้องย้ายที่อยู่ไปเรื่อย ซึ่งสามี ลูกความตนไม่มีลูกกับภรรยา คู่กรณี ตอนนี้ได้แยกกันอยู่ ส่วนขั้นตอนการฟ้องหย่ากำลังดำเนินการ
ต่อมานายษิทรายังโพสต์เฟซบุ๊กว่า "เรื่องนี้ชักสนุก ใครกันแน่ทำเป็นขบวนการ คดีนี้มีการอ้างว่าอดีตรองนายกฯ รักจริง มีผูกข้อไม้ข้อมือ และเอาสินสอดของหมั้นให้ฝ่ายหญิง ถ้าจะเรียกคืน ตามกฎหมายมันไม่ได้อยู่แล้ว เพราะอดีตรองนายกฯ รู้อยู่เต็มอกว่าตัวเองมีภรรยาที่จดทะเบียนสมรสอยู่ จะไปหมั้นกับผู้หญิงอื่นได้ยังไง และที่สำคัญการทำพิธีผูกข้อไม้ข้อมือ มีญาติผู้ใหญ่ฝ่ายไหนไปบ้างครับ มีรูปหลักฐานซักรูปหรือเปล่า หรือเป็นแค่ข้ออ้างลอยๆ เพื่อแก้เกมไปวันๆ ส่วนการจะอ้างว่าไม่รู้ว่าผู้หญิงมีสามีแล้ว คนระดับนี้ก่อนจะทำพิธีจะไม่เช็กกันเลยเหรอ หรือรู้อยู่เต็มอกแต่ไม่สนใจ แค่นั้นเอง ติดตามให้ดีนะครับ พรุ่งนี้มีเซอร์ไพรส์".
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
เร่งตั้ง‘สสร.’ให้ทันปี70
รัฐสภาจัดงานวันรัฐธรรมนูญคึกคัก แต่พรรคประชาชนเมินเข้าร่วม
อาลัย‘สันติ’ นักร้องปลุกใจ เพลงรักชาติ
อาลัย "สันติ ลุนเผ่" ศิลปินแห่งชาติ ถึงแก่กรรมด้วยวัย 88 ปี
‘ในหลวง’เสด็จฯเปิดสวนเปรมประชาวนารักษ์
"ในหลวง-พระราชินี" เสด็จฯ ทางชลมารค ทรงเปิดสวนเฉลิมพระเกียรติ
พท.ถอยยึดกองทัพ ถอนกม.ผวาสุดซอยสังคมแตกแยก
"วันนอร์" อยากเห็นบทบัญญัติลงโทษผู้กระทำรัฐประหาร ชี้ทำได้จริง
90วันผลงานอื้อ โวปีทองของไทย ‘อิ๊งค์’กั๊กแจงสภา
รัฐบาลเตรียมแถลงใหญ่ผลงาน 90 วัน โว “2568 โอกาสไทย
แบะท่า‘ปู’ตามรอยแม้ว ลากไส้อบจ.ทุจริตเพียบ
คืบหน้าคดีนักโทษเทวดาชั้น 14 จ่อชงเข้าที่ประชุมใหญ่ ป.ป.ช. เลขาฯ ป.ป.ช.ยันมีอำนาจรีดเอกสารทุกหน่วยงาน