‘ป้อม-หนู’พวกกัน โชว์มื้อเที่ยงชื่นมื่น/กกต.เคาะ400เขตเลือกตั้ง

เมื่อวันที่ 15 มี.ค. พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) โพสต์เฟซบุ๊ก "พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ" หัวข้อ "บทสรุปสู่ก้าวข้ามความขัดแย้ง” ระบุว่า ทีมงานได้วิเคราะห์ให้ผมฟังว่าจดหมายทั้ง 5 ฉบับ ไม่มีใครโต้แย้งในสาระสำคัญในเรื่องของเนื้อหา จากสื่อและสังคม แต่ก็มีสื่อบางท่านตั้งคำถามว่าจะทำได้หรือไม่ ซึ่งนั่นก็แปลว่าหากทำได้ก็จะเป็นผลดีต่อประเทศ สื่อบางท่านบ่นว่า ยาวไปหน่อย ก็ต้องตอบว่าสังคมโดยทั่วไป มีทั้งผู้เข้าใจและไม่เข้าใจ รวมทั้งสื่อเองก็อาจจะมีความเข้าใจแตกต่างกัน ระหว่างสื่อที่ทำข่าวการเมืองกับสื่อเศรษฐกิจหรือสื่อกีฬา ทีมงานจึงต้องระมัดระวังเป็นที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งสังคมโดยทั่วไป

ด้วยเหตุนี้ทีมงานจึงขอให้ผมใช้วิธีการสื่อสารด้วย Facebook จะอธิบายได้ดีกว่า ชัดเจนกว่า เพราะหากผมทำในสิ่งที่ผมไม่ถนัด คือการให้สัมภาษณ์ ซึ่งผมเป็นคนพูดไม่เก่งอยู่แล้ว อาจจะถูกตีความหมายผิดไปจากที่ผมต้องการสื่อสาร และจะต้องมาตามแก้ไขในภายหลัง ซึ่งไม่เป็นผลดีแต่อย่างใดสำหรับการเมือง และสำหรับความคิดของผมที่ต้องการให้บ้านเมืองเดินไปข้างหน้า

จดหมายฉบับนี้ จั่วหัวว่าเป็นบทสรุปสู่ “ก้าวข้ามความขัดแย้ง” ซึ่งผมได้อธิบายไปแล้ว ในหลายฉบับที่ผ่านมาว่าปัญหาความไม่เข้าใจในเรื่องของแนวคิดของฝ่าย “อนุรักษนิยม” กับ “ฝ่ายประชาธิปไตยเสรีนิยม” มีมาอย่างยาวนาน แล้วก็ยังวนเวียนอยู่ในสังคมไทยในปัจจุบัน นอกจากนี้ยังมีเรื่องความไม่เข้าใจในเรื่องที่มาของปัญหาว่าเกิดมาจากอะไร ทีมงานจึงถือโอกาสนี้อธิบายให้เข้าใจ  

พล.อ.ประวิตรระบุช่วงหนึ่งว่า นโยบายในการบริหารประเทศของแต่ละพรรค การเมืองที่ต่างก็กำลังเสนอออกมาในขณะนี้ นับได้ว่าเป็นนโยบายที่ดีเพราะกลั่นกรอง มาจากบุคลากรชั้นนำของแต่ละพรรค แต่เป็นที่น่าเสียดายหากนโยบายเหล่านั้นจะไม่ได้รับการนำไปใช้ เพราะต้องไปเป็นฝ่ายตรงข้ามกับรัฐบาล

"ผมตั้งใจว่าเมื่อพรรคผมเป็นรัฐบาล  ผมจะตั้งคณะกรรมการพิจารณาคัดเลือก นำนโยบายดีๆ ของทุกพรรค ที่ใช้ในการรณรงค์หาเสียง เอามาทำและปฏิบัติให้เกิดขึ้นได้จริง โดยไม่ได้มีความรังเกียจหรือแบ่งแยก หากนโยบายเหล่านั้นเป็นประโยชน์ต่อพี่น้องประชาชน เพื่อให้ประเทศชาติเดินหน้าไปได้ นี่คือการเมืองที่อยู่ในใจผม การเมืองที่ไม่ต้องมี ผู้ชนะเด็ดขาด ไม่มีฝ่ายใดต้องแพ้ราบคาบ ทุกคนทุกฝ่ายต้องตระหนักถึงความจำเป็นเร่งด่วนที่จะต้องช่วยกัน ร่วมมือกันฟื้นฟู และพัฒนาประเทศให้เดินไปข้างหน้าอย่างเท่าทันความเปลี่ยนแปลงของโลก ผมขอยืนยันอีกครั้งหนึ่งว่า ผมพูดไม่เก่ง แต่ผมมีหัวใจ หัวใจที่ใหญ่พอจะยอมรับความแตกต่างทางความคิด เพื่อนำพาให้ก้าวข้ามความขัดแย้ง” พล.อ.ประวิตรระบุ

หัวหน้าพรรค พปชร.ระบุว่า วิธีที่ผมคิดไว้คือให้ความเคารพอย่างแท้จริงต่อประชาชนเสียงส่วนใหญ่ ด้วยความเชื่อมั่นว่าประเทศจะเดินหน้าไปได้ด้วยการปกครองโดยระบอบประชาธิปไตยเท่านั้น เพียงแต่ว่าเป็นประชาธิปไตยที่เปิดกว้างให้คนทุกกลุ่มเข้ามาร่วมมีบทบาท เคารพในเสียงส่วนใหญ่ แต่เปิดใจรับฟังเสียงส่วนน้อยที่มีความรู้ ความสามารถด้วยเจตนาดีต่อความเป็นไปของประเทศ

"ที่ผมอยากจะย้ำคือ ขอให้เชื่อผม เหมือนที่ผมเชื่อตัวเองว่า ผมทำได้ เพราะหัวใจผมใหญ่พอ มาก้าวข้ามความขัดแย้งไปด้วยกัน เราจะอยู่กับความเห็นต่างที่มีมากด้วยความเห็นชอบ ไม่ใช่เห็นชอบกับสิ่งที่ตนเองคิด และจะคอยรับฟังการรายงานข้อสรุป ที่เป็นประโยชน์ โดยมีหลักคิดอยู่ในใจว่า ปัจจุบันคือแก้ไขอดีตที่ล้มเหลว เพื่อนำไปสู่อนาคตที่ดีกว่า" หัวหน้าพรรค พปชร.ระบุ

'ป้อม-หนู'กินข้าวชื่นมื่น

ที่มูลนิธิอนุรักษ์ป่ารอยต่อ 5 จังหวัด เวลา 12.00 น. นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.สาธารณสุข ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย (ภท.), นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม ในฐานะเลขาธิการพรรค ภท. พร้อมด้วยนายชาดา ไทยเศรษฐ์ ส.ส.จังหวัดอุทัยธานี ในฐานะรองหัวหน้าพรรค ภท. เข้าพบและร่วมรับประทานอาหารกลางวันกับ พล.อ.ประวิตร

มีรายงานว่า บรรยากาศการรับประทานอาหารเป็นไปอย่างชื่นมื่น แม้ครม.เพิ่งจะถอนเรื่องรถไฟฟ้าสายสีส้มเข้า ครม. เมื่อวันที่ 14  มี.ค.ที่ผ่านมา หลังจากพรรคพลังประชารัฐและพรรคภูมิใจไทยเป็นผู้เสนอเรื่องเข้าสู่ที่ประชุม  กระทั่งนายกฯ สั่งให้ถอนวาระดังกล่าวออกไป  

"ภายในวงอาหารมีการวิเคราะห์สถานการณ์การเมืองที่เกิดขึ้นทั้งก่อนและหลังเลือกตั้ง อาจมีการเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะเรื่องขั้วใหม่ทางการเมือง รวมถึงนายกฯ คนต่อไปจะเป็นใคร ที่จะต้องประเมินหลังเลือกตั้งอีกครั้ง" แหล่งข่าวระบุ

จากนั้นเวลา 15.30 น. พล.อ.ประวิตรเดินทางมาที่พรรค พปชร. โดยผู้สื่อข่าวถามถึงการไปรับประทานอาหารกลางวันร่วมกับนายอนุทิน และแกนนำพรรค ภท. พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า ทานข้าวพูดคุยกันปกติ ไม่ได้คุยเรื่องการเมือง ส่วนที่กินข้าวกับนายอนุทิน เมื่อกินข้าวด้วยกันก็เป็นพวกเดียวกันอยู่แล้ว ก่อนย้อนถามสื่อว่า ทำไม กินไม่ได้หรือ

เมื่อถามว่า ได้แลกเปลี่ยนความเห็นกันหรือไม่ พล.อ.ประวิตรกล่าวย้ำว่า คุยกันกินข้าวอยู่ด้วยกัน ซักว่ามีข้อสังเกตว่าการไปพูดคุยกันอาจจะเป็นขั้วการเมืองใหม่ระหว่างพรรค พปชร.กับ ภท. พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า “ไม่รู้ คุณคิดเองทั้งนั้น พอถามอีกว่ามีนัดหมายที่จะพูดคุยและรับประทานข้าวร่วมกับพรรคการเมืองอื่นอีกหรือไม่ พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า กิน

ต่อมา พล.อ.ประวิตรเข้าร่วมแถลงข่าวเปิดตัวทีมเศรษฐกิจของพรรค จำนวน 2  คน ได้แก่ นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีต รมว.การคลัง และ ม.ล.กรกสิวัฒน์ เกษมศรี นักวิชาการอิสระด้านพลังงาน ซึ่งระหว่างเดินมาที่จุดเปิดตัว พล.อ.ประวิตรทักนายสันติ พร้อมพัฒน์ รมช.การคลัง ในฐานะเลขาธิการพรรคว่า “ทำไมไม่ไปกินข้าวผม ลืมรึ ที่ไปกินกับภูมิใจไทย” ซึ่งนายสันติได้แต่ยิ้มรับโดยไม่ตอบ

พล.อ.ประวิตรแถลงเปิดตัวสมาชิกพรรค พปชร. 2 รายใหม่ว่า มีความยินดีที่ได้ทีมเศรษฐกิจทั้ง 2 ท่าน ที่มีความสามารถทั้งด้านเศรษฐกิจและพลังงาน ที่พร้อมทำงานเพื่อพรรค และนำประโยชน์มาสู่ประชาชนเป็นสำคัญ ต้องขอบคุณที่มาร่วมทำงาน พรรคยินดีต้อนรับทั้ง 2 ท่านเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งตอนนี้ทุกคนคงเห็นแล้วว่าเรามีทีมเศรษฐกิจเพียงพอแล้ว เราพร้อมแก้ปัญหาให้บ้านเมือง ให้ประชาชนให้สามารถอยู่ดีกินได้ และยกระดับความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นได้ ฝากสื่อมวลชนช่วยบอกเพื่อนฝูงว่าพรรคเรามีทีมเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง พร้อมทำงานเพื่อประเทศชาติและประชาชน

"ที่บอกว่าพรรคไม่มีทีมเศรษฐกิจ ก็เห็นแล้วว่าเรามีเยอะ และพร้อมจะแก้ปัญหาให้บ้านเมืองและประชาชน  สามารถทำให้ประชาชนอยู่ดีกินดีตามที่ผมพูดไว้ได้ และยกระดับความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นได้ ฉะนั้นฝากสื่อให้ไปบอกเพื่อนว่าพรรค พปชร.มีทีมศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง ที่พร้อมทำงานให้บ้านเมืองและประเทศชาติ และทั้งสองคนพร้อมร่วมกันทำงาน" พล.อ.ประวิตรกล่าว

'สมศักดิ์'รับฟ้าดินเปลี่ยน

ถามว่าจะมีนโยบายเศรษฐกิจอะไร ออกมาอีกหรือไม่ พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า ให้ออกมาก่อนแล้วค่อยถาม เรื่องเศรษฐกิจ เมื่อมีแล้วเดี๋ยวออกมาเอง ซึ่งพรรคมีทีมงานที่จะทำงานด้านเศรษฐกิจเยอะแยะ เพราะทำคนเดียวไม่ได้ โดยนโยบายจะทยอยออกมาเรื่อยๆ

ซักว่า วางบทบาทของทั้งสองคนในการทำงานร่วมกับนายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ คณะทำงานเศรษฐกิจของพรรคในเรื่องเกี่ยวกับพลังงานไว้อย่างไร พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า เขาไม่มีอะไร ทำงานร่วมกันได้ ไม่มีปัญหา เพราะมีความรู้ด้วยกันทั้งคู่ ต้องมาคุยกันว่าจะทำอย่างไร และจะได้ออกมาเป็นโยบายด้านพลังงาน รับรองว่าดีแน่นอน

ขณะที่นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.ยุติธรรม กล่าวว่า ขณะนี้รัฐบาลกำลังจะหมดวาระ ซึ่งตนก็คงจะไปอยู่พรรคใหม่ แต่นโยบายต่างๆ ที่ตนให้ไว้ก็คงจะดำเนินต่อไป แต่จะไปพรรคไหนนั้น ในวันที่ 17 มี.ค.นี้ เวลา 14.00 น. จะจัดแถลงข่าวให้ทราบอีกครั้ง เพราะวันนี้ ดิน ฟ้า อากาศเปลี่ยน เราก็ต้องดำเนินการให้เข้ากับสภาพอากาศ โดยก็ขอให้ทุกท่านรอติดตาม

ถามว่าจะย้ายเข้าพรรคเพื่อไทย (พท.) ใช่หรือไม่ นายสมศักดิ์กล่าวว่า ปลายสัปดาห์นี้จะมีความชัดเจน เพราะถ้าจะขยับตัวก็คงต้องทำความชัดเจนให้ทราบ

มีรายงานว่า นายสุริยะและนายสมศักดิ์เตรียมจะยื่นใบลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรี รวมถึงลาออกจาก ส.ส.และสมาชิกพรรค พปชร. ซึ่งเป็นการทำตามมารยาททางการเมือง เนื่องจากจะย้ายไปอยู่กับพรรคเพื่อไทยซึ่งอยู่ฝ่ายค้านตรงข้ามกับรัฐบาล รวมทั้งยังมี ส.ส.ในกลุ่มสามมิตรที่ยังอยู่ใน พปชร. อย่าง น.ส.พรรณสิริ กุลนาถศิริ ส.ส.สุโขทัย น้องสาวของนายสมศักดิ์ และนายพงศ์กวิน จึงรุ่งเรืองกิจ ส.ส.บัญชีรายชื่อ หลานชายนายสุริยะ ทั้ง 2 คนจะลาออกจาก ส.ส.และสมาชิกพรรค พปชร. เพื่อย้ายไปอยู่พรรคเพื่อไทยเช่นเดียวกัน

นายธนกร วังบุญคงชนะ รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณี ครม.แต่งตั้งให้เป็นผู้รักษาราชการแทน รมว.อุตสาหกรรมว่า ไม่มีนัยอะไร ยกตัวอย่างกรณีของนายอธิรัฐ รัตนเศรษฐ รมช.คมนาคม ซึ่งในที่ประชุมครม.ระบุว่ามีรัฐมนตรีท่านเดียว จึงอาจจะต้องมีการตั้งรักษาการไว้ หากติดภารกิจไปต่างประเทศหรือติดภารกิจอื่นๆ จะได้มีคนรักษาการแทน

ถามถึงกรณีนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รมว.อุตสาหกรรม เตรียมจะยื่นลาออกจากตำแหน่ง นายธนกรกล่าวว่า ตนก็ฟังข่าวจากสื่อมวลชน ซึ่งตรงนี้ไม่ได้มีปัญหาอะไร ทั้งนายสมศักดิ์และนายสุริยะก็เป็นผู้ใหญ่ที่ตนเคารพท่านเสมอ ส่วนในเส้นทางการเมืองก็เป็นเรื่องของท่าน เป็นสิ่งที่เราเองคงไม่ไปก้าวล่วง

ชัดเจน'จุติ'ไขก๊อกทิ้งปชป.

ที่พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) มีการตรวจสถานภาพสมาชิกพรรคการเมืองของ กกต. พบว่านายจุติ ไกรฤกษ์ รมว.การพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ซึ่งเป็น ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรค ปชป. ได้ยื่นหนังสือลาออกต่อนายทะเบียนพรรคการเมืองแล้วตั้งแต่วันที่ 7 มี.ค.2566 หลังเป็นสมาชิกพรรค ปชป.มาตั้งแต่ 7 ม.ค.2540 และได้เป็นสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ในวันเดียวกับที่ลาออกด้วย

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับภารกิจของนายจุติ วันนี้เดินทางไปที่ศูนย์โอท็อปตำบลช่องแคบ อ.พบพระ จ.ตาก  โดยมีนายชัยวุฒิ บรรณวัฒน์ ส.ส.ตาก พรรค ปชป. ร่วมลงพื้นที่ด้วย ซึ่งหลายฝ่ายจับตานายชัยวุฒิ ที่ถือเป็นแกนนำคนสำคัญภาคเหนือของพรรค ปชป. อาจตัดสินใจเว้นวรรคทางการเมืองหรืออาจย้ายพรรคไปอยู่ รทสช.กับนายจุติ  โดยมีกระแสข่าวว่าอาจจะลงสมัคร ส.ส. เขต 2 เขตเดิม จ.ตาก ประกอบกับนางศิริวรรณ ปราศจากศัตรู แกนนำภาคเหนือได้ลาออกจาก ส.ส.บัญชีรายชื่อ และสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ไปก่อนหน้า จนกระทั่งมาถึงกรณีของนายจุติ ที่ลาออกเป็นคนล่าสุด 

ด้านนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรค ปชป. กล่าวถึงข่าวนายจุติ ไกรฤกษ์ ลาออกจาก ปชป. ไปสมัครเป็นสมาชิกพรรค รทสช.ว่า ไม่ใช่เรื่องใหม่ เราจะร่วมมือร่วมใจอย่างเป็นเอกภาพฟันฝ่าอุปสรรคเพื่อนำพรรคสู่ความสำเร็จตามเป้าหมาย ทุกอย่างไม่มีอะไรมาทำลายเป้าหมาย สำหรับคนที่เหนียวแน่นอยู่กับพรรค ตนจะขอตอบแทนทุกคนด้วยการมุ่งมั่นทุ่มเททำงาน

ถามว่านายจุติได้แจ้งลาออกหรือไม่ นายจุรินทร์กล่าวว่า ไม่ทราบว่าแจ้งกับใคร แต่ตนไม่มีปัญหา จะแจ้งหรือไม่แจ้ง สำคัญคือจับมือกับคนที่อยู่กับพรรคต่อไป ไม่หวั่นไหว ไม่ท้อแท้หรือหมดกำลังใจ เพราะคนส่วนใหญ่ยังอยู่กับพรรค อุดมการณ์เหนียวแน่น เอกภาพพรรคจะได้ชัดเจนเหนียวแน่นมากยิ่งขึ้น

ถามว่าการเลือกตั้งที่จังหวัดพิษณุโลกเป็นอย่างไร นายจุรินทร์กล่าวว่า ผู้สมัครที่เป็นกำลังหลักไม่มีใครหวั่นไหว ยังอยู่กับพรรค นายจักษ์ พันธ์ชูเพชร ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.พิษณุโลก และคนอื่นๆ ชัดเจน ไม่มีปัญหา

ที่พรรคชาติไทยพัฒนา (ชทพ.) นายวราวุธ ศิลปอาชา รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในฐานะหัวหน้าพรรค ชทพ. พร้อมด้วยนายประภัตร โพธสุธน รมช.เกษตรและสหกรณ์ ในฐานะเลขาธิการพรรค ชทพ. ร่วมกันแถลงเปิดตัวทีมเศรษฐกิจพรรค ชทพ. นำโดยนายชาติชาย พยุหนาวีชัย อดีตผู้อำนวยการธนาคารออมสิน พร้อมทีมผู้นำเยาวชน และผู้นำสหภาพแรงงานและสหกรณ์ โดยมีแกนนำพรรคมาร่วมกันอย่างพร้อมเพรียง

นอกจากนี้ยังได้เปิดตัวนายสมเกียรติ ถนอมสินธุ์ อดีต ส.ส.กทม.พรรคก้าวไกล เป็นว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.กทม.เขตบางนา โดยนายวราวุธกล่าวว่า นายสมเกียรติทำงานในพื้นที่บางนามาโดยตลอด ทำงานหนัก ลงพื้นที่ รวมทั้งนำเรื่องมาหารือกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมมาโดยตลอด

"ส่วนนายชาติชายเป็นบุคคลที่มีประสบการณ์ด้านการเงิน คร่ำหวอดมานาน เป็นอดีตผู้อำนวยการธนาคารออมสิน มีศักยภาพที่มีหลากหลาย และไม่ได้มาคนเดียว แต่มีบุคลากร คนรุ่นใหม่ ซึ่งคร่ำหวอดกับการทำงานกับประชาชนมานาน มาช่วยก่อร่างสร้างนโยบายเศรษฐกิจของ ชทพ. เพื่อให้ครอบคลุมคนทุกช่วงวัย โดยการประชุมใหญ่สามัญประจำปีในวันที่ 31 มี.ค.นี้ จะเสนอชื่อนายชาติชายเป็นรองหัวหน้าพรรค เช่นเดียวกับนายกนก วงษ์ตระหง่าน และนายสันติ กีระนันทน์ กรรมการนโยบายและยุทธศาสตร์พรรค โดยทั้งสามคนจะเป็นทีมเศรษฐกิจที่เข้มแข็งให้กับ ชทพ." หัวหน้าพรรค ชทพ.กล่าว

เสี่ยนิดลั่นไม่ขัดแย้งใคร

ที่ลานกีฬาสมาพันธ์แฟลตคลองจั่น เขตบางกะปิ นายเศรษฐา ทวีสิน ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย กล่าวภายหลังลงพื้นที่หาเสียงกลุ่มเยาวชนที่มาเล่นกีฬาถึงกรณี พล.อ.ประวิตรระบุจะก้าวข้ามความขัดแย้ง และมีการออกจดหมายหากได้เป็นรัฐบาลจะนำนโยบายแต่ละพรรคมาจัดทำว่า ยังไม่ได้อ่านจดหมายของท่าน แต่ได้ยินคำว่าก้าวข้ามความขัดแย้ง ก็เป็นนิมิตหมายอันดี และท่านก็พูดหลายครั้งแล้วเรื่องนี้ ทางพรรค พท.ไม่ได้ขัดแย้งกับใคร เรามีข้อขัดแย้งกับความยากจน ความไม่เสมอภาคและความไม่เท่าเทียม ซึ่งจากนี้ไปจนถึงช่วงมีการเลือกตั้ง เราก็จะเร่งกลั่นนโยบายที่โดนใจประชาชนออกมา 

ถามว่าการที่ พล.อ.ประวิตรระบุจะก้าวข้ามความขัดแย้ง ทำให้เห็นพรรค พปชร.เป็นทางออกของประเทศหรือไม่  นายเศรษฐากล่าวว่า ยังไม่ได้คิดถึงตรงนั้น ดูแต่พรรค พท.อย่างเดียวว่าเราต้องไปสู่จุดมุ่งหมายที่ได้คะแนนเยอะที่สุด 

ซักว่า มี ส.ส.จากพรรค พปชร.ย้ายมาอยู่พรรค พท. จะช่วยมาตอกย้ำเรื่อง 310 เสียงของพรรคหรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า คิดว่าขึ้นอยู่กับนโยบายของพรรคที่เราจะเผยแพร่ออกไป เพราะตั้งแต่พรรคไทยรักไทย พลังประชาชน จนมาถึงพรรคเพื่อไทย เราใช้นโยบายนำ และนโยบายเราทำได้จริง ฉะนั้นเรื่องของนโยบายเป็นเรื่องหลัก แต่เรื่องที่ ส.ส.จากพรรคใดก็ตาม หรือแม้กระทั่งส.ส.ในพื้นที่ของเราก็จะช่วยกันไปจนกว่าจะถึงจุดมุ่งหมาย แต่เรายินดีต้อนรับ 

ที่โรงแรมเอเชีย แอร์พอร์ท พรรคก้าวไกล (ก.ก.) ได้จัดงานประชุมใหญ่ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.ทั้งแบบเขตและบัญชีรายชื่อ โดยนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าวเปิดการประชุมตอนหนึ่งระบุว่า การประชุมครั้งนี้เป็นไปเพื่อเตรียมความพร้อมรับยุบสภา เข้าสู่โหมดเลือกตั้งเต็มรูปแบบ​ ในส่วนเป้าหมายในการเลือกตั้งพรรคมี 2 เรื่อง คือ ได้ ส.ส.มากกว่าพรรคอนาคตใหม่ และต้องปักธง ส.ส.ได้ครบทุกภาคทั่วประเทศ

นายพิธาให้สัมภาษณ์ถึงกรณีนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ระบุสามารถร่วมรัฐบาลกับทุกพรรคการเมืองรวมทั้งก้าวไกลแบบมีเงื่อนไขว่า เราไม่มีเจตจำนงในการร่วมพรรคทหารจำแลงอย่าง รทสช.และ พปชร. เพราะถือว่าเป็นคนทำรัฐประหารสืบทอดอำนาจ และตอนนี้ยังรักษาอำนาจต่อจึงเป็นไปไม่ได้ แม้พรรค พปชร.และ รทสช.จะส่งคนมาเจรจาก็ตาม

 “ไม่มีครับ และไม่มีวันที่จะได้คุยกัน  ปิดประตูแน่นอน เพราะเราตั้งพรรคมาเพื่อปิดสวิตช์ 3 ป. และเปิดแสงสว่างให้กับประเทศไทย เลิกแช่แข็งประเทศไทยให้ไปสู่อนาคต เขาเป็นคนที่มีส่วนร่วมทางด้านตรงนี้ เราต้องแก้ไขทั้งหมด”นายพิธากล่าว

หัวหน้าพรรคก้าวไกลกล่าวว่า หากพรรคก้าวไกลเป็นรัฐบาล จะทำประโยชน์ให้กับประชาชนได้มากกว่า ดังนั้น พรรคจะหาเสียงให้เต็มที่ และหากทำได้ถึงเป้าหมาย ก็มั่นใจว่าจะน้ำหนักทางการเมืองในการจัดตั้งรัฐบาล

พอถามถึงกรณี พล.อ.ประวิตรเปิดใจผ่านจดหมายเปิดผนึกอาสามาเป็นโซ่ข้อกลางในการก้าวข้ามความขัดแย้งนั้น นายพิธากล่าวว่า เราไม่สามารถก้าวข้ามความขัดแย้งที่ตัวเองมีส่วนเกี่ยวข้อง และย้ำว่าการก้าวข้ามความขัดแย้งและจะมีความปรองดองได้ต้องมีระบบความยุติธรรม มีการเสาะหาข้อเท็จจริง และต้องทำให้วัฒนธรรมคนผิดลอยนวลหมดไปก่อน จึงจะทำให้เกิดความปรองดองที่แท้จริง

"จดหมายที่ พล.อ.ประวิตรเขียน ไม่ว่าจะเกี่ยวกับเรื่องการตั้งคณะกรรมการมากรองนโยบาย ก็ต้องเรียนว่านโยบายของพรรคพลังประชารัฐ ในช่วง 8 ปีที่ผ่านมา ยังทำไม่ได้หลายเรื่อง รวมถึงนโยบายที่สัญญากับประชาชนเมื่อ 4 ปีที่แล้ว ก็ยังทำไม่สำเร็จ ซึ่งการที่จะทำนโยบายใดนโยบายหนึ่งจะต้องมีกระบวนการ ลงพื้นที่ฟังปัญหากับประชาชนว่าปัญหาอยู่ที่ไหน แล้วค่อยนำมาปฏิบัติ ดังนั้นคนที่จะนำเอานโยบายของแต่ละพรรคมาปฏิบัติได้จริง ต้องเป็นคนที่คลุกคลีกับประชาชน ไม่ใช่แค่ตั้งกรรมการขึ้นมาชุดหนึ่ง แล้วจะแก้ปัญหาให้กับประชาชนได้ ในประเทศไทย หากต้องการความปรองดองก็ต้องตั้งคณะกรรมการปรองดอง ถ้าอยากจัดตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อนนโยบาย ก็ตั้งคณะกรรมการ แต่ประเทศไทยไม่ได้ขับเคลื่อนนโยบายง่ายขนาดนั้น” นายพิธากล่าว

ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) มีการพิจารณารูปแบบการแบ่งเขตเลือกตั้ง และผลการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนและพรรคการเมือง ที่สำนักงานกกตประจำจังหวัดได้นำเสนอต่อเนื่องเป็นวันที่ 2 และสามารถพิจารณาเลือกรูปแบบเขตเลือกตั้งครบทั้ง 400 เขตแล้ว ขณะนี้อยู่ระหว่างสำนักงานดำเนินการจัดทำเอกสาร และรายละเอียดก่อนที่จะเสนอให้นายอิทธิพร บุญประคอง ประธาน กกต. ลงนามในวันที่ 16 มี.ค. และส่งไปยังสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเพื่อประกาศในราชกิจจานุเบกษาให้มีผลใช้บังคับต่อไป.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

เปิดใจ ‘ปานปรีย์’ ละเอียดยิบ เหตุยื่นหนังสือลาออก ’รมว.ต่างประเทศ’

'ปานปรีย์’ยอมรับขอลาออกจากรมว.กต. เหตุถูกปรับพ้นรองนายกฯ หวั่นไร้ตำแหน่งรองนายกฯพ่วงอาจทำงานไม่ราบรื่น เชื่อยังมีคนอื่นเหมาะสมมาทำงานแทนได้ อำลาทีมผู้บริหารกระทรวงฯแล้ว