‘ก้าวไกล’หนาว ปม‘มาตรา112’ ตั้งต้นยุบพรรค!

พรรคก้าวไกลระทึก คดีแก้ไขมาตรา 112 คาดศาลรัฐธรรมนูญเปิดห้องไต่สวนชี้ขาดในช่วงเดือนตุลาคม ผู้ร้องชี้จุดตาย การเซาะกร่อนบ่อนทำลาย ถ้าเข้าข่ายล้มล้างฯ จะเป็นสารตั้งต้นยุบพรรค-เอาผิดยกเข่ง! 

เมื่อวันศุกร์ที่ 28 กรกฎาคม ยังคงมีความคืบหน้าคำร้องคดีที่นายธีรยุทธ สุวรรณเกษร ทนายความอิสระ ยื่นคำร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าการกระทำของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ สส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคก้าวไกล และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี เป็นผู้ถูกร้องที่ 1 และพรรคก้าวไกล (ก.ก.) เป็นผู้ถูกร้องที่ 2 ที่เสนอร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่...) พ.ศ..... เพื่อยกเลิกประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 โดยใช้เป็นนโยบายในการหาเสียงเลือกตั้ง และยังคงดำเนินการอย่างต่อเนื่องเป็นการใช้สิทธิเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 49 วรรคหนึ่ง หรือไม่ ซึ่งล่าสุดพรรค ก.ก.ได้ยื่นเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อขอขยายเวลาในการส่งคำชี้แจงเพื่อแก้ข้อกล่าวหาออกไปหลังครบกำหนด 15 วันที่ต้องส่งคำชี้แจง

นายธีรยุทธกล่าวในเรื่องนี้ว่า การขอขยายเวลาการส่งคำชี้แจงของพรรค ก.ก.สามารถทำได้ แต่ก็จะไม่เกิน 15 วัน ซึ่งมองว่าศาลรัฐธรรมนูญคงขยายเวลาได้แค่ครั้งเดียว และหลังจากนั้นเชื่อว่าศาลรัฐธรรมนูญคงจะเปิดห้องพิจารณาไต่สวนคำร้อง เพื่อเปิดโอกาสให้ทั้งสองฝ่ายคือตัวผู้ร้อง คือตนเอง กับผู้ถูกร้องคือพรรค ก.ก.และนายพิธา นำพยานหลักฐานของทั้งสองฝ่ายเข้าสู่การพิจารณาไต่สวนของศาลรัฐธรรมนูญ เพราะความแรงของเนื้อหาในคำร้องคดีนี้มีมาก สังคมจับจ้อง

“ที่บอกว่าแรง เพราะในคำร้องกล่าวหาว่าล้มล้างฯ ทำให้ประชาชนย่อมสนใจว่าพรรคก้าวไกลที่กำลังได้รับความนิยม ทำไมถึงถูกกล่าวหาว่าล้มล้างฯ บางคนอาจมองว่าไม่เห็นล้มล้างฯ  ตรงไหน แค่จะไปแก้ไขกฎหมาย แต่เขาก็มองในแง่มุมที่เขานิยม ทำให้อาจมองไม่เห็นอะไรบางอย่าง แต่เรามองในสภาวะของกฎหมาย โดยนำคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญสองคำร้องก่อนหน้านี้คือคดียุบพรรคไทยรักษาชาติ (ทษช.) และคดีแกนนำม็อบสามนิ้วถูกร้องว่ามีพฤติการณ์ล้มล้าง” นายธีรยุทธกล่าวระบุ

 นายธีรยุทธอธิบายต่อว่า หากดูจากคำวินิจฉัยในคดียุบพรรค ทษช.มาประกอบกับเรื่องนี้ จะเห็นภาพอย่างหนึ่งว่าในคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญได้เขียนไว้ว่า คำว่าการกระทำใด อันเป็นการเซาะกร่อนบ่อนทำลาย หรือด้อยค่า หรือทำให้สถาบันพระมหากษัตริย์ถูกลดสถานะจนอาจนำไปสู่ความสิ้นสูญในอนาคต คำว่า เซาะกร่อนหรือบ่อนทำลาย คำวินิจฉัยศาลไม่ได้วินิจฉัยตรงๆ ว่าเป็นลักษณะใด แต่ได้บอกสโคปของการพิจารณาคดีของศาลว่าอยู่ในหลักตรงนี้ และวิธีการพิจารณาก็แบบวิญญูชน คือแบบที่ประชาชนทั่วไปเขามองไปแล้วว่าถ้าเป็นแบบนี้อาจเกิดแบบนั้นตามมา และอาจเป็นอย่างนั้นขึ้นตามมา คำว่าเซาะกร่อนบ่อนทำลาย จึงเทียบเคียงแบบชัดๆ ไม่ได้ ทั้งหมดก็อยู่ที่ดุลยพินิจของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญว่าจะเห็นควรอย่างไร

 “ประเมินจากกระบวนการพิจารณาคำร้องของศาลรัฐธรรมนูญ ทั้งการให้ฝ่ายผู้ถูกร้องคือพรรคก้าวไกลแก้ข้อกล่าวหาภายใต้กรอบ 30 วัน และกระบวนการต่างๆ ในการไต่สวนของศาล ที่คาดว่าน่าจะอยู่ที่ประมาณ 45-60 วัน ก็คาดว่าประมาณปลายเดือนตุลาคมอาจจะได้เห็นอะไรบางอย่าง”นายธีรยุทธกล่าว

เมื่อถามว่า คำร้องดังกล่าวหากสุดท้ายศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าพฤติการณ์ของพรรคก้าวไกลเข้าข่ายล้มล้างฯ ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 49 ผลจะเป็นอย่างไร นายธีรยุทธกล่าวว่า องค์คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญก็คงมีกรอบในการวินิจฉัย คือต้องไม่ผิดไปจากที่กฎหมายให้อำนาจ และต้องไม่วินิจฉัยนอกเหนือไปจากที่ผู้ร้องได้ยื่นคำร้องไป ซึ่งคำร้องของตนเองขอให้พรรคก้าวไกลหยุดเรื่องนี้ หยุดใช้มาตรา 112 ในการหาเสียง แต่เมื่อวันนี้การหาเสียงเลือกตั้งจบไปแล้ว ก็ขอให้พรรคก้าวไกลหยุดแสดงความเห็น หยุดการเผยแพร่ใดๆ ในเรื่องมาตรา 112 เพราะตีความจากคำวินิจฉัยที่ยกมาสองคดีข้างต้นที่ว่าตัดไฟเสียแต่ต้นลม ไม่ให้ลุกลาม คือไม่ให้พูดต่อ ให้หยุดเสีย ให้มันหายไปเลย ไม่ต้องพูด ไม่ให้แสดงความเห็นหรือเผยแพร่ข้อความใด รวมถึงไม่สามารถเสนอร่าง พ.ร.บ.แก้ไขมาตรา 112 ต่อรัฐสภาด้วย โดยร่างที่พรรคก้าวไกลเสนอค้างอยู่ตอนสภาผู้แทนราษฎรสมัยที่แล้ว หากพรรคเขาไม่ถอนร่างออก   แต่สภาก็ต้องถอนออกไปทันที เพราะคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญมีผลผูกพันทุกองค์กร

นายธีรยุทธกล่าวต่อว่า ลำดับแรกศาลรัฐธรรมนูญต้องวินิจฉัยก่อนว่า พฤติการณ์ของเขาเข้าข่ายการล้มล้างการปกครองหรือไม่ หากเข้าข่ายมันก็จะเป็นสารตั้งต้นเหมือนกับที่นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรีบอกไว้คำร้องคดีนี้จะเป็นสารตั้งต้น เพราะก่อนจะมีคำวินิจฉัยออกมา ทางตุลาการศาลรัฐธรรมนูญต้องวินิจฉัยก่อนว่าพฤติการณ์ของนายพิธาและ สส.พรรคก้าวไกลเข้าข่ายล้มล้างฯ เข้าข่ายเซาะกร่อนหรือไม่  หากเข้าข่าย ก็คงอาจไปดูว่าแล้วจะเป็นการล้มล้างฯ ในวันข้างหน้าได้หรือไม่ ถ้าเห็นว่าเข้าข่าย ก็อาจจะมีคำสั่งให้พรรคก้าวไกลหยุดเรื่อง 112 ตรงจังหวะนี้ คือการวินิจฉัยว่าจะเข้าข่ายหรือไม่เข้าข่าย

“ถ้าเข้าข่ายนี้คือเหตุผลในการจะนำไปสู่การร้องให้ยุบพรรคก้าวไกล ตามมาตรา 92 (2) ของพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมืองฯ ที่บัญญัติว่า หากพรรคการเมืองใดกระทำการอันอาจเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองฯ ให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ยื่นคำร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรคและและเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของคณะกรรมการบริหารพรรคได้” นายธีรยุทธระบุ

นายธีรยุทธระบุอีกว่า การเสนอร่างแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ของพรรค ก.ก.ที่เสนอสภาสมัยที่แล้ว คนที่เซ็นอยู่ข้างท้ายในร่างดังกล่าว คนแรกก็คือนายพิธาในฐานะหัวหน้าพรรค ก.ก. โดยมี สส.พรรค ก.ก.ลงชื่อรับรองการเสนอร่างเข้าสภา ซึ่งหากศาลมองไกลไปถึงคำว่าพรรคแล้วจุดเกิดเหตุมันอยู่ที่การเสนอร่างไม่ใช่แค่นายพิธาที่จะโดน แต่ สส.ที่ร่วมลงชื่อรับรองร่างดังกล่าวอีกหลายสิบคนให้เสนอสภาก็อาจโดนด้วย

 “คำร้องคดีนี้ หากสุดท้ายศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้นายพิธาและพรรคก้าวไกลหยุดเรื่องมาตรา 112 ศาลจะวินิจฉัยก่อนว่าการกระทำของผู้ถูกร้องทั้งสองเข้าข่ายเป็นการเซาะกร่อน บ่อนทำลาย เป็นปฏิปักษ์ และจะมีผลเป็นการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยในวันข้างหน้า ซึ่งหากเห็นว่าเข้าข่าย ก็อาจเห็นควรมีคำสั่งให้หยุดการกระทำต่างๆ ตามที่ผู้ร้องได้ร้องต่อศาล หากเป็นเช่นนั้น เหตุผลจากคำวินิจฉัยว่าพฤติกรรมเป็นการเซาะกร่อนบ่อนทำลาย เป็นปฏิปักษ์ และอาจเป็นการล้มล้าง เหตุผลดังกล่าวนั้นจึงจะเป็นหลักฐานอันควรเชื่อว่าเป็นเหตุอันควรยุบพรรค ซึ่งจะเป็นคำร้องดอกสองต่อไป” นายธีรยุทธระบุ.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

เริ่มฮั้วยึดเก้าอี้สว. กกต.จับตาพวกไร้คะแนน-ท็อปไฟว์/‘ทักษิณ’ส่ง‘สมชาย’ดันนั่งปธ.

ประเดิมสมัคร สว.วันแรก มีทั้งพื้นที่คึกคักและกร่อย สะพัด! กทม.เริ่มมีเรื่องฮั้ว รวมกลุ่ม “กกต.” จับตาพวกไร้คะแนนและบรรดาท็อปไฟว์