‘ประยุทธ์’ปลื้มนายกฯ9ปี 9ผลงานไทยไม่ต้องนับ1

ไทยโพสต์ ๐ อำลา! "บิ๊กตู่” นายกฯ คนที่ 29 ของไทย โพสต์ 9 ปี โชว์ 9 ผลงาน   การพัฒนาอย่างก้าวกระโดด เผยมีความหมายมากที่สุดของชีวิต ทุ่มเทเพื่อ ปท.- ปชช.-เชิดชูสถาบัน ขอบคุณทุกฝ่ายร่วมเสียสละอดทน ทำประเทศกลับมาเข้มแข็ง  มั่นใจจากวันนี้ไม่ได้เริ่มนับที่ 1 อีกต่อไป   ขณะที่ ครม.ขนของออกจากทำเนียบรัฐบาลแล้ว

     เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2566 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม โพสต์เฟซบุ๊ก "ประยุทธ์ จันทร์โอชา Prayut-Chan-o-cha" ว่า พี่น้องประชาชนชาวไทยที่รักครับ ตลอดระยะเวลา 9 ปี ของการปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรีคนที่ 29 ของประเทศไทย เป็นช่วงเวลาที่มีความหมายมากที่สุดของชีวิต เป็น 9 ปีที่ได้ทำงานเพื่อปกป้องแผ่นดินไทย ซึ่งเป็นบ้านเกิดเมืองนอนของผม และของเราทุกคน เป็น 9 ปีที่ผมได้ใช้สติปัญญา ทุ่มเททุกศักยภาพและกำลังความสามารถ สานพลังจากทุกภาคส่วน เพื่อสร้างคุณประโยชน์แก่ประเทศชาติและประชาชน รวมทั้งเชิดชูสถาบันอันเป็นที่รักของปวงชนชาวไทย และเป็น 9 ปีของประเทศไทยที่ได้รับการพัฒนาอย่างก้าวกระโดด มีความเจริญก้าวหน้าในหลายด้านทัดเทียมนานาอารยประเทศ และพร้อมยกระดับไปสู่ประเทศชั้นนำของโลก ในอนาคตอันใกล้นี้ ด้วยเหตุผลสำคัญ ได้แก่

     1.เป็นครั้งแรกที่ประเทศไทยมี "ยุทธศาสตร์ชาติ" ระยะยาว 20 ปี เพื่อเป็นเข็มทิศนำทางและกรอบแนวคิดในการพัฒนาประเทศในทุกมิติ ให้เกิดความต่อเนื่อง เป็นเป้าหมายให้ทุกภาคส่วนได้ทำงานร่วมกัน ขับเคลื่อนประเทศตามแนวทางการพัฒนาที่ยั่งยืนในทุกระดับ

     2.มีการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมครั้งยิ่งใหญ่ ในทุกระบบ ทั้งทางถนน ทางราง ทางทะเล และทางอากาศ รองรับการขยายตัวทางเศรษฐกิจและสังคมของประเทศในอนาคต ยกบทบาทของประเทศจากความโดดเด่นทางภูมิรัฐศาสตร์ ให้เป็นศูนย์กลางด้านโลจิสติกส์ ด้านการบิน ด้านการขนส่งสินค้า ด้านการท่องเที่ยว ฯลฯ

     3.มีความพร้อมเรื่อง "เศรษฐกิจดิจิทัล" และ "เศรษฐกิจแพลตฟอร์ม" โดยมีการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคม ดิจิทัล และ 5G ที่โดดเด่นในภูมิภาค เป็นที่ดึงดูดการลงทุนบริษัทชั้นนำของโลกหลายราย ซึ่งจะส่งเสริมบทบาทให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางด้าน 5G - Data center - Cloud services ที่สำคัญในภูมิภาค มีการใช้ประโยชน์ของประชาชนในชีวิตประจำวัน การศึกษาหาความรู้ การประกอบอาชีพ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของตนและสร้างรายได้ที่สูงขึ้นของคนทุกกลุ่ม ทุกสาขาอาชีพ

     4.มีการกำหนด 12 อุตสาหกรรมเป้าหมาย ซึ่งล้วนเป็นอุตสาหกรรมแห่งอนาคต รวมทั้งมีเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) และเขตส่งเสริมเศรษฐกิจเพื่อกิจการพิเศษ ทั้งด้านการแพทย์ ด้านนวัตกรรม ด้านดิจิทัล เป็นต้น ที่เป็นแหล่งบ่มเพาะแรงงานทักษะสูง-แรงงานแห่งอนาคต รวมถึงเกษตรอัจฉริยะ เพื่อตอบสนองตลาดแรงงานในอนาคต และการพัฒนาประเทศในศตวรรษที่ 21

     5.สร้างกลไกในการบริหารจัดการทรัพยากรที่สำคัญของชาติ (1) "น้ำ" ออกกฎหมายน้ำฉบับแรกของประเทศ มีสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) บูรณาการหน่วยงานน้ำในทุกระดับ (2) "ดิน" ตั้งคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ (คทช.) และจัดทำแผนที่ One Map เพื่อแก้ปัญหาที่ดินทับซ้อนมาหลายสิบปี รวมทั้งจัดสรรที่ดินทำกินให้กับผู้ยากไร้-เกษตรกร (3) "ป่า" เช่น ออกกฎหมายป่าชุมชน ไม้มีค่า และตลาดคาร์บอนเครดิต เพื่อส่งเสริมการเพิ่มพื้นที่สีเขียวให้กับประเทศ

     6.การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ เช่น (1) ส่งเสริมสวัสดิการกลุ่มเปราะบางทั้งเด็ก-ผู้สูงอายุ-ผู้พิการ (2) ส่งเสริมบทบาทกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) กองทุนยุติธรรม และกองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) เพื่อสร้างสังคมที่เท่าเทียม ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง (3) การยกระดับศักยภาพทรัพยากรมนุษย์ด้วยการศึกษา รองรับความท้าทายใหม่ๆ ของโลกในอนาคต

     7.ปฏิรูปกฎหมายไม่ให้เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาประเทศ ส่งเสริมขีดความสามารถในการแข่งขัน อำนวยความสะดวกในการประกอบธุรกิจ และดึงดูดการลงทุนเพื่อสร้างรายได้เข้าประเทศ รวมทั้งแก้ไขและบังคับใช้กฎหมายให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล สามารถแก้ไขวิกฤตชาติได้ในหลายเรื่อง เช่น ปลดธงแดง ICAO และแก้ปัญหาการประมงผิดกฎหมาย IUU สร้างความเชื่อมั่นประเทศไทยในเวทีโลก

     8.ประยุกต์เทคโนโลยีที่ทันสมัยในระบบราชการไทย เพื่อยกระดับการให้บริการแก่ประชาชนและเอกชน ที่เข้าถึงง่าย-สะดวก-โปร่งใส เช่น (1) บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ที่ช่วยให้การจ่ายเงินช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางตรงเป้าหมาย เต็มเม็ดเต็มหน่วย ตรวจสอบได้ (2) UCEP สายด่วน 1669 บริการการแพทย์ฉุกเฉิน ฟรีทุกสิทธิ์ ทุกโรงพยาบาล เป็นต้น

     9.สร้างความสัมพันธ์ทั่วโลก ทั้งในรูปแบบทวิภาคี-พหุภาคี และเขตการค้าเสรี (FTA) รวมทั้งรื้อฟื้นความสัมพันธ์ไทย-ซาอุดีอาระเบีย เพื่อขยายความร่วมมือ แลกเปลี่ยนประสบการณ์ และตลาดการค้าระหว่างกัน

     ทั้งนี้ การเดินทางของประเทศไทยในช่วง 9 ปีที่ผ่านมา ไม่ได้ราบรื่น หรือง่ายดาย ยังคงมีวิกฤตโควิด วิกฤตความขัดแย้งในโลก ที่ส่งผลกระทบด้านราคาพลังงาน ค่าครองชีพ และเงินเฟ้อจนถึงในปัจจุบัน แต่ด้วยความร่วมมือร่วมใจ เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันของคนไทย ช่วยให้เราฟันฝ่าอุปสรรคต่างๆ และฟื้นตัวมาได้ ท่ามกลางสถานการณ์โลกที่ยังคงผันผวน

     ผมขอขอบคุณพี่น้องประชาชนชาวไทยทุกคน เพื่อนข้าราชการ และทุกภาคส่วน ที่ได้เสียสละและอดทนในทุกสถานการณ์ที่ผ่านมา เพื่อให้ส่วนรวม สังคม และประเทศชาติ กลับมาเข้มแข็งอีกครั้ง ซึ่งผมมั่นใจอย่างยิ่งว่า ประเทศไทยนับจากวันนี้เป็นต้นไป จะไม่ได้เริ่มนับที่ 1 อีกต่อไป หากทุกอย่างที่เราสร้างกันมานั้นได้รับการต่อยอด ก็จะทำให้เราเดินทางเข้าสู่ "เส้นชัย" ได้เร็ววันขึ้นครับ

     ผู้สื่อข่าวรายงานความเคลื่อนไหว พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ว่า เมื่อเวลา 12.00 น. วันที่ 26 ส.ค. พล.อ.ประวิตรใช้เวลาในวันเสาร์ซึ่งเป็นวันหยุด เดินทางไปร่วมรับประทานอาหารกลางวันกับหลานๆ และเพื่อนๆ  ของ พล.อ.ประวิตร ซึ่งรวมถึง พล.อ.วิชญ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา อดีตประธานยุทธศาสตร์พรรคพลังประชารัฐ ที่ร้าน Shabu nashi ณ ศูนย์การค้ากลางใจเมืองแห่งหนึ่ง โดย พล.อ.ประวิตรมีสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส มีความสุข สีหน้าไม่มีความกังวลใดๆ พูดคุยทักทายกับลูกหลานและเพื่อนๆ อย่างอารมณ์ดี

     ซึ่งการแต่งกายของ พล.อ.ประวิตรในวันนี้ ยังคงสไตล์วัยรุ่น สวมแจ็กเกตทับเสื้อสีฟ้าข้างใน กับกางเกงยีนส์ รองเท้าผ้าใบสีขาว

      ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลัง พล.อ.ประยุทธ์ รวมถึงรองนายกรัฐมนตรี ได้ทยอยเก็บของที่ห้องทำงานไปก่อนหน้านี้บ้างแล้ว และภายหลังนายเศรษฐา ทวีสิน รับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 และการจัดตั้งรัฐบาลใกล้แล้วเสร็จ บรรดารองนายกฯ ได้ทยอยเก็บของเพิ่มเติม ทั้ง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ, นายดอน ปรมัตถ์วินัย รองนายกฯ และ รมว.การต่างประเทศ และนายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯ ที่มีรายงานข่าวว่าได้ทยอยเก็บของมาเกือบ 1 เดือนแล้ว ขณะนี้เหลือเพียงพระพุทธรูปและของใช้ที่จำเป็นเท่านั้น

      ขณะเดียวกัน ในช่วงวันหยุด ตั้งแต่เช้าวันที่ 26 ส.ค. นายอนุชา นาคาศัย รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้ให้เจ้าหน้าที่เข้ามาทยอยเก็บของ ส่วนใหญ่เป็นเอกสารและของใช้ต่างๆ กว่า 10 ลัง.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง