ตบหน้าเสี่ยนิด คลังปรับจีดีพี! ปีนี้โตแค่2.7%

“คลัง” สุดอั้นหั่นจีดีพีปี 2566  เหลือ 2.7% โอดท่องเที่ยวแผ่วแรง นักท่องเที่ยวจีนวืดเป้าหดเหลือ 27.7 ล้านคน กดรายได้จากท่องเที่ยวชะลอ ส่งออกยังสาหัสติดลบหนัก 1.8% ลุ้นปี 2567 เศรษฐกิจฟื้นตัวแตะ 3.2% “เศรษฐา” เตรียมบินไป สปป.ลาว “คารม” โอ่ตัวเลขต่างชาติแห่ลงทุน!

เมื่อวันศุกร์ 27 ตุลาคม 2566 นายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) แถลงการณ์ปรับตัวเลขเศรษฐกิจว่า สศค.ได้ปรับลดคาดการณ์เศรษฐกิจไทยในปี 2566 ลงเหลือ 2.7% ต่อปี โดยมีช่วงคาดการณ์ที่ 2.2-3.2% จากเดิมที่ 3.5% ต่อปี หลักๆ เป็นผลมาจากภาคการส่งออกที่ยังไม่ฟื้นตัว เนื่องจากได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าสำคัญของไทย ทำให้คาดว่าภาพรวมการส่งออกของไทยในปีนี้จะติดลบที่ 1.8% หดตัวเพิ่มขึ้นจากคาดการณ์เดิมที่ติดลบ 0.8% ขณะเดียวกันตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติที่คาดว่าจะเดินทางเข้าไทยในปีนี้ ลดลงเหลือ 27.7 ล้านคน จากเดิมที่ 29.5 ล้านคน ซึ่งทำให้รายได้จากการท่องเที่ยวเหลือ 1.18 ล้านล้านบาท ลดลงจากเดิมที่ 1.25 ล้านล้านบาท เนื่องจากเศรษฐกิจจีนที่มีความเสี่ยงมากขึ้น ซึ่งมีผลต่อตัวเลขนักท่องเที่ยวของจีน ซึ่งเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวเป้าหมายของไทยให้เดินทางลดลงด้วย

“การปรับลดคาดการณ์ของคลังในครั้งนี้ ถือเป็นตัวเลขที่สอดคล้องกับหน่วยงานอื่นๆ อาทิ กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) ที่คาดว่าเศรษฐกิจไทยปีนี้จะโต 2.7% และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่ 2.8% โดยยืนยันว่าแม้ปรับลดคาดการณ์ลง แต่ยังอยู่ในทิศทางการขยายตัวต่อเนื่องจากปีก่อน ส่วนหนึ่งมาจากตัวเลขนักท่องเที่ยวจีนที่มาน้อยกว่าคาด ทำให้ค่าใช้จ่ายต่อหัวลดลง และการส่งออกที่ได้รับผลกระทบอยู่” นายพรชัยกล่าว

นายพรชัยแถลงต่อว่า ยังมีปัจจัยที่ช่วยสนับสนุนการขยายตัวของเศรษฐกิจในปีนี้ ทั้งจากการบริโภคภาคเอกชนที่ยังฟื้นตัวได้อย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่าจะขยายตัวที่ 5.8% รวมถึงแรงกดดันของอัตราเงินเฟ้อที่คลี่คลายลง ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญส่งผลให้การฟื้นตัวการบริโภคภาคเอกชนขยายตัวได้ดีขึ้น ขณะที่การลงทุนภาคเอกชนคาดว่าจะขยายตัวที่ 0.9% ส่วนการบริโภคภาครัฐหดตัว 3.4% ต่อปี และการลงทุนภาครัฐทรงตัว โดยทั้ง 2 เรื่องเป็นผลมาจากการจัดทำงบประมาณปี 2567 ที่ล่าช้า ส่วนอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในปีนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 1.5% ต่อปี

สำหรับคาดการณ์เศรษฐกิจไทยในปี 2567 ประเมินว่าจะขยายตัวได้ที่ 3.2% ต่อปี โดยมีปัจจัยหนุนมาจากการบริโภคภาคเอกชนที่คาดว่าขยายตัว 3.1% การส่งออกคาดว่าขยายตัว 4.4% ต่อปี ซึ่งส่งผลดีต่อความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจที่ทำให้การลงทุนภาคเอกชนขยายตัวตามไปที่ระดับ 3.5% ต่อปี ขณะที่ภาคการท่องเที่ยวยังเป็นปัจจัยที่ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้อย่างดี โดยคาดว่าในปี 2567 จะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าไทยที่ 34.5 ล้านคน ขยายตัว 24.6% ส่วนรายได้จากการท่องเที่ยว อยู่ที่ 1.49 ล้านล้านบาท ขยายตัว 26% หลักๆ มาจากนักท่องเที่ยวจีน โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลตรุษจีน

“ตัวเลขเศรษฐกิจในปี 2567 ที่ขยายตัว 3.2% ยังไม่ได้รวมผลกระทบจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่อยู่ระหว่างการพิจารณาของรัฐบาล โดยเฉพาะโครงการดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท เนื่องจากโครงการยังไม่มีความชัดเจน จึงอยากให้รอความชัดเจนในส่วนนี้ก่อน ดังนั้นการประมาณการในครั้งนี้จึงมาจากเครื่องยนต์เศรษฐกิจปกติที่ยังทำงานได้อยู่” นายพรชัยกล่าว และว่า  ปัจจัยที่ต้องติดตามและมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยในปีหน้า ได้แก่ ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์โลกในภูมิภาคต่างๆ รวมถึงความผันผวนของตลาดการเงินโลก

วันเดียวกัน นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธานเปิดงานและกล่าวปาฐกถาพิเศษในงานสัมมนาเปิดตัว “คู่มือเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนสำหรับบริษัทจดทะเบียน และมาตรฐานผลกระทบ SDG” โดยกล่าวตอนหนึ่งว่า จากการที่ได้เดินทางไปในหลายๆ ประเทศได้เชิญให้บริษัทระดับโลกมาลงทุนในไทย ซึ่งถือว่าประเทศเราเป็นต่อกว่าประเทศคู่แข่ง ไม่ว่าจะเป็นอินโดนีเซีย หรือเวียดนาม ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีส่วนสำคัญในการผลักดันยกระดับขีดความแข่งขันของประเทศไทยให้ดีขึ้น เพื่อยกระดับความเป็นอยู่ของประชาชนคนไทยให้ดีขึ้นในระยะยาว

นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกฯ กล่าวว่า นายเศรษฐามีกำหนดการเยือนสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) อย่างเป็นทางการ ในวันที่ 30 ต.ค. ตามคำเชิญของนายสอนไซ สีพันดอน นายกรัฐมนตรี สปป.ลาว ซึ่งการเยือน สปป.ลาวครั้งนี้ มีเป้าหมายเพื่อสานต่อการเสริมสร้างความสัมพันธ์และความร่วมมือที่ใกล้ชิด รวมทั้งเน้นย้ำความเป็นหุ้นส่วนยุทธศาสตร์เพื่อการเจริญเติบโตและการพัฒนาอย่างยั่งยืนระหว่างงไทยกับ สปป.ลาว

นายคารม พลพรกลาง รองโฆษกประจำสำนักนายกฯ กล่าวว่า  จากนโยบายเปิดประเทศ รวมถึงการเดินทางพบปะกับนักลงทุนชาวต่างชาติของนายเศรษฐาได้สร้างความเชื่อมั่นต่อนักลงทุน ก่อให้เกิดการลงทุน สร้างงานสร้างรายได้ให้กับประเทศไทยเป็นอย่างมาก โดยในเดือน ก.ย.2566 มีนักลงทุนต่างชาติ 59 ราย เข้ามาประกอบธุรกิจในไทยผ่านช่องทางการขอรับใบอนุญาตประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว 22 ราย และการขอหนังสือรับรองการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว 37 ราย เงินลงทุนทั้งสิ้น 18,229 ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นนักลงทุนจากญี่ปุ่น จีน และฮ่องกง มีการจ้างงานคนไทย 1,219 คน

“จากรายงานผลการพิจารณาอนุญาตให้คนต่างชาติเข้ามาลงทุนประกอบธุรกิจในประเทศไทย ภายใต้ พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ.2542 ในช่วง 9 เดือนของปี 2566 (ม.ค.-ก.ย.) มีจำนวน 493 ราย แยกเป็นการลงทุนผ่านช่องทางการขอรับใบอนุญาตประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว 166 ราย และการขอหนังสือรับรองการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว จำนวน 327 ราย เงินลงทุนรวมทั้งสิ้น 84,013 ล้านบาท เกิดการจ้างงานคนไทย จำนวน 5,703 คน” นายคารมกล่าว.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง