แฉนอมินีซื้อไฟฟ้าส่งเมืองบาป

“โรม” จี้ กฟภ.ตัดไฟฟ้าเมืองคอลเซ็นเตอร์ อย่าปล่อยให้ไทยถูกมอง “ชาร์จแบต”  ให้เมืองบาป เปิดข้อมูลบริษัท “นอมินี” ทำสัญญาซื้อไฟส่ง “ท่าขี้เหล็ก-เมียวดี” พันนายพล กกล.ชนกลุ่มน้อย อีกบริษัทมีสาวไทยออกหน้า “กห.”   แถลงโต้สื่อหม่องโบ้ยไทยทำเมืองแก๊งสีเทาเติบโต  ด้าน ผบ.ทบ.ถก ตร. ทำแผนแบ่งพื้นที่ซีลชายแดน   ส่งทีมหารือบิ๊กทหารเมียนมาจริง

ที่รัฐสภา วันที่ 23 มกราคม นายรังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน (ปชน.) ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ สภาผู้แทนราษฎร แถลงผลการประชุมพิจารณาศึกษาและติดตามความคืบหน้าการแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับการฟอกเงิน การใช้บัญชีม้า และการซื้อขายไฟฟ้าบริเวณชายแดน อ.แม่สาย ว่ากระทรวงมหาดไทยไม่ได้ส่งตัวแทนเข้าหาข้อมูล มีแต่ตัวแทนของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ประเด็นสำคัญคือมีการขายไฟฟ้าให้เพื่อนบ้านนอกประเทศประมาณ 17 จุด หลายจุดอยู่ที่เมียนมา และอาจสงสัยว่าเกี่ยวข้องกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์และขบวนการยาเสพติดหรือไม่ โดย 2 จุดสำคัญที่มีการพิจารณาและให้น้ำหนักอยู่ในพื้นที่ทางชายแดน อ.แม่สอด จ.ตาก ขายไฟไปยังเมืองเมียวดี และพื้นที่ อ.แม่สาย จ.เชียงราย ขายไปยังเมืองท่าขี้เหล็ก ซึ่งน่าจะเกี่ยวข้องกับเครือข่ายยาเสพติดที่มีการจับกุมและอยู่ระหว่างดำเนินคดีของกระบวนการยุติธรรม

นายรังสิมันต์กล่าวว่า จุดแรกฝั่งแม่สอด เราได้ข้อมูลสำคัญว่าบริษัทคู่สัญญากับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคคือบริษัท SMTY โดยพันตรีติ่ง วิน เป็นระดับแกนนำของกองกำลัง BGF หรือ KNA และเข้าใจว่าพันโทหม่อง ชิตตู เป็นแกนนำคนสำคัญ ซึ่งกองกำลังกลุ่มนี้มีบทบาทสำคัญในการให้แก๊งคอลเซ็นเตอร์เช่าพื้นที่ที่ตั้งอยู่เมียวดี ก็หมายความว่าเราจะเห็นข้อต่อสำคัญว่า บริษัท SMTY มีความเกี่ยวโยงกับกองกำลังที่ดูแลในพื้นที่เมียวดี ดังนั้นแทบไม่ต่างกับการที่การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคทำสัญญาขายไฟให้กับแก๊งคอลเซ็นเตอร์โดยตรง

จุดที่สองคือ ทางแม่สาย ผ่านไปยังท่าขี้เหล็ก ขณะนี้มีการเปลี่ยนคู่สัญญา ปรากฏว่ามีบริษัทใหม่เข้ามาทำหน้าที่ชื่อ แอสตร้าอิเล็คทริค จดทะเบียนในปี 2566 แต่มีความน่าสงสัย เพราะทุนจดทะเบียนมีแค่ 1 ล้านบาท และคีย์แมนของบริษัทนี้เป็นสุภาพสตรี อายุค่อนข้างน้อย ไม่แน่ใจว่ามีเบื้องหลังหรือประสบการณ์อย่างไรในการเข้ามาทำสัญญากับการไฟฟ้าฯ เบื้องต้นยังไม่มีการเซ็นสัญญา แต่การไฟฟ้าฯ ได้ตอบคำถามกับ กมธ.ว่ามีการคัดเลือกคุณสมบัติอย่างไร

"ซึ่งการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคบอกว่าทางการไฟฟ้าท่าขี้เหล็กเสนอมา เขาก็เอามาพิจารณาเบื้องต้น  จึงดูค่อนข้างแปลกประหลาดว่าทำไมการไฟฟ้าฯ  ต้องไปยอมรับตามที่ทางท่าขี้เหล็กเสนอมา ซึ่งตามหลัก KYC ควรจะต้องดูเบื้องหลังของคู่สัญญาที่มาทำสัญญาขายไฟฟ้าด้วย จึงต้องสงสัยว่าขายไฟฟ้าให้กับนอมินีของกลุ่มที่เป็นเครือข่ายยาเสพติดรายใหญ่"

นายรังสิมันต์กล่าวต่อว่า ที่ผ่านมา กมธ.พยายามถามหลายครั้ง แต่การไฟฟ้าฯ ก็ไม่ได้มีข้อมูลชี้แจงว่าจะตัดไฟเลย เท่าที่ตนทราบจะมีการประชุมในวันที่ 29 ม.ค.นี้ โดยมี 3 แนวทางคือ 1.การไฟฟ้าฯ อาจคงสภาพการขายไฟแบบนี้ต่อไป โดยไม่ได้สนใจว่าไฟนี้จะตกไปอยู่ในมือของใครบ้าง 2.ต่อขยายสัญญาบางส่วน (ปัจจุบันสัญญาสัมปทานของ SMTY กำลังจะหมดลง) 3.การตัดไฟ ทำให้ไฟฟ้าไม่ตกอยู่ภายใต้เงื้อมมืออาชญากรข้ามชาติ ซึ่ง 3 แนวทางนี้เป็นไปได้หมด การไฟฟ้าฯ ไม่สามารถให้ข้อมูลกับ กมธ.ได้ว่าผลที่ออกมาจะเป็นอย่างไร ก็ต้องรอการประชุมบอร์ด และคนที่มีอำนาจตัดสินใจในบอร์ดก็ไม่ได้มาประชุมด้วยในวันนี้ ทำให้ไม่สามารถทราบได้

อย่างไรก็ตาม การไฟฟ้าฯ พยายามบอกว่าไม่มีศักยภาพดูเรื่องความมั่นคง เพราะดูแค่เรื่องไฟ ไม่รู้ว่าไฟของเขาจะตกไปในมืออาชญากรหรือไม่ ก็จำเป็นต้องให้ฝ่ายความมั่นคงเป็นคนช่วยชี้แนะ ดังนั้น ทาง สมช.จึงแจ้งด้วยวาจากับการไฟฟ้าฯ ว่าจะขอเข้าประชุมด้วย เพราะสิ่งที่มีการดำเนินการอยู่ตอนนี้ค่อนข้างกระทบต่อความมั่นคง ซึ่ง กมธ.ความมั่นคงฯ ก็จะทำหนังสือสนับสนุน สมช.ไปยังการไฟฟ้าฯ ด้วย ทั้งนี้ การไฟฟ้าฯ ไม่อยากตัดสินใจด้วยตัวเอง แต่ขอลองฟังจากหน่วยงานความมั่นคงต่างๆ ทำให้ไม่สามารถตัดไฟก่อนได้ แต่ กมธ.ก็อยากให้การไฟฟ้าฯ รับฟังข่าวสารที่เมียนมาแถลงว่าที่สแกมเมอร์ตั้งกันอยู่ได้เกิดจากการที่ประเทศไทยขายไฟให้

"การไฟฟ้าฯ ต้องเอาข้อมูลส่วนนี้ไปพิจารณาด้วย และคาดหวังว่าวันที่ 29 ม.ค.จะมีข่าวดีในเรื่องนี้ และนำไปสู่การตัดไฟ เพื่อทำให้ขบวนการอาชญากรข้ามชาติมีความอ่อนแอมากขึ้น นอกจากนี้ ต้องมีการหารือปัญหาท่าข้าม ที่ข้ามไปยังเมียวดี โดย สมช.แจ้งว่า จ.ตาก มี 59 ท่าข้าม ซึ่งอาจมีความจำเป็นที่ต้องทบทวนลดจำนวนท่าข้ามเหล่านี้ เนื่องจากไม่สามารถดูแลปัญหาความมั่นคงที่อาจเกิดขึ้นได้ โดยวันที่ 31 ม.ค. สมช.จะมีการประชุม ก็คาดหวังว่าจะนำไปสู่การปรับลดแก้ปัญหาท่าข้าม" นายรังสิมันต์กล่าว

ที่กระทรวงกลาโหม (กห.) พล.ต.ธนาธิป สว่างแสง โฆษกกระทรวงกลาโหม กล่าวว่า จากกรณีที่สื่อทางการของเมียนมาเผยแพร่บทความที่กล่าวถึงปัญหาอาชญากรรมออนไลน์บริเวณชายแดน และมีการพาดพิงถึงประเทศเพื่อนบ้านในเชิงที่อาจสื่อถึงประเทศไทย (กห.) ขอชี้แจงว่า ประเทศไทย ให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมข้ามพรมแดน โดยเฉพาะในพื้นที่ชายแดนที่มีความอ่อนไหว ทั้งนี้ กห.และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้ดำเนินความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้าน รวมถึงเมียนมา ในการสกัดกั้นเครือข่ายอาชญากรรมและการกระทำผิดกฎหมายมาโดยตลอด และจากการหารือระหว่างเจ้าหน้าที่ระดับสูงของกองทัพบกและกองทัพเมียนมา เมื่อวันที่ 21 ม.ค.ที่ผ่านมา เป็นการย้ำถึงความร่วมมืออย่างใกล้ชิด เพื่อแก้ไขปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของทั้งสองประเทศ อาทิ การพนันผิดกฎหมาย การหลอกลวงออนไลน์ การค้ามนุษย์ และการประมงผิดกฎหมาย

“ยืนยันว่า ประเทศไทยไม่มีนโยบายสนับสนุนหรือเพิกเฉยต่อการกระทำผิดกฎหมาย ไม่ว่าจะเกิดจากบุคคลใดหรือองค์กรใด หากพบว่ามีความเกี่ยวข้องของผู้กระทำผิดที่มีต้นทางมาจากประเทศไทย  รัฐบาลไทยพร้อมที่จะดำเนินการสอบสวนและประสานงานกับเมียนมาเพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายอย่างเด็ดขาดและจริงจัง” โฆษกกลาโหมระบุ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า The Global New Light of Myanmar สื่อทางการเมียนมา ฉบับ 21 ม.ค. ได้กล่าวโทษ ‘ประเทศเพื่อนบ้าน’ มีส่วนทำให้แก๊งคอลเซ็นเตอร์เติบโต รวมถึงนำเสนอข่าวกรณี พล.อ.ดิเรก บงการ หัวหน้าศูนย์ประสานงานกับประเทศเพื่อนบ้าน ศูนย์ปฏิบัติการกองทัพบก พบปะและร่วมหารือกับ พล.อ.รองอาวุโสโซ วิน รองประธานสภาบริหารแห่งรัฐ (SAC) รอง ผบ.ทหารสูงสุด และ ผบ.ทบ.เมียนมา เมื่อ 21 ม.ค.ที่ผ่านมา  

ที่กองบัญชาการกองทัพบก พล.อ. พนา แคล้วปลอดทุกข์ ผู้บัญชาการทหารบก หารือร่วมกับ พล.ต.อ.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร จเรตำรวจแห่งชาติ/ผู้อำนวยการศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พร้อมด้วย พล.ต.ท.กิติศักดิ์ ดุรงควิบูลย์ ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 6 และคณะผู้แทนจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อหาแนวทางการป้องกันและแก้ไขปัญหาอาชญากรรมทางเทคโนโลยีในพื้นที่ชายแดน มุ่งเน้นการขับเคลื่อนความร่วมมือในระดับนโยบายและการปฏิบัติกับ กองกำลังป้องกันชายแดนกองทัพบก โดยที่ประชุมได้กำหนดมาตรการเพิ่มเติมในรายละเอียดของหน่วยงานในพื้นที่ชายแดน รวมถึงการใช้กลไกความร่วมมือระหว่างประเทศตามแนวชายแดน เพื่อสนับสนุนการดำเนินงาน ซึ่งกองทัพบกจะนำข้อมูลที่ได้จากการประชุมไปพิจารณากำหนดแนวทางดำเนินการ เพื่อเสนอต่อกระทรวงกลาโหมต่อไป.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ดักคอ‘ชิตตู’กุมความลับไทยเทา

เงื้อค้างหมายจับ “ชิตตู” เลื่อนพิจารณาไป 17 ก.พ. “โรม” ดักคอเป็นผู้กุมความลับโยงไทยเทา ตั้งข้อสังเกตรอให้ถ่ายเททรัพย์สินออกไปหมดหรือไม่