‘แม้ว’ จะไปอเมริกา รอดูสถานการณ์ขอศาลคุยทีมทรัมป์/ลั่น!ปรับครม.ทั้งทีต้องปรับใหญ่

“ทักษิณ” ยังคงเล่นบทนายกฯ ตัวจริง  ดูสถานการณ์ก่อน อาจขอศาลบินไปคุยเรื่องภาษีกับทีมทรัมป์ที่สหรัฐ ลั่นปรับ ครม. ไหนๆ จะปรับก็ต้องปรับทีเดียว ทุกพรรค ยันยังเก็บภูมิใจไทยไว้ แม้บางพรรคมีปัญหาบ้าง ส่วนพลังประชารัฐมีการพูดคุยกับเพื่อนเขา โวไม่กลัวศาลฎีกาฯ รับคดีชั้น 14 

เมื่อวันที่ 26 เมษายน 2568 นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี อดีตนักโทษคดีคอร์รัปชัน   กล่าวถึงความคืบหน้าการเจรจากำแพงภาษีสหรัฐอเมริกาว่า เรามีการพูดคุยกัน ซักซ้อมในเรื่องข้อห่วงใยของอเมริกาและของเราเองที่ไม่ได้ดูตัวเลขมานาน ก็กลายเป็นว่ามุ่งตัวเลข แต่ไม่ได้มุ่งคุณภาพของการนำเข้าและส่งออก ซึ่งตรงนี้ต้องมาปรับครั้งใหญ่ ก็ถือเป็นสัญญาณเตือนภัยที่ดีที่เราได้รับเที่ยวนี้ ทำให้เราต้องมานั่งปรับว่า บางประเทศเราขาดดุลเยอะเกินไปจะสามารถแก้ไขอย่างไร หรือประเทศที่เกินดุลมากเกินไปจะปรับอย่างไรให้มันแฟร์ ก็น่าจะดีขึ้น

ผู้สื่อข่าวถามว่า เหตุผลที่สหรัฐชะลอไทยเข้าเจรจาเพราะอะไร นายทักษิณกล่าวว่า สหรัฐวันนี้เขาต้องดีลกับหลายประเทศ และเขาก็มียุทธศาสตร์ว่าเอเชียเขาจะเอาอย่างไร โดยเฉพาะเขาห่วงใยเรื่องความใกล้ชิดกับจีน ก็จะมีผูกพัน นอกจากเรื่องภาษี ก็จะมีเรื่องที่ไม่ใช่ภาษีปนอยู่ด้วยในการเจรจา เพราะฉะนั้นเราต้องไม่ผลีผลาม ใจเย็นๆ ดูข้อมูลให้เหมาะ

เมื่อถามว่า นายกฯ เคยระบุว่าจะช่วยเจรจากับคนรอบข้างประธานาธิบดีทรัมป์ นายทักษิณตอบว่า เราก็พูดคุยกัน แต่บังเอิญว่าเดี๋ยวนี้เขาขอใช้ข้อมูลจากหลายหน่วยงานเข้ามาผสม ทั้งเรื่องของความมั่นคง เรื่องที่เรามีปัญหาการฟ้องร้องคนอเมริกันกันอยู่บ้าง ซึ่งถูกนำเอามารวมกันหมด เพราะฉะนั้นเราก็ต้องมีสติในการเจรจาให้ดี

ถามว่า ยังถึงขั้นที่จะขออนุญาตศาลออกไปพูดคุยกับทางประธานาธิบดีทรัมป์ใช่ไหม เขาเผยว่า ก็คงต้องดูเหตุการณ์ก่อน ส่วนใหญ่แล้วนายกฯ ไม่มีใครไป เพราะไม่ได้เป็นการเจรจากับตัวประธานาธิบดี เป็นการเจรจากับผู้แทนการค้าสหรัฐ (United States Trade Representative: USTR) บ้าง หรือกระทรวงพาณิชย์เขาบ้าง เพราะฉะนั้นเราจะใช้ระดับรัฐมนตรีไปเจรจา

นายทักษิณยังให้สัมภาษณ์ถึงกระแสข่าวการปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ต้องแล้วแต่นายกฯ เพียงแค่ทุกคนเอาเรื่องของการเมืองและการบริหาร โดยเฉพาะเรื่องงานบางอย่างที่ไม่ค่อยออก เพราะติดขัดอะไรก็คุยกับนายกฯ ซึ่งนายกฯ ก็กำลังคิดพิจารณาว่าจะทำแค่ไหนอย่างไร เป็นเรื่องของนายกฯ

ซักว่าเป็นไปได้หรือไม่ที่การปรับ ครม.จะปรับในส่วนของพรรคเพื่อไทยที่ทำได้ก่อน พ่อนายกฯ  ตอบว่า “ไหนๆ จะปรับ ก็ต้องปรับทีเดียว”

ไม่ได้คุยเรื่องงูเห่า

ต่อข้อถามว่า มองอย่างไรที่จะมีการปรับ ครม. โดยผลักให้พรรคภูมิใจไทยไปเป็นฝ่ายค้าน นายทักษิณยืนยันว่า “ไม่มี ยังไม่เคยคิดว่าจะให้ใครออกไปเป็นฝ่ายค้าน ไม่มีความคิดตรงนั้น”

สำหรับกระแสที่ออกมามองว่าเป็นการเมืองขย่มกันเองนั้น นายทักษิณกล่าวว่า ก็หลายพรรค บางครั้งเราก็ไม่รู้ เพราะแต่ละพรรคก็มีความคิดเห็นเป็นของตนเอง

ผู้สื่อข่าวถามถึงกระแสข่าวที่จะดึงพรรคพลังประชารัฐมาร่วมรัฐบาล มีแนวโน้มหรือไม่ อดีตนักโทษคดีคอร์รัปชันผู้นี้ตอบว่า พรรคพลังประชารัฐมีส่วนหนึ่งที่เขา มีการพูดคุยกับเพื่อนเขา เรายังไม่ได้คิดเรื่องที่จะดึงใครไม่ดึงใคร อย่างวันนี้ส่วนใหญ่รัฐบาลคงมองว่าที่มีอยู่ก็ดีอยู่แล้ว อาจจะปรับตำแหน่งมากกว่า

เมื่อถามว่า หากงูเห่าของพรรคพลังประชารัฐจะมาเราก็ไม่ได้ปิดทางใช่หรือไม่ นายทักษิณปฏิเสธว่า ไม่ทราบ ไม่ได้คุยเรื่องงูเห่าเลย ซึ่งก็คงไม่มีความจำเป็นอะไร เสียงรัฐบาลก็เยอะแยะ

นายทักษิณให้สัมภาษณ์กรณีนายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ อดีต สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ ยื่นศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองดำเนินการไต่สวนและออกหมายจับกรณีชั้น 14 ว่า ไม่ได้กังวลอะไร ทุกอย่างก็ว่าไปตามกระบวนการ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายทักษิณได้เดินทางไปจังหวัดเชียงใหม่ โดยมีนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี, นางเยาวภา ชินวัตร น้องสาว, นายพายัพ ชินวัตร น้องชาย, น.ส.ขัตติยา สวัสดิผล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย (พท.), นายดนุพร ปุณณกันต์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรค พท., นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี ร่วมเดินทางไปด้วย

โดยเมื่อเดินทางถึงท่าอากาศยานนานาชาติเชียงใหม่ มีประชาชนคนเสื้อแดงมารอให้การต้อนรับพร้อมชูป้าย “รดน้ำดำหัวนายกทักษิณ”, “สมาพันธ์คนเสื้อแดงจังหวัดเชียงราย” พร้อมถ่ายรูปด้วย หลังจากนั้นนายทักษิณไปรับประทานก๋วยเตี๋ยวเนื้อนครปฐมโอชา สันกำแพง

ขณะที่ วันที่ 27 เม.ย. เวลา 16.00 น. นายทักษิณจะขึ้นเวทีปราศรัยช่วยนายอัศนี บูรณุปกรณ์ ผู้สมัครนายกเทศมนตรีนครเชียงใหม่ ในนามพรรค พท. ที่ศูนย์ประชุมนานาชาติเอ็มเพรส ก่อนจะเดินทางกลับ กทม.ในเวลา 19.05 น.วันเดียวกัน

หลับไปทั้งแว่นเลยค่ะ

ด้าน น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี โพสต์สตอรีไอจีระบุว่า “ขอบพระคุณทุกท่านที่เป็นห่วงค่ะ ทั้งเรื่องสุขภาพ ซึ่งตอนนี้ดีขึ้นเยอะแล้ว หมอบอกว่า น่าจะมีภาวะที่ขาดน้ำ และอากาศร้อนมาก รวมทั้งพักผ่อนน้อย หายใจได้ไม่เต็มที่ค่ะ และทุกท่านที่ห่วงเรื่องแว่น เพลียมากหลับไปทั้งแว่นเลยค่ะ แต่ไม่แตกใดๆ นะคะ เพราะคุณปอเอาออกให้เรียบร้อยค่า @pidok_s ขอบคุณสามีมา ณ ที่นี้ค่ะ"

พล.ต.ท.ปิยะ ต๊ะวิชัย โฆษกพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) กล่าวถึงกรณีที่รัฐบาลโยนหินถามทางจะหาทางกู้เงิน 500,000 ล้านบาท โดยอ้างนโยบายภาษีของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ ว่าทีมนโยบายเศรษฐกิจ พปชร.ประกอบด้วย ดร.อุตตม สาวนายน อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง, นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน, นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และทีมงาน ได้เคยเตือนและแนะนำรัฐบาลด้วยความเป็นห่วง โดยเฉพาะการเตือนของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ที่ผ่านมา จนกระทั่ง IMF ได้ปรับลดประมาณการขยายตัวของเศรษฐกิจไทย (จีดีพี) ปี 2568 จาก 2.9% เหลือ 1.8% โดยมีประเทศไทยเป็นประเทศเดียวในกลุ่มอาเซียนที่ IMF ปรับลดคาดการณ์จีดีพีลงต่ำกว่าระดับ 2% ส่วนในปี 2569 จีดีพีอาจลดเหลือเพียง 1.6%

“การพยายามกู้เงินเป็นการขยายเพดานหนี้สาธารณะเป็น 75-80% สถานะหนี้สาธารณะล่าสุดของไทยอยู่ที่ 173.98 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็น 45.34% ของจีดีพี ซึ่งทางพรรคพลังประชารัฐเป็นห่วงในเรื่องความสามารถในการชำระหนี้คืนด้วย หากรัฐบาลใช้นโยบายเช่นนี้  จะมีปัญหาเรื่องความสามารถในการใช้เงินคืนและความเชื่อมั่นอย่างแน่นอน อีกทั้งรัฐบาลไม่ควรก่อหนี้สาธารณะ เพราะหนี้สาธารณะนั้นจะนำมาซึ่งความสูญเสียเสถียรภาพทางการคลังและการเงินของประเทศ ซึ่งท้ายที่สุดจะทำให้ประเทศเกิดวิกฤตการทางการเงินและทำให้หนี้สาธารณะที่ทุกคนต้องร่วมรับผิดชอบ ในภาพรวมสูงขึ้นโดยไม่จำเป็น เป็นการก่อภาระหนี้ให้ประชาชนต้องมาแบกรับภาระแทน"

เขากล่าวต่อว่า ดร.อุตตมเคยกล่าวไว้ว่า ปัจจุบันรายได้รัฐต่ำเพียง 14.87% ของ GDP ต่ำกว่าประเทศกำลังพัฒนาอื่นๆ เป็นอุปสรรคต่อรัฐบาลในการจัดงบประมาณให้เพียงพอ หากเกิดภาวะฉุกเฉินที่จำเป็นต้องใช้เงิน ล่าสุดสัดส่วนการขาดดุลงบประมาณอยู่ที่ 4.5% ของ GDP ซึ่งสูงกว่าระดับที่เหมาะสมสำหรับการรักษาเสถียรภาพทางการคลังที่ไม่ควรเกิน 3% และหากขาดดุลต่อเนื่องจะทำให้หนี้เพิ่มขึ้นเร็ว เสี่ยงผิดวินัยการคลัง และเสียความเชื่อมั่นจากนักลงทุน กรณีรัฐบาลจะกู้เงินเพื่อชดเชยการขาดดุล ปี 2568 ซึ่งได้ขอกู้ไปแล้ว 865,700 ล้านบาท เกือบแตะเพดานวงเงินกู้สูงสุดที่ 970,768 ล้านบาท หากเกิดภาวะฉุกเฉิน ช่องว่างในการกู้เพิ่มจะเหลือน้อยมาก ขณะเดียวกัน สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP ล่าสุดอยู่ที่ 64.21% และอาจแตะเพดาน 70%”

ตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ

พล.ต.ท.ปิยะเผยว่า ทีมเศรษฐกิจ พปชร.เห็นว่าการนำเงินงบประมาณซึ่งเป็นภาษีของประชาชนทั่วไป ไปใช้ในโครงการแจกเงิน 10,000 บาท จากเฟส 1 กลุ่มเปราะบาง 14.5 ล้านคน ใช้เงิน 145,000 ล้านบาท, เฟส 2 กลุ่มผู้สูงอายุ 3,000,000 คน ใช้เงิน 30,000 ล้านบาท และเฟส 3 กลุ่มเด็ก เยาวชน อายุ 16 ถึง 20 ปี จำนวน 2.7 ล้านคน จะต้องใช้เงินอีก 27,000 ล้านบาท รวม 3 เฟส ใช้เงินกว่า 2 แสนล้านบาท ทำให้สูญเสียงบประมาณโดยเปล่าประโยชน์เป็นจำนวนมาก  ตลอดจนโครงการซอฟต์พาวเวอร์ของรัฐบาลก็ใช้เงินจำนวนมาก แต่ไม่ก่อให้เกิดผลให้ชาวบ้านมีผลผลิตหรืออยู่ดีกินดีขึ้น แถมยังไปขอรับการสนับสนุนจากบริษัท Melco entertainment and resort จำกัด ซึ่งเป็นของนายลอว์เรนซ์ โฮ ลูกชายนายสแตนลีย์ โฮ เจ้าพ่อการพนันของมาเก๊า ซึ่งถูกจับตามองจากรัฐบาลออสเตรเลียและรัฐบาลจีน ทำให้โครงการซอฟต์พาวเวอร์ไม่เป็นที่นิยมจากชาวบ้านรากหญ้า เนื่องจากชาวบ้านส่วนใหญ่ไม่เอากาสิโน"

“การเอาเงินแจกชาวบ้านเปล่าๆ โดยไม่มีผลผลิต ไม่มีโครงการ ไม่มีการติดตามผลหรือเสริมสร้างศักยภาพในการแข่งขันแต่อย่างใด เป็นการเอาเงินงบประมาณของประเทศซึ่งเป็นภาษีอากร ของพวกเราทุกคนไปแจกเพื่อหาเสียงส่วนตัว และสร้างปัญหาหนี้สาธารณะให้ประชาชนแบกรับแทนพรรคเพื่อไทย ตลอดจนความสามารถของรัฐบาลในการแก้หนี้ครัวเรือนก็ไม่เป็นรูปธรรมชัดเจนหรือเกิดผลในภาพรวม ผมเชื่อว่ารัฐบาลคงพยายามโยนหินถามทาง แต่สุดท้ายคงจบลงที่ปรับเกลี่ยงบประมาณ โดยเฉพาะงบกระตุ้นเศรษฐกิจปี 2568 ที่ยังเหลือ 150,000 ล้านบาท และใช้เงินจากสถาบันการเงินในประเทศแทน การใช้เงินกู้ต่างประเทศ หรือกองทุน IMF เพราะกลัวว่าหากต้องขอความเห็นชอบจากสภา จะไม่ผ่านการให้ความเห็นชอบ"

ส่วนกรณีกระแสข่าวว่าพรรค พปชร.จะเข้าร่วมรัฐบาลหรือไม่นั้น พล.ต.ท.ปิยะกล่าวว่า เรื่องนี้คงต้องเป็นอำนาจการตัดสินใจของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ และคณะกรรมการบริหารพรรค แต่โดยส่วนตัวเชื่อว่าท่าน หัวหน้าพรรคยืนยันชัดเจนหลายครั้งว่าจะไม่เข้าร่วมอย่างแน่นอน ดังนั้น พรรคเพื่อไทยคงจะต้องทนอยู่กับพรรคภูมิใจไทยแบบหวานอมขมกลืน อยากจะเอาออก แต่ก็กลัว สว.และรวมไทยสร้างชาติบางส่วนจะออกตามด้วย คงต้องทนเป็นเบี้ยล่างต่อไป ทั้งๆ ที่พยายามทำตัวว่าเป็นต่อ แต่แท้ที่จริงแล้วใครถือไพ่เหนือกว่าใครกันแน่.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง