กนง.หั่นดอกเบี้ย/เฮค่าไฟ3.98บาท

“กนง.” เสียงแตก มีมติ 5 ต่อ 2 ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีก 0.25% เหลือ 1.75% ประเมินเศรษฐกิจไทยแนวโน้มขยายตัวลดลง หวั่นสงครามการค้าโลกยืดเยื้อ หุ้นพุ่ง 26.14 จุด เด้งรับทันที "กกพ." ประกาศข่าวดีลดค่าไฟฟ้างวดใหม่ พ.ค.- ส.ค. เหลือ 3.98 บาท/หน่วย ดึงเงินคลอว์แบ็ก 1.22 หมื่นล้านอุดหนุน

เมื่อวันที่ 30 เมษายน นายสักกะภพ พันธ์ยานุกูล ผู้ช่วยผู้ว่าการสายนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย ในฐานะเลขานุการคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการ กนง.มีมติ 5 ต่อ 2 เสียง ให้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% จากระดับ 2.00% เหลือ 1.75% เนื่องจากประเมินว่าเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวลดลง และมีความเสี่ยงด้านต่ำเพิ่มขึ้นจากนโยบายการค้าโลกและจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยมองไปข้างหน้า นโยบายการค้าจะเริ่มส่งผลกระทบมากขึ้นตั้งแต่ช่วงครึ่งหลังของปี 2568

ทั้งนี้ มีการประเมินว่า กรณีการเจรจาการค้ากับสหรัฐอเมริกามีความยืดเยื้อและภาษีนำเข้าใกล้เคียงกับอัตราปัจจุบัน อาจทำให้ตัวเลขเศรษฐกิจของไทยในปีนี้ขยายตัวได้ 2% แต่หากสงครามการค้ารุนแรงและภาษีนำเข้าอยู่ในอัตราสูง อาจทำให้จีดีพีในปี 2568 ขยายตัวที่ 1.3% จากคาดการณ์ในปัจจุบันที่ 2.9% สำหรับการปรับลดดอกเบี้ยลงต่อเนื่อง 2 ครั้ง (26 ก.พ.และ 30 เม.ย.) ยังไม่อาจเรียกว่าเข้าสู่ช่วงดอกเบี้ยขาลงได้ เพราะการจะเข้าสู่ช่วงดอกเบี้ยขาลง จะต้องเห็นแนวโน้มเศรษฐกิจลดลงอย่างรุนแรงอย่างต่อเนื่อง เหมือนเช่นในช่วงโควิด ซึ่งขณะนั้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายลดลงไปต่ำสุดเหลือ 0.50%

"การปรับลดดอกเบี้ยลงครั้งหนึ่ง ก็ช่วยให้สอดรับกับแนวโน้มสถานการณ์ข้างหน้าได้ในระดับหนึ่ง แต่บนความไม่แน่นอนที่มีสูงมาก คงต้องติดตามว่าสุดท้ายแล้ว ไทยจะโดนสหรัฐเรียกเก็บภาษีในอัตราเท่าไร ซึ่งคงจะชัดเจนมากขึ้นเมื่อครบระยะเวลาผ่อนผัน 90 วัน" นายสักกะภพระบุ

ทั้งนี้ จาก 2 ฉากทัศน์เศรษฐกิจไทยปี 2568 ที่ กนง.มองว่ามีโอกาสจะเกิดขึ้นได้ 70-80% นั้น เป็นการประเมินสถานการณ์ในระยะข้างหน้าว่าเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มแย่ลง และมีความเสี่ยง ดังนั้นจุดยืนนโยบายการเงินจะต้องทำให้ผ่อนคลาย และช่วยเอื้ออำนวยต่อสถานการณ์เศรษฐกิจมากขึ้น โดยกรณีที่ 1 Reference Scenario (Lower Tariff) หรือการเจรจายืดเยื้อและล่าช้า โดยมองว่าสถานการณ์จะมีความไม่แน่นอนสูงอย่างน้อยจนถึงปี 2569 ทำให้ประเมินว่าจีดีพีไทยในปีนี้จะขยายตัวได้ 2% และปี 2569 ที่ 1.8% ด้านการส่งออกปีนี้คาดว่าจะขยายตัวได้ 0.8% และปี 2569 คาดว่าจะติดลบ 2.8% การนำเข้าปีนี้คาดว่าจะอยู่ที่ 1% และปี 2569 คาดติดลบ 0.8% ขณะที่อัตราเงินเฟ้อทั่วไปในปี 2568 คาดอยู่ที่ 0.5% และปี 2569 อยู่ที่ 0.8%

กรณีที่ 2 Alternative Scenario (Higher Tariff) คือ ทุกประเทศเจรจาลดภาษีได้ครึ่งหนึ่งของ Reciprocal Tariff ตั้งแต่ไตรมาส 3/2568 และเศรษฐกิจสหรัฐมีแนวโน้มเข้า Technical Recession ในปีนี้ ประเมินว่ากรณีดังกล่าวจะทำให้จีดีพีของไทยในปีนี้ขยายตัวที่ 1.3% และปี 2569 ที่ 1% ขณะที่การส่งออกปีนี้จะติดลบ 1.3% และปี 2569 ติดลบ 7% การนำเข้าปีนี้คาดติดลบ 0.8% และปีหน้าติดลบ 5.7% ส่วนอัตราเงินเฟ้อปีนี้คาดว่าจะอยู่ที่ 0.2% และปี 2569 อยู่ที่ 0.4% ส่วนเงินเฟ้อพื้นฐานในปีนี้และปีหน้า คาดอยู่ที่ 0.7%

นายสักกะภพกล่าวว่า นิยามของคำว่า "เศรษฐกิจถดถอยเชิงเทคนิค" คือการเติบโตทางเศรษฐกิจเมื่อเทียบรายไตรมาสต่อไตรมาส ติดลบต่อเนื่องกัน 2 ไตรมาส ซึ่งขณะนี้จากเศรษฐกิจไทยในฉากทัศน์ที่ 1 ยังไม่เห็นโอกาสที่จะเกิดภาพเช่นนั้น แต่ฉากทัศน์ที่ 2 อาจจะมีความเสี่ยงเพิ่มมากขึ้น

ส่วนกรณีมูดี้ส์ปรับลดแนวโน้มอันดับความน่าเชื่อถือของไทย สู่ระดับ "เชิงลบ" จากเดิมที่ระดับ "เสถียรภาพ" นั้น นายสักกะภพให้ความเห็นว่า มูดี้ส์มองว่าเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มฟื้นตัวช้า รวมทั้งภาระหนี้ภาครัฐที่เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่เราจะต้องให้น้ำหนักในแง่ของการทำนโยบายที่มองไปข้างหน้าจะเป็นอย่างไร ทั้งนี้ มาตรการที่เหมาะสมคือ การลงทุนของภาครัฐที่จะเข้ามาช่วยชดเชยการลงทุนของภาคเอกชน ซึ่งต้องเป็นนโยบายที่ช่วยสร้างรายได้ในระยะยาว ไม่ใช่เรื่องการกระตุ้น คงไม่ต่างจากความเห็นที่มูดี้ส์ให้ไว้

ผู้สื่อข่าวรายงานความเคลื่อนไหวตลาดหุ้นไทย ดัชนีปิดตลาดที่ระดับ 1,197.26 จุด เพิ่มขึ้น 26.14 จุด หรือเปลี่ยนแปลง 2.23% โดยมีมูลค่าการซื้อขายทั้งสิ้น 54,369.45 ล้านบาท โดยนักวิเคราะห์มองว่าการลดอัตราดอกเบี้ยเป็นปัจจัยบวกสำคัญ

วันเดียวกัน นายพูลพัฒน์ ลีสมบัติไพบูลย์ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ในฐานะโฆษก กกพ. เปิดเผยภายหลังการประชุมว่า ที่ประชุมมีมติปรับลดอัตราค่าไฟฟ้าที่เรียกเก็บกับประชาชนในงวด พ.ค.-ส.ค.2568 อยู่ที่ 3.98 บาทต่อหน่วย จากที่มติคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้มีการกำหนดให้มีการปรับอัตราค่าไฟเหลือ 3.99 บาทต่อหน่วย โดยเป็นการใช้เงินจากอัตราเรียกคืนผลประโยชน์ส่วนเกิน (คลอว์แบ็ก) 12,200 ล้านบาท ที่เป็นเงินเรียกเก็บจาก 3 การไฟฟ้า จากการประมาณการไว้ว่าจะมีการลงทุน แต่ไม่เป็นไปตามกำหนด จึงมีการเรียกคืนเงินมารวมทั้งสิ้น 20,000 ล้านบาท ซึ่ง กกพ.มีการตรวจสอบและทบทวนแล้วเห็นตัวเลขที่ชัดเจนหลังจากที่มีการประกาศค่าไฟ 4.15 บาทต่อหน่วยแล้ว

"จำนวนเงินคลอว์แบ็ก 12,200 ล้านบาท ตีเป็นค่าไฟจะเท่ากับ 0.17 บาทต่อหน่วย เมื่อนำไปหักกับค่าไฟเดิมที่เรียกเก็บกับประชาชน 4.15 บาทต่อหน่วย จะเท่ากับ 3.98 บาทต่อหน่วย โดยอยู่ภายใต้สมมติฐานต้นทุนเดิมทั้งค่าเชื้อเพลิง และอัตราแลกเปลี่ยน ซึ่งเชื่อว่าจะสามารถเข้ามาช่วยเหลือประชาชนได้ในช่วงนี้ โดยการใช้เงินดังกล่าวเป็นไปตามมาตรา 3 (2) ที่ระบุว่า หากมีเงินส่วนเกินที่ กกพ.ตรวจพบ สามารถนำเงินส่วนนี้มาลดค่าไฟให้เป็นประโยชน์ในวงกว้างได้ ซึ่งถือว่าช่วงนี้อยู่ในช่วงวิกฤตจากสถานการณ์บีบคั้นทางเศรษฐกิจ และนโยบายของทรัมป์ ก่อนหน้านี้ก็เคยใช้เงินในส่วนนี้เข้ามาดูแลค่าไฟช่วงโควิด-19 เช่นกัน" นายพูลพัฒน์ระบุ

อย่างไรก็ตาม เงินในส่วนคลอว์แบ็กยังเหลืออีกประมาณ 8,000 ล้านบาท ที่สามารถนำไปใช้ในอนาคตได้ หากเกิดเหตุการณ์วิกฤตข้างหน้าเพื่อช่วยดูแลพี่น้องประชาชน ซึ่งถือว่าการลดค่าไฟในรอบนี้เป็นการลดค่าไฟรอบที่ต่ำที่สุดตั้งแต่ช่วงนายกรัฐมนตรี นายเศรษฐา ทวีสิน โดยการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ยังได้รับการจ่ายหนี้คืนเท่าเดิมที่ 20.33 สตางค์ คิดเป็นประมาณ 14,000-15,000 พันล้านบาท ซึ่งปัจจุบัน กฟผ. ยังคงค้างหนี้อยู่ประมาณ 71,000 ล้านบาท ขณะที่งวดปลายปีจะต้องมีการติดตามสถานการณ์อื่นๆ อย่างใกล้ชิด.       

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ลาก‘ภท.’เอี่ยวฮั้วสว. ปูด10ชื่อทั้งรมช.พณ.-อดีตสส./สีน้ำเงินชงคุ้ยตัวสำรองด้วย

สภาสูงเรียงหน้าเข้ารับทราบข้อหาจาก กกต.คดีฮั้ว ลั่นไร้กังวลพร้อมชี้แจง “สิทธิกร” ข้องใจดีเอสไอ ต่อไปการเลือกตั้งทุกแบบมีอำนาจตรวจสอบ