โชว์‘คนละครึ่ง’กระตุ้นศก. พท.ขย่มมีคนจนเยอะขึ้น

คลังโต้ดรามา “คนละครึ่ง”     ยันกระตุ้นเศรษฐกิจได้จริง พร้อมงัดตัวเลขโชว์อัดฉีดเงินเข้าระบบแล้ว 3.26 แสนล้านบาท แจงไม่ใช่โครงการแจกเงิน "เพื่อไทย" เล่นบทศรีธนญชัย แจกเยอะแสดงว่ามีคนจนเยอะขึ้น สะท้อนการบริหารประเทศของรัฐบาล เศรษฐกิจทรุด แต่ทุจริตเฟื่องฟู รีดภาษีประชาชน

เมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2565 นายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง กล่าวชี้แจงกรณีที่มีการตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับการเริ่มต้นใช้โครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 2 ที่ระบุว่า โครงการดังกล่าวไม่สามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้จริง เพราะผู้มีรายได้น้อยไม่มีเงินเพียงพอที่จะเติมเงินเข้าไปในแอปพลิเคชันเป๋าตัง ทำให้นโยบายนี้ไม่ได้ผลเท่าที่ควร รวมถึงประเทศไทยไม่ใช่ประเทศที่มีรายได้สูง การแจกเงินโดยไม่สร้างรากฐานทางเศรษฐกิจจะไม่ช่วยให้ประเทศไทยมีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน พร้อมทั้งเสนอให้รัฐบาลเลิกแจกเงินแล้วเปลี่ยนมาเน้นการจ้างงาน ให้คนเข้าถึงแหล่งทุน เพื่อนำไปสู่การฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศอย่างยั่งยืน ว่า โครงการคนละครึ่งเริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ปลายปี 2563 มีวัตถุประสงค์เพื่อฟื้นฟูและกระตุ้นเศรษฐกิจจนถึงระดับฐานราก

โดยการที่รัฐบาลเข้าไปช่วยสนับสนุนลดภาระค่าใช้จ่ายของประชาชนในส่วนของค่าอาหาร เครื่องดื่ม สินค้าทั่วไป และบริการ วันละไม่เกิน 150 บาทต่อคนต่อวันนั้น ไม่ได้มีลักษณะของการแจกเงิน แต่เป็นการสนับสนุนให้ประชาชนส่งต่อกำลังซื้อไปยังผู้ประกอบการรายย่อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มหาบเร่แผงลอย ให้สามารถมีรายได้จากการขายสินค้าและการให้บริการได้อย่างต่อเนื่อง ในภาวะที่เศรษฐกิจถูกกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 เป็นวงกว้าง

ทั้งนี้ ที่ผ่านมามีร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการคนละครึ่งมากกว่า 1.3 ล้านร้านค้า และประชาชนมากกว่า 26 ล้านคน ได้ร่วมใช้สิทธิภายใต้โครงการ จึงกล่าวได้ว่า โครงการคนละครึ่งประสบความสำเร็จตามวัตถุประสงค์ สามารถเพิ่มเม็ดเงินจำนวนประมาณ 326,000 ล้านบาท เป็นรายได้ให้แก่ผู้ประกอบการรายย่อยในโครงการ ทั้งยังหมุนเวียนต่อเนื่องไปช่วยขับเคลื่อนกิจกรรมทางเศรษฐกิจ การค้า การผลิต และการจ้างงานที่เกี่ยวเนื่องตลอดทั้งห่วงโซ่อุปทานได้จนถึงปัจจุบันด้วย

 “สำหรับโครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 4 ซึ่งได้เริ่มใช้จ่ายแล้วเมื่อ 1 ก.พ. และจะสิ้นสุดในวันที่ 30 เม.ย.2565 นั้น จะสามารถเพิ่มเม็ดเงินที่เข้าไปหมุนเวียนกระตุ้นเศรษฐกิจในลักษณะเดียวกันได้อีกประมาณ 6.96 หมื่นล้านบาท และโดยวันแรกเพียงวันเดียว มีการใช้จ่ายในโครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 4 จำนวน 1,155 ล้านบาท เป็นเงินของประชาชน 585 ล้านบาท และเป็นเงินที่รัฐบาลสนับสนุน 570 ล้านบาท” นายพรชัยระบุ

นอกจากการลดภาระการใช้จ่ายของประชาชนผ่านโครงการคนละครึ่งดังกล่าวแล้ว กระทรวงการคลังยังได้ดำเนินโครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และโครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษควบคู่กันไปด้วย เพื่อดูแลและบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายให้กับผู้มีรายได้น้อย ผู้สูงอายุ ผู้พิการ รวมถึงผู้ไม่มี โทรศัพท์แบบสมาร์ทโฟนให้ได้อย่างทั่วถึงมากที่สุด

ทั้งนี้ โครงการคนละครึ่งถือเป็นเพียงส่วนหนึ่งของชุดมาตรการที่รัฐบาลใช้ดูแลเศรษฐกิจและสังคมจากผลกระทบของสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 หน่วยงานที่เกี่ยวข้องยังคงให้ความสำคัญและดำเนินการเพื่อเตรียมการสำหรับการฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมภายหลังสถานการณ์โควิด-19 ซึ่งรวมถึงมาตรการที่สนับสนุนการจ้างงานและการช่วยให้ภาคธุรกิจและประชาชนเข้าถึงแหล่งเงินทุนของสถาบันการเงินเฉพาะกิจต่างๆ  และยังมีการใช้จ่ายเพื่อปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่จะเป็นการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ และสนับสนุนการเติบโตที่ยั่งยืน

น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า จากที่รัฐบาลได้มีโครงการเราเที่ยวด้วยกัน เฟส 4 ตั้งแต่วันที่ 1 ก.พ.ที่ผ่านมา เว็บไซต์ www.เราเที่ยวด้วยกัน.com ได้เปิดระบบให้ประชาชนที่ยังไม่เคยลงทะเบียนในโครงการเราเที่ยวด้วยกันตั้งแต่เฟสที่ 1-3 ได้ลงทะเบียนเพื่อรับสิทธิแล้ว โดยระบบได้เปิดให้ลงทะเบียนในเวลา 06.00-21.00 น. ของทุกวัน ส่วนผู้ที่เคยลงทะเบียนในเฟสที่ผ่านๆ มาแล้วไม่ต้องลงทะเบียนใหม่ แต่สามารถกดรับหลักเกณฑ์และเงื่อนไขบนแอปพลิเคชันเป๋าตัง เพื่อรับสิทธิในเฟส 4 จํานวน 10 สิทธิ และเริ่มใช้สิทธิในการจองห้องพักได้เลย  

 “ข้อมูลจากเว็บไซต์เราเที่ยวด้วยวกัน.com ระบุว่าเพียง 2 วันแรกหลังเปิดให้เริ่มใช้สิทธิของเฟส 4 มีผู้ใช้สิทธิจองห้องพักแล้วเกินกว่า 1 แสนสิทธิ จากที่รัฐบาลให้ทั้งหมด 2 ล้านสิทธิ ซึ่งนับว่ากระแสการตอบรับโครงการดีมาก โดยทางการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยก็ได้ประเมินว่าโครงการนี้จะช่วยให้การท่องเที่ยวในประเทศในครึ่งแรกของปีจะมีพัฒนาการที่ดีขึ้นโดยต่อเนื่อง” น.ส.ไตรศุลีกล่าว 

นายชนินทร์ รุ่งธนเกียรติ รองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีรัฐบาลเตรียมเปิดลงทะเบียนผู้ได้รับบัตรสวัสดิการแห่งรัฐหรือบัตรคนจนรอบใหม่ โดยตั้งเป้ามีคนจนผ่านการคัดกรองเข้าเกณฑ์ได้รับสิทธิ์เพิ่มขึ้นจากเดิม 14.6 ล้านคนในปี 2564 เป็น 17 ล้านคน แสดงให้เห็นว่าในปี 2565 จะมีคนจนเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 2.4 ล้านคน ทั้งยังเพิ่มเงินช่วยเหลือในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐอีกเดือนละ 200 บาท อีก 3 เดือน สะท้อนให้เห็นว่ารัฐบาลยอมรับสภาพว่าภายใต้การบริหารงานของ พล.อ.ประยุทธ์ ไม่ทำให้คนจนหมดประเทศตามที่รัฐบาลได้เคยกล่าวเอาไว้แล้วก่อนหน้านี้แล้ว

 “พล.อ.ประยุทธ์บริหารประเทศจนเศรษฐกิจทรุด แต่ทุจริตเฟื่องฟู แล้วรีดภาษีประชาชนมาใช้จ่ายแบบสุรุ่ยสุร่าย บั่นทอนโครงสร้างเศรษฐกิจประเทศอย่างถาวร จนคนยากจนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ หากอยู่บริหารต่อไปมีหวังได้จนทั้งแผ่นดินแน่” นายชนินทร์กล่าว.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง