ผู้นำยูเครนยันไม่หนี/รัสเซียยิงมิสไซล์ถล่มกรุงเคียฟ เด็กเป็นเหยื่อสงคราม

ทหารยูเครนสู้ยิบตาปกป้องเมืองหลวง แต่กองทัพรัสเซียเผยยึดเมลิโตโปลในภาคตะวันออกเฉียงใต้ได้แล้ว 1 เมืองเมื่อวันเสาร์ เดินหน้าระดมยิงมิสไซล์ครูซและปืนใหญ่ถล่มฐานที่มั่นทางทหารในหลายเมืองรวมถึงกรุงเคียฟ   "โวโลดิมีร์ เซเลนสกี" ยืนยันไม่หนีไปไหน อียูและสหรัฐคว่ำบาตร "วลาดิมีร์ ปูติน" และรัฐมนตรีรัสเซียหลายราย ขณะที่กระทรวงการต่างประเทศเร่งอพยพคนไทย

รายงานเอเอฟพีและรอยเตอร์เมื่อวันเสาร์ที่ 26 กุมภาพันธ์ 2565 เปิดเผยว่า การสู้รบระหว่างทหารรัสเซียและทหารยูเครนในวันที่ 3 นับแต่ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ออกคำสั่งให้เปิดปฏิบัติการทางทหารในยูเครน รุกคืบมาถึงกรุงเคียฟเมืองหลวงของยูเครนแล้ว ประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกี ของยูเครน กล่าวเตือนเมื่อวันศุกร์ว่า ทหารรัสเซียจะพยายามยึดกรุงเคียฟให้ได้ก่อนรุ่งเช้าวันเสาร์

เซเลนสกีกล่าวเตือนประชาชนว่า โปรดให้ความสนใจเคียฟเป็นพิเศษ เราไม่อาจสูญเสียเมืองหลวง ค่ำคืนนี้ต้องหันมาพึ่งผู้พิทักษ์ ทั้งชายและหญิง จากทุกแนวหน้า เพราะข้าศึกจะใช้สรรพกำลังทั้งหมดเพื่อทำลายการป้องกันของเราอย่างโหดร้ายไร้มนุษยธรรม

ก่อนหน้านั้น กระทรวงกลาโหมยูเครนเรียกร้องให้ประชาชนทำระเบิดขวดและช่วยกันต่อต้านศัตรู รัฐบาลยังได้แจกจ่ายอาวุธปืนรวมถึงปืนไรเฟิลจู่โจม 18,000 กระบอก ให้แก่พลเรือนที่อาสาต่อสู้กับทหารรัสเซียด้วย

เจ้าหน้าที่ยูเครนกล่าวกันว่า กองทัพรัสเซียยิงมิสไซล์ครูซจากทะเลดำโจมตีเมืองมาริอูโปล, เมืองซูมีในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และเมืองโปลตาวาในภาคตะวันออก ส่วนในกรุงเคียฟ มีรายงานว่ามิสไซล์ลูกหนึ่งโจมตีอาคารที่พักอาศัยหลังหนึ่ง รอยเตอร์อ้างผู้เห็นเหตุการณ์ว่ามีมิสไซล์อีก 1 ลูกโจมตีใกล้สนามบิน ยังไม่มีรายงานคนบาดเจ็บล้มตาย นอกจากนี้ยังมีเสียงปืนดังใกล้กับอาคารที่ทำการรัฐบาลใจกลางกรุง

ส่วนผู้สื่อข่าวเอเอฟพีรายงานว่า มีเสียงระเบิดดังสนั่นหลายลูกใจกลางกรุงเคียฟเมื่อเช้าตรู่วันเสาร์ บริการสื่อสารพิเศษของทางการยูเครนเผยทางเทเลแกรมเมื่อเวลา 10.30 น.วันเสาร์ตามเวลาไทยว่า การต่อสู้หนักหน่วงยังดำเนินอยู่

กองทัพยูเครนเปิดเผยก่อนหน้านั้นด้วยว่า รัสเซียโจมตีหน่วยทหารยูเครนหน่วยหนึ่งที่ถนนวิกตอรีในกรุงเคียฟ แต่การโจมตีถูกขับไล่ออกไป และยังมีรายงานเหตุการณ์ในฝั่งตะวันตกเฉียงเหนือของเคียฟด้วย

ต่อมา เซเลนสกีถ่ายวิดีโอตัวเขาเองยืนอยู่ด้านนอกสำนักงานของเขาในกรุงเคียฟ ประกาศข้อความว่า เขาจะอยู่ที่นี่ไม่ไปไหน และจะปกป้องเมืองหลวงแห่งนี้ เราจะไม่วางอาวุธ เราจะปกป้องอิสรภาพของเรา ปกป้องประเทศของเรา 

ผู้นำยูเครน ซึ่งเพิ่งตัดพ้อว่าโลกตะวันตกปล่อยให้ยูเครนต่อสู้เพียงลำพัง เผยว่า เขาได้พูดคุยกับผู้นำหลายคน รวมถึงประธานาธิบดีเอมมานูเอล มาครง ของฝรั่งเศส, นายกฯ โอลาฟ ชอลซ์ ของเยอรมนี และประธานาธิบดีโจ ไบเดน ของสหรัฐ และมีความเห็นพ้องกันว่าจะส่งความช่วยเหลือและความสนับสนุนเพิ่มเติมแก่ยูเครน

เมื่อวันศุกร์ ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน แถลงทางโทรทัศน์โจมตีรัฐบาลยูเครนว่าเป็น "ผู้ก่อการร้าย" และ "แก๊งติดยาและนาซีใหม่" พร้อมกับยุยงให้ทหารยูเครน "ยึดอำนาจไว้ในมือ"

ขณะเดียวกัน กระทรวงกลาโหมยูเครนกล่าวเมื่อวันศุกร์ว่า สามารถยิงอากาศยานของรัสเซียตก 2 ลำใกล้กับพื้นที่ของกบฏแบ่งแยกดินแดนในภาคตะวันออก ลำหนึ่งเป็นเฮลิคอปเตอร์ ซู-25 และเครื่องบินทิ้งระเบิด ข้อความทางเฟซบุ๊กของกระทรวงทางการว่า เครื่องบินลำเลียงของรัสเซียลำหนึ่งโดนสอยร่วงใกล้กับเมืองวาซิลคิฟ ที่อยู่ห่างจากเคียฟทางตะวันตกเฉียงใต้ราว 30 กม.

ยูเครนโวยรัสเซียฆ่าเด็ก

คำแถลงยังกล่าวถึงการปะทะและเสียงระเบิดในเมืองโอโบลอนสกีทางเหนือของเคียฟ และการปะทะกับหน่วยยานหุ้มเกราะรัสเซีย 2 จุดห่างจากเคียฟทางเหนือ 40-80 กม.

กระทรวงกลาโหมยูเครนอ้างด้วยว่า มีทหารรัสเซียถูกฆ่าตายแล้ว 2,800 คน แต่คำแถลงไม่ได้แสดงหลักฐานใดๆ เพื่อพิสูจน์คำกล่าวอ้างนี้

กองทัพรัสเซียยังไม่รายงานความสูญเสียของฝ่ายตน ในคำแถลงเมื่อวันเสาร์ อีกอร์ โคนาเชนคอฟ โฆษกกระทรวงกลาโหมรัสเซีย กล่าวว่า กองทัพพุ่งเป้าโจมตีฐานที่ตั้งทางทหารของยูเครนเมื่อคืนวันศุกร์ โดยใช้มิสไซล์ครูซที่ยิงจากอากาศและทะเล เขายังอ้างด้วยว่ารัสเซียพุ่งเป้าโจมตีเป้าหมายทางทหารโดยไม่ได้สร้างความเสียหายต่อโครงสร้างทางสังคมและที่พักอาศัย ทั้งที่หลักฐานในพื้นที่เผยให้เห็นความเสียหายของอาคารที่พักอาศัยหลายแห่ง

โคนาเชนคอฟยังกล่าวด้วยว่า ทหารรัสเซียสามารถควบคุมเมืองเมลิโตโปลในภาคตะวันออกเฉียงใต้ได้อย่างเบ็ดเสร็จแล้ว ทหารรัสเซียกำลังใช้มาตรการทุกอย่างเพื่อให้แน่ใจในความปลอดภัยของพลเรือน และขจัดการยั่วยุจากพวกชาตินิยมและหน่วยปฏิบัติการพิเศษของยูเครน

คำแถลงอ้างว่า กองทัพรัสเซียทำลายฐานที่ตั้งทางทหารในยูเครนได้แล้วมากกว่า 820 แห่ง รวมถึงสนามบิน 14 แห่ง, สถานีเรดาร์ 48 แห่ง และระบบมิสไซล์ต่อต้านอากาศยาน เอส-300 และโอซา อีก 24 หน่วย กองทัพยังยิงเครื่องบินขับไล่ยูเครนตก 7 ลำ, เฮลิคอปเตอร์ 7 ลำ และโดรน 9 ลำ นอกจากนี้มีรถถังและรถหุ้มเกราะ 87 คันถูกทำลาย ส่วนกองทัพเรือทำลายเรือทหารรัสเซียได้ 8 ลำ โฆษกรัสเซียไม่ได้ให้รายละเอียดว่าสูญเสียทหารในการสู้รบจำนวนเท่าใด

ในวันเสาร์ มีรายงานจากวิกตอร์ ลีอาชโก รัฐมนตรีสาธารณสุขของยูเครนว่า ปฏิบัติการของยูเครนสังหารชีวิตพลเรือนแล้ว 198 คน รวมถึงเด็ก 3 คน และมีคนบาดเจ็บ 1,115 คน เป็นเด็กด้วย 33 คน

วันศุกร์ที่ผ่านมา รัฐบาลสหรัฐ, แคนาดา, อังกฤษ และสหภาพยุโรป ประกาศมาตรการคว่ำบาตรรัสเซียเพิ่มเติม โดยคราวนี้พุ่งเป้าเล่นงานประธานาธิบดีปูตินและรัฐมนตรีระดับสูงหลายคน รวมถึงเซอร์เกย์ ลัฟรอฟ รัฐมนตรีต่างประเทศ และเซอร์เกย์ ชอยกู รัฐมนตรีกลาโหม ซึ่งจะทำให้ทรัพย์สินของบุคคลเหล่านี้ถูกอายัด โดยสหรัฐยังห้ามพวกเขาเดินทางเข้าสหรัฐด้วย

ที่คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติในนครนิวยอร์ก รัสเซียใช้สิทธิสมาชิกถาวรยับยั้งร่างข้อมติตำหนิการรุกรานของรัสเซีย "ด้วยถ้อยคำที่รุนแรงที่สุด" โดยจีน, อินเดีย และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ งดออกเสียง สมาชิกอีก 11 ชาติที่เหลือสนับสนุน

อย่างไรก็ดี มีสัญญาณจากรัสเซียและยูเครนถึงข้อเสนอจัดการเจรจาหลังจากยูเครนแสดงความสนใจที่จะเจรจาหารือเกี่ยวกับการประกาศสถานะประเทศเป็นกลาง โดยเสนอให้ประชุมกันที่กรุงวอร์ซอของโปแลนด์ แต่รัสเซียอยากพูดคุยที่กรุงมินสค์ของเบลารุสที่เป็นพันธมิตรของรัสเซีย และทำให้การหาทางออกผ่านการเจรจายังไม่คืบหน้า

ขณะเดียวกัน กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐคัดค้านการเจรจาอย่างทันควัน เน็ด ไพรซ์ โฆษกกระทรวงกล่าวที่กรุงวอชิงตันว่า รัสเซียพยายามใช้การทูตที่ปลายกระบอกปืน ซึ่งไม่ใช่การทูตที่แท้จริง กองทัพของปูตินต้องหยุดถล่มยูเครนก่อน หากพวกเขาจริงจังกับการเจรจา

เร่งอพยพคนไทย

เพจเฟซบุ๊ก “Royal Thai Embassy, Warsaw, Poland” ของสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงวอร์ซอ ประเทศโปแลนด์ ซึ่งมีเขตอาณาดูแลประเทศยูเครนด้วย เปิดเผยความคืบหน้าการช่วยเหลือคนไทยในประเทศยูเครนว่า คณะเจ้าหน้าที่จากสถานเอกอัครราชทูตจำนวน 3 คน ได้เดินทางจากกรุงวอร์ซอไปถึงเมืองลวิฟ (Lviv) ของยูเครนแล้วเมื่อช่วงเย็นวันที่ 25 ก.พ.ที่ผ่านมา พร้อมกับจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือคนไทยในยูเครนเรียบร้อยแล้ว (หมายเลขโทรศัพท์ +38 068 061 1879) และตอนนี้มีคนไทย 10 คนพร้อมคู่สมรสชาวยูเครน ได้เดินทางเข้ามาพักที่ศูนย์ปฏิบัติการฯ แล้ว และมีคนไทยอีกประมาณ 20-30 คน แจ้งว่ากำลังเดินทางจากเมืองต่างๆ ในยูเครน ด้วยรถยนต์ส่วนตัวหรือรถไฟมายังเมืองลวิฟ

ขณะที่สถานการณ์ของกรุงเคียฟและเมืองหลักต่างๆ ของยูเครนมีความเสี่ยงและอันตรายมากขึ้นเป็นลำดับ ทำให้ทางการยูเครนประกาศให้ประชาชนอยู่ในที่ตั้ง และหลีกเลี่ยงการเดินทางออกจากที่พัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวลากลางคืน (หลังเวลา 22.00-07.00 น.) ทำให้ยังมีคนไทยในเมืองต่างๆ เช่น กรุงเคียฟ เมืองคาคีฟ (Kharkiv) เมือง Mykolaiv (มิกโคลาอีฟ) ฯลฯ ยังต้องอยู่ในที่ตั้งเพื่อความปลอดภัย อาทิ ที่พักที่นายจ้างจัดให้ สถานที่หลบภัย สถานีรถไฟใต้ดิน ตามคำแนะนำของทางการยูเครน อย่างไรก็ตาม สถานเอกอัครราชทูตจะเตรียมจัดหารถเช่าหรือช่องทางการเดินทางสาธารณะที่เปิดให้บริการ เพื่อนำคนไทยออกมาจากพื้นที่เสี่ยงและเดินทางออกจากยูเครนให้เร็วที่สุด

สำหรับแผนการนำคนไทยออกจากยูเครนในขณะนี้ ได้แก่ 1.ในวันที่ 27 ก.พ.นี้ นำคนไทยจากเมือง Odessa จำนวน 40 คน เดินทางโดยรถบัสเช่าไปยังจุดผ่านแดนยูเครน-โรมาเนีย (ระยะทาง 300 กิโลเมตร) จากนั้น สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงบูคาเรสต์ ประเทศโรมาเนีย จะช่วยนำคนไทยกลุ่มนี้เดินทางด้วยรถบัสไปยังกรุงบูคาเรสต์ เพื่อเตรียมเดินทางกลับประเทศไทยโดยเครื่องบินพาณิชย์ในวันที่ 1 และ 2 มี.ค.2565 2.ในวันที่ 28 ก.พ.นี้ (หรือวันที่ 27 ก.พ.) นำคนไทยที่เข้าพักในศูนย์ปฏิบัติการฯ และคนไทยที่พักอยู่ในเมืองลวิฟประมาณ 30-60 คน เดินทางจากเมืองลวิฟไปยังกรุงวอร์ซอ ประเทศโปแลนด์ เพื่อเตรียมการเดินทางกลับไทยโดยเครื่องบินพาณิชย์ต่อไป

ทั้งนี้ จากการที่สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงวอร์ซอ ประสานงานกับผู้แทนกลุ่มคนไทยในเมืองต่างๆ ของยูเครนนั้น พบว่าคนไทยทุกคนยังปลอดภัย ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บหรือได้รับอันตราย

นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ติดตามสถานการณ์วิกฤตรัสเซีย-ยูเครน ย้ำทุกส่วนราชการ โดยเฉพาะกระทรวงพลังงาน กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงการคลัง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น สำนักงานส่งเสริมการลงทุน (BOI) การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ติดตามผลกระทบต่อประเทศไทยจากการสู้รบ โดยเฉพาะราคาพลังงาน น้ำมัน และก๊าซธรรมชาติ สินค้าโภคภัณฑ์ที่สำคัญ รวมทั้งผลกระทบจากเงินเฟ้อและอัตราแลกเปลี่ยนที่อาจผันผวนและมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งทำให้มีผลต่อราคาสินค้าภายในประเทศที่อาจมีการปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยต้องกำหนดแผนและมาตรการรองรับ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนให้น้อยที่สุด และขอให้ทุกคนติดตามข่าวสารทั่วโลก เพื่อวางแผนชีวิตและปรับตัวให้ทันกับสถานการณ์โลกเช่นกัน.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง