มือกฎหมายมหาชน ฟันเปรี้ยง 'พิธา' ไม่รอด ชี้โอนหุ้นแค่วิธีการสร้างหลักฐานสู้คดี

ดร.ณัฎฐ์-มือกฎหมายมหาชน ชี้ การโอนหุ้น เป็นเพียงวิธีการสร้างพยานหลักฐานเพื่อใช้ต่อสู้คดี ไม่ทำให้ 'พิธา' พ้นผิด

6 มิ.ย. 2566 - จากกรณี นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ สมาชิกพรรคพลังประชารัฐ ให้ข้อมูลเพิ่มเติมเป็นครั้งที่ 7 ต่อกกต. กรณีการถือหุ้นไอทีวี ของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรคก้าวไกล และต่อมามีกระข่าวว่านายพิธา ขายหุ้นไอทีวีไปแล้วเมื่อปลายเดือนพ.ค.ที่ผ่านมา กระทั่งนายพิธา ออกมาระบุว่า "เป็นการถ่ายโอนหุ้นให้ทายาทคนอื่นในช่วงปลายเดือนที่ผ่านมา"

ล่าสุด ดร.ณัฐวุฒิ วงศ์เนียม หรือ “ดร.ณัฎฐ์” มือกฎหมายมหาชน แสดงความเห็นต่อเรื่องนี้ ว่า ประเด็นการโอนหุ้นเพื่อหลีกเลี่ยงในการตรวจสอบ โดยเฉพาะการโอนหุ้นของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ว่าที่ ส.ส.และหัวหน้าพรรคก้าวไกล แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคก้าวไกล เป็นเพียงเทคนิคทางกฎหมายเพื่อสร้างพยานหลักฐานขึ้นมาเพื่อเตรียมตัวในการต่อสู้คดีซุกหุ้น ไม่ว่าจะโอนให้แก่ทายาทคนอื่นหรือจำหน่ายให้แก่บุคคลภายนอก ในทางกฎหมาย คือ การเปลี่ยนแปลงกรรมสิทธิ์

"ให้พี่น้องประชาชนจับไต๋ในเอกสารการโอน โดยระบุว่า เป็นการโอนในฐานะผู้จัดการมรดก เพื่อสร้างพยานหลักฐานขึ้นมาเพื่อใช้ในการหักล้างข้อกล่าวหาเพื่อให้พ้นผิด ขัดแย้งกับเอกสารใบหุ้นที่ระบุชื่อว่า ถือครองในนามส่วนตัว หากคดีในชั้น กกต.นายพิธา จะหยิบประเด็นเอกสารการโอนหุ้นอีกทอดหนึ่งขึ้นมาเป็นการต่อสู้ ซึ่งเป็นเอกสารสิทธิ ใช้บังคับระหว่างผู้โอนกับผู้รับโอน ซึ่งเอกสารเอกชน สามารถเขียนอย่างไรก็ได้ แตกต่างจากเอกสาร บอจ.6 ที่ปรากฎรายการถือครองหุ้น กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ แม้โอนไปกี่ทอด ย่อมไม่พ้นผิด เพราะในทางกฎหมาย เป็นการทำนิติกรรมอำพราง เพื่อสร้างพยานหลักฐานขึ้นมา

ลูกไม้ตื้นๆ หากคดีขึ้นสู่ชั้น กกต.และชั้นศาลรัฐธรรมนูญ การโอนหุ้นกี่ทอดก็ตาม ไม่สามารถให้พ้นผิด เปรียบดังการขว้างงูไม่พ้นคอ วิธีการเทคนิคทางกฎหมายโอนหุ้นให้แก่ทายาทหรือบุคคลภายนอกเพื่อหลีกเลี่ยงตรวจสอบและเพื่อให้ตนพ้นผิด พยานเอกสารที่จัดทำขึ้นมา มีน้ำหนักน้อย ไม่อาจรับฟังได้ เพราะหากถือครองในฐานะผู้จัดการมรดกจริง ระยะเวลา 17 ปีที่ผ่านมา ผิดวิสัยผู้จัดการมรดกที่จะต้องแบ่งปันให้แก่ทายาท หากไม่ถูกจับได้ว่า ซุกหุ้นสื่อ แล้วคุณจะโอนเพื่ออะไร"

ส่วนคำถามที่ว่า การถือครองหุ้นที่นายพิธา ยกเคส คำสั่งศาลฎีกา ลข.42/2566 ระหว่าง นายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ ปชป.เขต 2 นครนายก ผู้ร้อง ผู้อำนวยการเลือกตั้งเขต 2 นครนายก ผู้คัดค้านนั้น ดร.ณัฐวุฒิ กล่าวว่าข้อเท็จจริงแตกต่างจากการถือครองหุ้นไอทีวีของนายพิธา เพราะหุ้นเอไอเอส ไม่ได้มีวัตถุประสงค์ในการประกอบกิจการหนังสือพิมพ์หรือโทรทัศน์โดยตรง แต่เป็นการนำเงินไปลงหุ้น เป็นการประกอบกิจการโดยทางอ้อม แตกต่าง บมจ.ไอทีวี ที่สามารถกลับมาประกอบกิจการได้ หากศาลปกครองสูงสุดพิพากษาให้ชนะคดี สปน.ซึ่งในคดีถือครองหุ้นสื่อ ที่ผ่านมาศาลพิจารณาถึงวัตถุประสงค์ในการประกอบธุรกิจและใบอนุญาตในการประกอบกิจการ

หากเทียบเคียงกับคดีถือครองหุ้นสื่อนายธนาธร แม้เลิกกิจการ แต่ยังมีใบอนุญาตประกอบกิจการสื่ออยู่ แม้ในระหว่างพิพาทระหว่าง บมจ.ไอทีวี กับ สปน.ในประเด็นจอดำ แม้จะไม่มีรายได้จากการประกอบกิจการสื่อ แต่ยังมีรายได้ช่องทางอื่น จึงไม่เป็นสาระสำคัญ โดยเฉพาะนายพิธา หยิบมาแถลงการณ์ เพื่อดิ้นให้มวลชนเห็นใจ

"การถือครองหุ้นสื่อตามเจตนารมณ์รัฐธรรมนูญมาตรา 98(3) ผู้สมัคร ส.ส.ถือครองมากน้อยเพียงใด ย่อมขาดคุณสมบัติในการสมัคร ส.ส.ตามมาตรา 42(3) แห่ง พรป.ว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ.2561 จะเห็นได้จากความมุ่งหมายของรัฐธรรมนูญ ผู้สมัคร ส.ส.จะต้องไม่ถือครองหุ้นสื่อในวันสมัคร การโอนหุ้นในระหว่างถูกตรวจสอบ แม้โอนไปหลายทอด ย่อมไม่พ้นผิดเพราะเป็นความผิดสำเร็จนับแต่วันยื่นใบสมัคร ส.ส.แล้ว" ดร.ณัฐวุฒิ ระบุ

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ศาลอาญาคดีทุจริตฯ นัดฟังคำสั่ง 'ก้าวไกล' ฟ้อง 'กกต.' 2 มาตรฐาน ปมยุบพรรค

ศาลอาญาคดีทุจริตเเละประพฤติมิชอบกลาง อ่านคำสั่งในคดีที่ เรือเอก ย. เป็นโจทก์ยื่นฟ้องคณกรรมการการเลือกตั้งทั้ง6 เเละเลขาฯกกต.กับพวกรวม 7 คน คดีอาญาหมายเลขดำที่ อท 58/2567 ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157ประกอบมาตรา83

กกต.ย้ำไม่ได้เร่งยุบก้าวไกลแต่ส่งเอกสารเพิ่มเติมให้ศาล รธน.แล้วตั้งแต่ 25 มี.ค.

กกต.แจง ส่งเอกสาร ยื่นยุบก้าวไกล เพิ่มเติมถึงศาลรัฐธรรมนูญเรียบร้อยแล้ว ส่วนคำร้องยุบภูมิใจไทยเป็นคนรับประเด็น

กกต.ได้เอกสาร 44 สส.ก้าวไกลลงชื่อแก้ 112 ส่งศาลรธน.พิจารณายุบพรรคแล้ว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าจากกรณีศาลรัฐธรรมนูญยังไม่พิจารณาคำร้องยุบพรรคก้าวไกลเนื่องจากมีเอกสารบางรายการที่กกต.ส่งไปไม่ชัดเจนและมีคำสั่งให้กกต. ส่งเอกสารที่ชัดเจนให้กับศาลรัฐธรรมนูญภายใน