เมียนมาจับกุมชาวโรฮีนจาเกือบ 150 คน ขณะหนีออกนอกประเทศ

ทางการเมียนมาจับกุมชาวโรฮีนจาเกือบ 150 คนที่ต้องสงสัยว่าพยายามหลบหนีออกจากประเทศ

แฟ้มภาพ ผู้ลี้ภัยชาวโรฮีนจาเดินข้ามลำน้ำตื้นๆ เพื่ออพยพเข้าบังกลาเทศ (Photo by Munir UZ ZAMAN / AFP)

เอเอฟพีรายงาน เมื่อวันอังคารที่ 15 สิงหาคม 2566 กล่าวว่า ชาวโรฮีนจาในเมียนมาซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวมุสลิมและถูกมองว่าเป็นผู้สอดแนมจากบังกลาเทศ ถูกจับกุมเมื่อวันศุกร์ ใกล้กับหมู่บ้านแวคามี ทางตอนใต้ของรัฐมอญ

กองทัพเมียนมาเริ่มปฏิบัติการปราบปรามชาวโรฮีนจาในปี 2560 และปัจจุบันผู้คนหลายพันคนต้องเสี่ยงชีวิตเดินทางจากค่ายในบังกลาเทศและเมียนมา เพื่อไปยังมาเลเซียและอินโดนีเซียที่มีประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวมุสลิม

"ในจำนวนชาวโรฮีนจาที่ถูกจับกุมล่าสุด แบ่งเป็นชาย 127 คนและหญิง 18 คน สถานะปัจจุบันอยู่ภายใต้การสอบสวนตามกฎหมายคนเข้าเมือง" อ่อง เมียต จ่อ เส่ง โฆษกสภาบริหารรัฐมอญ กล่าวกับเอเอฟพี

ชาวโรฮีนจาในเมียนมาถูกปฏิเสธการเป็นพลเมืองและต้องขออนุญาตทุกครั้งหากมีการเดินทาง ด้วยสภาพความเป็นอยู่อย่างกดขี่และแร้นแค้นรวมทั้งถูกปราบปรามอย่างหนัก จึงทำให้หลายคนเลือกหลบหนีออกจากสภาพที่เป็นอยู่ แม้ต้องพเนจรไร้หลักแหล่งก็ตาม

รัฐบาลทหารเมียนมากำลังเผชิญกับข้อหาฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ที่ศาลสูงสุดของสหประชาชาติ หลังการปราบปรามชาวโรฮีนจาในปี 2560 ซึ่งทำให้หลายแสนคนต้องอพยพหลบหนีไปยังบังกลาเทศ

เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เรือที่บรรทุกชาวโรฮีนจาอพยพราว 50 คนเกิดล่มกลางทะเลนอกชายฝั่งเมียนมา แต่หน่วยกู้ภัยช่วยร่างไร้วิญญาณขึ้นมาได้เพียง 17 ราย ส่วนที่เหลือยังคงสูญหาย

บังกลาเทศและเมียนมาได้หารือเกี่ยวกับความพยายามในการเริ่มส่งผู้ลี้ภัยชาวโรฮีนจากลับประเทศ แม้ว่าทูตอาวุโสด้านสิทธิมนุษยชนของสหรัฐฯ กล่าวเมื่อเดือนที่แล้วว่าเงื่อนไขทางสภาพความเป็นอยู่ยังไม่ปลอดภัยสำหรับการส่งกลับ

เมียนมาอยู่ในความสับสนวุ่นวายนับตั้งแต่รัฐบาลพลเรือนของออง ซาน ซูจีถูกโค่นล้มด้วยการทำรัฐประหารเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2564 ซึ่งยุติช่วงเวลาสั้น ๆ ของระบอบประชาธิปไตยในประเทศ.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

'อังคนา' เผยสหประชาชาติจี้ไทยรับผิดชอบการสูญหายของ 'ทนายสมชาย' เมื่อ20ปีก่อน

นางอังคณา นีละไพจิตร อดีตกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ นักเคลื่อนไหวสตรี ภรรยาของนายสมชาย นีละไพจิตร นักกฎหมายและนักเคลื่อนไหวด้านสิทธิมนุษยชนมุสลิมชาวไทยที่หายสาบสูญ โพสต์ข่าวสารจากเว็บไซต์ คณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ ว่า