วิธีสร้างความเป็นอื่น ของ 'กลุ่มชังศาสนา'

กระบวนการสร้างความเป็นอื่น โดยเฉพาะต่อชาวมุสลิม ที่แพร่หลายอยู่ในสื่อออนไลน์ทุกวันนี้ พวกเขาทำกันอย่างไร

1. เสกสรรปั้นแต่ง ที่ไม่มีก็บอกว่ามี ที่ไม่ใช่ก็บอกว่าใช่ เช่นบอกว่า ใครมีลูกเรียน
หนังสือแต่เป็นศาสนิกอื่น ไปกู้เงิน กยศ. (เงินกู้ยืมเพื่อการศึกษา) ที่ธนาคารอิสลาม จะต้องกรอกในแบบฟอร์มว่า จะต้องเปลี่ยนศาสนาเป็นอิสลาม และบอกอีกว่าถ้าเป็นมุสลิมแล้ว ไม่ต้องใช้หนี้คืนธนาคารอิสลามก็ได้ เรื่องการตั้งศาลมุสลิมก็เช่นกัน ไม่มีใครคิด ไม่มีใครทำ เป็นเรื่องโกหกอย่างสิ้นเชิง แต่พวกเขาสามารถปั้นน้ำเป็นน้ำแข็งได้

2. แปลงสาร แผ่นลอตเตอรี่ มีตราสีเขียว แปะด้านล่าง เป็นตรา Green Industry
ของกรมโรงงานอุตสาหกรรม เพื่อรับรองว่าใช้กระดาษพิมพ์ที่รักษาสิ่งแวดล้อม ก็แปลงสารว่าเป็นตราฮาลาล แล้วบอกว่าศาสนาอิสลามเข้าครอบงำแม้แต่สลากกินแบ่ง

3. เฉพาะส่วน การเอาเรื่องเฉพาะส่วนมาแทนที่ส่วนทั้งหมด เช่น รัฐบาลสนับสนุน
งบประมาณซ่อมแซมมัสยิดใน 3 จังหวัดภาคใต้ หรือออกเงินสร้างมัสยิดกลางนครศรีธรรมราช ด้วยงบผูกพันที่เป็นไปตามโครงการพัฒนาภาคใต้ตอนบน เป็นเหตุผลเฉพาะพื้นที่ แต่โกหกกันได้ว่ารัฐบาลต้องสร้างมัสยิดให้ทุกจังหวัด ทั้งๆ ที่มัสยิดทั่วไปสร้างด้วยเงินศรัทธาของชาวไทยมุสลิม

นี่คือการนำเอาปรากฏการณ์เฉพาะส่วน มาโฆษณาว่าเป็นเรื่องของส่วนทั้งหมด

4. ผลิตซ้ำคำเก่า เอาคำเดิมๆ นั้นแหละมาตอกย้ำซ้ำคำซ้ำความว่า “มุสลิมจะกลืนกินไทย ทั้งประเทศ” ว่า “รัฐบาลต้องจ่ายเงินไปเมกกะให้ผู้แสวงบุญ” ว่า “จะตั้งศาลชารีอะห์เพื่อให้คนมุสลิมไม่ต้องขึ้นศาลไทย” ว่าโรงเรียนมุสลิม “ไม่เคารพธงชาติ”


พวกเขามีความเชื่อว่า ข้อความหรือถ้อยคำ ที่เอ่ยซ้ำบ่อยๆ ถี่ๆ มากๆ จะกลายเป็นชิพที่ฝังในสมองของผู้คน

5. เหมาโหล มีความรุนแรงเกิดขึ้นจริงเฉพาะกลุ่ม เฉพาะที่ แต่พวกชังศาสนา จะบอกว่า “เห็นไหม กลุ่มมุสลิมคือพวกหัวรุนแรง เป็นพวกก่อการร้าย มีมุสลิมที่ไหน จะมีความรุนแรงที่นั่น”

ผู้เขียนไปสัมผัสพื้นที่ด้วยตนเองมาแล้ว ได้พบว่า ที่หมู่บ้านเจาะบากง อ.บาเจาะ จ.นราธิวาส ที่เทศบาล ต. ท่าสาบ อ.เมือง จ.ยะลา เป็นชุมชนพหุวัฒนธรรม จำนวน 4 หมู่บ้าน ซึ่งชาวไทยพุทธและไทยมุสลิมอยู่ด้วยกันมานานนับร้อยปีอย่างสมานฉันท์ มีงานการฝั่งไหน อีกฝั่งจะไปช่วยงานและร่วมงานอย่างมีไมตรีจิต บรรยากาศแบบนี้มีทั่ว 3 จชต. แต่กลุ่มชังศาสนา จะเหมาโหลว่า มุสลิมทั้งหมดเป็นกลุ่มก่อความรุนแรง


6. จินตนาการล้นเกิน ชาวไทยมุสลิมไปแต่งงานกับชาวไทยพุทธ ก็ไปหาว่า เพื่อขยายอิทธิพลของชาวมุสลิม ชาวมุสลิมที่แต่งงานแล้ว แต่ไม่ได้คุมกำเนิด ก็ไปหาว่านี่คือการขยายจำนวน พลเมืองมุสลิมเพื่อกลืนกินประเทศไทย ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มีการตั้งศูนย์วิทยาศาสตร์ฮาลาล มีมาตรฐาน ที่โลกมุสลิมรับรองและยกย่อง ซึ่งเป็นการยกระดับประเทศไทยให้มีสินค้าเข้าสู่ตลาดมุสลิมโลก ซึ่งมีจำนวน 1,200 ล้านคน มีมูลค่าทางเศรษฐกิจ ฮาลาลโลก 7 ล้านล้าน เหรียญสหรัฐ ทุกประเทศเข้ามาขอแบ่งส่วนตลาด แต่พวกชังศาสนาพูดว่าประเทศไทย “เผือกไปมีศูนย์วิทยาศาสตร์ฮาลาล โง่บัดซบ”

กลุ่มชังศาสนา ช่วยตอบคำถามทีเถิดว่า ชาวไทยมุสลิม 7.4 ล้านคนทั่วประเทศเป็นคนไทยหรือเปล่า ทุกคนต้องเสียภาษีและอยู่ภายใต้กฎหมายไทย ใช่หรือไม่

หากเราคิดว่าคนภาคอิสานเป็นลาว คนภาคเหนือไม่ใช่ไทย และคนภาคใต้เป็นแขกมลายูแล้ว แผนที่ประเทศไทยจะอยู่ตรงไหนกัน

ก่อนที่ฮิตเลอร์ แห่งพรรคนาซีเยอรมัน จะล่าสังหารชาวยิว 6 ล้านคนในสมัยสงครามโลกครั้งที่สองนั้น ฮิตเลอร์พูดกับลูกน้อง ชื่อเกิบเบิลส์ (Joseph Goebbels) ว่า “หากคุณโกหกเรื่องใหญ่ มากพอ โกหกบ่อยครั้งเพียงพอ เรื่องนั้นจะถูกเชื่อ” เกิบเบิลส์ ซึ่งมีปริญญาเอกด้านประวัติศาสตร์วรรณคดี นำไปสร้างทฤษฎี โกหกคำโต (BIG LIE) แล้วปฏิบัติแผนโฆษณาชวนเชื่อ ผ่านกระทรวง ประชาบาล และโฆษณาชวนเชื่อ ซึ่งเขาเป็นรัฐมนตรี โดยบอกว่าพวกเขาเป็นชนเผ่าอารยัน ที่มีศักดิ์สูง ส่วนยิวเป็นคนชั้นต่ำที่ไม่สมควรมีลมหายใจอยู่ในโลกใบนี้

จากนั้นคือการ โกหกคำโต โป้ปดเรื่องใหญ่ๆ ครอบคลุมหลายๆ เรื่อง อย่างน้อยจะต้องมีประเด็นที่โดนใจคนฟังที่อยากเชื่อในบางประเด็น จริงหรือเท็จก็เชื่อไว้ก่อนเพราะเป็นประเด็นที่ ถูกจริต แล้วออกสื่อที่เขาควบคุมได้ทั้งหมด ไปถึงคนเยอรมันทั้งประเทศ ทำให้การลวงโลกกลาย เป็นความชอบธรรมนำสู่โศกนาฏกรรมบันลือโลก

วิธีสร้างความเป็นอื่นถูกขบวนการขวาจัดไทยนำมาใช้กับนักศึกษา ประชาชน ตั้งแต่ก่อนเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 มีการสร้างวาทะกรรมโดยพระสงฆ์อาวุโสว่า “ฆ่าคอมมิวนิสต์ไม่บาป” ว่านักศึกษา กรรมกร ชาวนา “มุ่งร้ายต่อชาติศาสนา พระมหากษัตริย์” จนเกิดขบวนการขวาพิฆาตซ้าย ที่ประกอบด้วยอันธพาลการเมือง อดีตนายทหาร นักเขียน นักการเมือง นักวิชาการและสื่อจำนวนหนึ่ง ถึงขั้นบอกว่า ที่ ม. ธรรมศาสตร์ ขุดอุโมงค์ สั่งสมอาวุธ และนักศึกษาในธรรมศาสตร์เป็นญวน เพื่อทำให้การล้อมปราบล้อมฆ่ากลายเป็นความชอบธรรม เป็นรอยเลือดและน้ำตา ที่ประวัติศาสตร์จารึกไว้แล้ว

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 เสด็จประพาสภาคใต้ ทรงใช้หลักเข้าใจ เข้าถึง พัฒนา จนชาวไทยมุสลิม 3 จังหวัดภาคใต้ซาบซึ้งใจ ในอดีตชาวมุสลิมภาคใต้ยอมรับว่าพระองค์ทรงเป็นราญอซีแย ซึ่งแปลว่า กษัตริย์สยาม

ว่าที่ร้อยโทดิลก ศิริวัลลภ อดีตศึกษาธิการจังหวัด ซึ่งเป็นล่ามตามขบวนเสด็จในหลวง ร. 9เป็นประจำใน 3 จชต. บันทึกไว้ในหนังสืออนุสรณ์งานเมาลิดกลาง ร.ศ. 1421 (28 - 30 ตค. 2543) ว่า “พระบารมีตลอดถึงการเอาใจใส่ต่อประชาชนในพื้นที่ 3 จชต. นี่เอง ชาวไทยมุสลิมในแดนใต้ พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า “รายอกีตอนาแฮะ” ซึ่งแปลความรวมว่า “เรารักในหลวงของเรา”

องค์ศาสนูปถัมภก ตั้งแต่ในหลวง รัชกาลที่ 9 ต่อเนื่องถึงในหลวง องค์ปัจจุบัน ที่ทรงปรารถนาและทรงถือปฏิบัติความเป็นหนึ่งเดียวกันของชาวไทยทั้งหมดโดยไม่แบ่งเชื้อชาติ ศาสนา และผิวพรรณ

น้ำพระทัยเช่นนี้จะไม่กระทบจิต กระเทือนใจใครๆ บ้างหรือ หรือว่าการสร้างความเป็นอื่นที่ดำเนินอยู่นี้เป็นความรื่นรมย์สมอุรา ที่จะต้องดำเนินต่อไป

พุทธศาสนาบัญญัติไว้ถึงการสร้างความแตกแยกในหมู่สงฆ์ว่า เป็น “สังฆเภท” เป็นอนันตริยกรรมในระดับเดียวกับการฆ่าพ่อแม่ มีผลถึงขั้นห้ามสวรรค์ ห้ามนิพพาน ฉันใด การสร้างความเป็นอื่นให้รังเกียจคนต่างศาสนาก็เป็นวิบากกรรมหนักดุจกัน เมื่อปลาย มค. 65 มีชายคนหนึ่งถูกศาล จ.ยะลา ตัดสินจำคุกไปแล้ว ในคดีหมิ่นประมาทและสร้างความเข้าใจผิดทางศาสนา เป็นกรรมสนองกรรมที่ไม่ต้องรอภพหน้า

ที่น่าตั้งคำถามก็คือ ข่าวเท็จ ข่าวปลอม ข่าวลวงโลก กระแสสร้างความเป็นอื่น กระจายอยู่ทั่วไปในสื่อสังคมจอไฟฟ้า นอกจากศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมแล้ว ภาคราชการ และแม้แต่ภาคศาสนา ทำไมจึงดูเหมือนเงียบงันกันไปหมด /

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

‘ประสาร’ ออกบทความ นิรโทษกรรม:เหลือแต่ความมุ่งมั่นของภาคการเมือง

ในวันนี้  การนิรโทษกรรมให้แก่ผู้กระทำความผิด  อันเนื่องมาจากเหตุจูงใจทางการเมือง เป็นประเด็นความสนใจสาธารณะอย่างมีนัยสำคัญ

แสบสัน! 'ประสาร' ลากไส้ 'ทักษิณ'  เปรียบงูรัดคมเลื่อยยิ่งดิ้นยิ่งเจ็บหนัก  

“ประสาร” สับเละทักษิณตีปี๊บกลับไทยมารับโทษ ไล่ตั้งแต่ปลุกเสื้อแดงเผาเมือง ยันนิรโทษกรรมสุดซอย เปรียบแสบถึงทรวง เหมือนงูรัดเลื่อยยิ่งดิ้นยิ่งเจ็บหนัก

ทฤษฎีความไม่พร้อม ปูพรมให้ถนนสายทรมานวิถี

จดหมายจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ฉบับด่วนที่สุด ที่ ตช 0011.24/64 ลงวันที่ 2 มค. 66 ลงชื่อ พล.ต.อ. ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. ถึง รมว. ก. ยุติธรรม เรื่อง ปัญหาขัดข้องในการปฏิบัติตาม พรบ. ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2566

คำตอบอยู่ที่หน้างาน

การเมืองวันนี้ สปอตไลท์ฉาบฉายไปที่การเคลื่อนตัวของพรรคและนักการเมือง ที่เขยื้อนขยับรับบรรยากาศการเลือกตั้งทั่วไปกันอย่างคึกคัก

ความพร้อมใจทางด้านจิตสำนึก : 50 ปี 14 ตุลา

จิตสำนึกที่ต้องการการเปลี่ยนแปลงจึงเป็นปัญหาใหญ่ แม้จะผ่านจากคนรุ่นนี้ไป แต่ปัญหาก็ยังตกค้างอยู่ เพราะระบบยังฝังลึกและไม่ต้องการการเปลี่ยนแปลง