ผ่าระบบการศึกษาในบริบท 'สังคมการเมืองไทย'...อนาคตจะไปต่อกันยังไง(วะ!)?

ถ้าคลี่ปมการศึกษาในบริบทสังคมการเมืองไทย ก็จะพบเหตุปัจจัยที่บ่ม อม ครอบงำ หลายมิติ จนทำให้ระบบการศึกษาฟอนเฟะ ล้าหลัง ปรับตัวไม่ทันความเปลี่ยนแปลงก้าวหน้าของโลกใบใหม่ ยิ่งถ้านำไปเทียบเคียงกับกลุ่มการศึกษาที่มีความก้าวหน้าตามที่ OECD ศึกษาไว้ จะพบว่าการศึกษาไทยนั้นต่างกับกลุ่มที่มีความก้าวหน้าลิบลับ ไม่ว่าจะเป็นของเซี่ยงไฮ้ สิงคโปร์ ฟินแลนด์ ออสเตรเลีย ฯลฯ

ถ้าเจาะส่องดูถึงเหตุปัจจัยของความล้าหลังที่แฝงฝังอยู่ในการบริหารจัดการการศึกษา การพัฒนาทุนมนุษย์ ผ่านบริบทสังคมการเมืองไทยก็คงสัมผัสเห็นหลากมิติทีเดียว!!!

เริ่มจากส่วนแรกว่าด้วย “ค่านิยมทางสังคม” ที่มีต่อเรื่องการศึกษา ค่านิยมที่ผูกติดกับการศึกษาเป็นค่านิยมที่คร่ำครึ ยึดโยงยึดกับ “ปริญญาบัตร” และ “การจัดชั้นการศึกษาตามปริญญาบัตร” เป็นสำคัญ เป็นความคิดค่านิยมแบบรัฐราชการ ขุนนาง อำมาตย์ในโลกเก่า ที่พึ่งพา เกาะติดอยู่กับระบบอุปถัมภ์ การศึกษาจึงมีสภาวะแบบมุ่งยกตนข่มท่าน ตะเกียกตะกายวิ่งหาศูนย์กลางอำนาจ มากกว่าจะเป็นมิติการให้คุณค่าเรื่องความรู้ ทักษะ ความเก่ง การปฏิบัติลงมือทำ หรือการสร้างสรรค์แบบผู้ประกอบการ ตลอดจนการประดิษฐ์คิดสร้างที่มุ่งความก้าวหน้า ก้าวพ้นจากกรอบความคิดแบบเดิมๆ ฯลฯ ค่านิยมทางสังคมในร่มเงาการศึกษาเยี่ยงนี้ส่งผลให้ระบบการศึกษาย่ำวนลึกอยู่ในความคิดมุมมองที่คร่ำครึของโลกใบเก่า ไม่อาจปรับตัวหลุดจากกับดักความคิดค่านิยมทางสังคมที่มีกฎหมายครอบงำไว้แน่นได้! การจัดวางตำแหน่งแห่งที่ของผู้คนในสังคมจึงสมาทานตามบัตรใบของวุฒิการศึกษา มากกว่าการประจักษ์คุณค่าต่อศักยภาพ ความเก่ง ความรู้ ความมานะพยายามของบุคคล นี่คือพื้นฐานเบ้าหลอมความคิดการมองถึงคุณค่าคนที่อัปยศยิ่ง!!!

ส่วนที่สอง บริบทของสังคมการเมืองขาด “การสร้างภาวะผู้นำ” ระบบรัฐราชการเน้นการเป็นผู้ตามและการจำนนต่อระบบระเบียบเป็นสำคัญ แต่ระบบระเบียบ การนำไม่มีการปรับตัว หรือปรับตัวช้าจากความเทอะทะ-เลอะเทอะของระบบที่อัดแบกไว้จนซับซ้อนหนักอึ้ง ภาวะผู้นำจึงแปลกปลอมจากอำนาจและพิธีกรรมที่รัฐราชการให้ความสำคัญ หรือไม่ก็แปรนัยการเป็นผู้นำจากพฤติกรรมการตามและการประจบสอพลอ การตามใจ การจัดสรรผลประโยชน์ที่ผู้บริหารต้องการ! ภาพรวมของบริบทสังคมการเมืองที่ขาดการสร้างภาวะผู้นำหรือสร้างภาวะผู้นำแบบสามานย์! ส่งผลให้การบริหารการศึกษาให้ความสำคัญเรื่องโครงสร้างอำนาจ การจัดสรรอำนาจ และระบบระเบียบการบังคับบัญชาสั่งการ จนถึงการแสวงประโยชน์โพดผลในกลไกการศึกษาในลำดับชั้นของกรอบโครงสร้างอำนาจต่างๆ มากกว่าจะเน้นการสร้างความรู้ ความก้าวหน้า การปรับตัว การพัฒนาการเรียนรู้และทักษะที่เชื่อมโยงกับการปรับตัวของโลกใบใหม่ การพัฒนาวิชาชีพหรือการให้ความสำคัญสนับสนุนการปรับตัวพัฒนาทักษะแบบต่อเนื่อง เป็นจริง! ระบบการศึกษาจึงผูกโยงกับโครงสร้างอำนาจรัฐราชการอย่างเหนียวแน่น ไม่มีพื้นที่สำหรับความก้าวหน้า การปรับสร้างให้ทันความเปลี่ยนแปลงกระแสโลกใบใหม่แต่อย่างใด ที่มีอยู่บ้างก็เป็นแบบขาดๆ เกินๆ เป็นโครงการสั้นๆ เป็นละครเศร้าฉากที่จบลงง่ายๆ อย่างขาดความรับผิดชอบ!

ส่วนที่สาม มิติ “การอุดหนุนและประเมินผลในระบบการศึกษา” เป็นอีกมิติที่มีรูปแบบ กรอบโครงงานชัดในมิติของอำนาจ เป็นอำนาจแบบสั่งการจากบนลงล่าง (Top-down) ที่เป็นแก่นแกนสำคัญของอำนาจสั่งการ กำกับลงมาจากโครงสร้างส่วนบน ละเลยมิติความสร้างสรรค์เป็นตัวของตัวเอง หรือโลกแวดล้อมที่แตกต่างหลากหลาย และไม่ได้ใส่ใจให้คุณค่าความเก่ง ทักษะความรู้ที่โดดเด่น เชื่อมโยงกับการประดิษฐ์คิดสร้างที่ก้าวหน้าทันโลก! โลกของความก้าวหน้าโดดเด่น ทักษะ สร้างสรรค์เป็นสิ่งแปลกปลอมน่าหวั่นไหวสำหรับอำนาจ การสั่งการ เป็นความแปลกแยก ความเป็นอื่นของการอุดหนุนและการประเมินผลในระบบการศึกษา เพราะถูกมองว่าไม่สยบยอม ไม่เคารพต่อกติกา ไม่มีในสารบบการประเมิน ไม่ภักดีต่อการอุปถัมภ์ ไม่ก้มให้ผู้มีตำแหน่ง/อำนาจของรัฐราชการ นี่คือความล้าหลังที่ต่ำทราม ที่มีภาคปฏิบัติเครือข่ายรัฐราชการคิดและใช้บั่นทอนผู้เกี่ยวข้องให้ตกอยู่ใต้สภาวะการกดข่ม และซากระบบระเบียบที่ล้าหลังอย่างสิ้นคิด นี่คืออีกมิติที่สามานย์ยิ่ง!

ส่วนที่สี่ เป็นบริบทสังคมการเมืองที่ขับเคลื่อน “ภาพรวมการบริหารจัดการการศึกษาไทย” ต้องชี้ชัดว่าเป็นความเคลื่อนไหวที่วนอยู่ในกลไกอำนาจรัฐราชการและการเมืองที่คอร์รัปชันแสวงประโยชน์! กรอบโครงสร้างหลักในบริบทสังคมการเมืองที่เป็นอยู่ เป็นกรอบโครงสร้างการบริหารที่ล้าหลัง เน้นอำนาจ สร้างความประจักษ์ตนแบบผิดทิศผิดทาง ขาดความรู้ สติปัญญา ภาพรวมในการขับเคลื่อนการศึกษาจึงทำให้การศึกษากลายเป็นเศษซากความถดถอยล้าหลัง เคลื่อนเป็นเส้นขนานกับความก้าวหน้าในโลกยุคใหม่ ปิดตัวอยู่ในมุมแคบของวิธีคิด มากด้วยวาทกรรมตามมิติทางสังคมศาสตร์ มนุษยศาสตร์ที่เลื่อนลอย เลื่อนไหลไปตามกลไกอำนาจ มีความย้อนแย้งในตัวเองสูง มีความกำมะลอเป็นแก่นแกน แต่โดดเด่นในการกดข่มผ่านระบบโครงสร้างและอำนาจ มีกฎหมาย ระบบระเบียบ และตำแหน่งแห่งที่ของบุคคลรองรับ! นี่คือชะตากรรมที่น่าเวทนาของการศึกษา การพัฒนาทุนมนุษย์ในยุคที่โลกก้าวหน้าเปลี่ยนแปลงก้าวกระโดดในศตวรรษที่ 21!

ไม่แปลกเลยที่คนที่พยายามขับเคลื่อนการศึกษาสู่ความก้าวหน้าใหม่ เอาตัวไปอยู่ในพื้นที่เคลื่อนไหวของโครงสร้างการศึกษาในบริบทสังคมการเมืองไทยวันนี้จะหนักหนาสาหัสมากมาย ต้องใช้แรงบันดาลใจมหาศาลสักเพียงใด! การปรับตัวยกระดับความรู้ ทักษะใหม่ให้ทันโลกใบใหม่ที่เปลี่ยนแปลงไปรวดเร็ว ต่อเนื่อง ก่อเคลื่อนพลวัตเปลี่ยนแปลงรวดเร็วไม่หยุดนิ่ง! ฯลฯ และถ้ายังการสร้างการศึกษา การพัฒนาคนแบบหื่นอำนาจ หิวผลประโยชน์ ฝังตัวกับระบบที่ล้าหลังแน่น ที่เป็นอยู่วันนี้ พรุ่งนี้จะมีสภาพเช่นไร?!?.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ลัทธิผีบุญ .. ภัยร้ายต่อพระศาสนา!!

เจริญพรสาธุชนผู้มีความศรัทธาในพระพุทธศาสนา.. ปัญหาของพุทธศาสนาในปัจจุบันที่ยังเจริญเติบโตมาจนถึงทุกวันนี้ คือ การยึดถือคำสอนที่ผิดเพี้ยนไปจากพระสัทธรรมดั้งเดิม...

คุณค่าแท้–คุณค่าเทียม ที่ชาวพุทธควรคำนึง..!!

เจริญพรสาธุชนผู้มีจิตศรัทธาในพระพุทธศาสนา.. คำว่า “วิกฤตศรัทธา” เริ่มมีการพูดถึงกันมากในห้วงเวลานี้ ด้วยเหตุปัจจัยในเรื่องนั้น ที่นำไปสู่ความสั่นคลอนในความเชื่อมั่น ที่เคยอบรมสั่งสมมานานในสิ่งนั้นๆ เรื่องนั้นๆ บุคคลนั้นๆ.. ซึ่งนับเป็นเรื่องปกติของวิถีชีวิตสัตว์ทั้งหลายที่พยายามหาที่ยึดเหนี่ยวทางจิตวิญญาณ

บูชาพระโอวาทปาติโมกข์ .. ณ เวฬุวันมหาวิหาร ปี พ.ศ.๒๕๖๗

เจริญพรสาธุชนผู้มีจิตศรัทธาในพระพุทธศาสนา.. กลับมาจาก งานมาฆบูชาโลก ที่เวฬุวันมหาวิหาร พระนครราชคฤห์ แคว้นมคธ พร้อมกับติดเชื้อเป็นของแถม ด้วยมีไวรัสแพร่ระบาดในหมู่คณะที่มีทั้งพระสงฆ์และฆราวาสติดตามไปร่วมร้อยชีวิต

บนเส้นทางมหาปรินิพพาน “มัชฌิมาปฏิปทา สู่ อัปปมาทธรรม”..

เจริญพรสาธุชนผู้มีจิตศรัทธาปสาทะในพระพุทธศาสนา.. บนเส้นทางมหาปรินิพพานของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในปัจฉิมสมัย มีปรากฏร่องรอยธรรมที่ควรศึกษาอย่างยิ่ง

มาฆบูชาโลก ณ เวฬุวันมหาวิหาร ชมพูทวีป (พ.ศ.๒๕๖๗)

เจริญพรศรัทธาสาธุชนผู้มีจิตศรัทธาในพระพุทธศาสนา ในห้วงเวลาระหว่าง ๒๒-๒๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๗ ได้เดินทางไปประกอบศาสนกิจอันสำคัญยิ่งในชมพูทวีป บนแผ่นดินเกิดพระพุทธศาสนา เนื่องใน วันมาฆบูชาโลก ซึ่งปีนี้ตรงกับ วันเสาร์ที่ ๒๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๗ ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๓ เป็น “วันมาฆบูชาปูรณมี”

“มายาสาไถย..” ..ในสังคมปัจจุบัน!!

เจริญพรสาธุชนผู้มีความศรัทธาในพระพุทธศาสนา.. ความรู้ความเข้าใจในหลักธรรมคำสั่งสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้าอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น ย่อมมีประโยชน์ ๓ ระดับ ได้แก่