
สงกรานต์และวันปีใหม่ไทยผ่านมาอีกครั้ง พร้อมกับความหวังใหม่ ๆ ที่มากับการเลือกตั้งที่จะมีขึ้นในเดือนพฤษภาคมนี้ ดิฉันได้ยินนโยบายมากมายของพรรคการเมืองต่าง ๆ ที่ออกมาช่วงหลายเดือนนี้ ซึ่งท้ายที่สุดแล้วดิฉันคิดว่าสิ่งที่ประชาชนต้องการอาจไม่ได้มีความซับซ้อนอะไรมากไปกว่า ความต้องการที่ว่ายามเมื่อเขาเดือดร้อน ภาครัฐเป็นที่พึ่งให้เขาได้แค่ไหน สวัสดิการของรัฐได้ช่วยให้เขาพ้นวิกฤตของชีวิตได้เพียงใด โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเขาเป็นประชาชนส่วนน้อยที่เสียภาษีเต็มเม็ดเต็มหน่วยให้กับประเทศนี้
ก่อนสงกรานต์ปีนี้มีเหตุการณ์หลายอย่างเกิดขึ้นกับดิฉันและครอบครัว และในฐานะคนไทยคนหนึ่งที่ไม่ได้ขาดแคลนอะไร มีงาน มีเงินเดือน มีบ้าน มีรถ แต่ถึงอย่างนั้นดิฉันก็ตระหนักได้ถึงความต้องการขั้นพื้นฐานของมนุษย์ที่มีเหมือนกันไม่ว่าจะเป็นคนจน คนรวย หรือคนชั้นกลาง นั่นคือความต้องการที่จะมีที่พึ่งพาในยามทุกข์ร้อนและเจ็บป่วย
เมื่อเร็ว ๆ นี้ที่บ้านของดิฉันมีคนป่วยที่ต้องการการรักษาเร่งด่วน ดิฉันได้ไปใช้บริการโรงพยาบาลของรัฐแห่งหนึ่งในกรณีฉุกเฉิน แต่กลับได้พบกับความทุกข์ใจมากมาย ทั้งพยาบาลและผู้ช่วยพยาบาลแผนกฉุกเฉินใช้เวลานานมากกว่าจะเรียกหมอให้ และไม่มีการให้การปฐมพยาบาลเบื้องต้น จากสองทุ่มที่เข้าไปแผนกฉุกเฉินกว่าจะออกจากโรงพยาบาลหลังเที่ยงคืน ถ้าเป็นอะไรมากกว่านี้ ดิฉันบอกได้คำเดียวว่าคงไม่รอด หลังจากเหตุการณ์ฉุกเฉินในวันนั้น ดิฉันก็มีความพยายาม (อีกครั้ง) ที่จะพาคนในครอบครัวไปรักษาที่โรงพยาบาลของรัฐแห่งนี้ด้วยโรคที่ต้องการการรักษาเร่งด่วน เพราะเชื่อในฝีมือแพทย์และเครื่องมือของโรงพยาบาล
แม้จะทำใจไว้แล้วและไม่ได้มีความคาดหวังจะที่ได้รับบริการที่ดี แต่การไปโรงพยาบาลรัฐในครั้งนี้ก็นำมาซึ่งความผิดหวังซ้ำแล้วซ้ำอีก หลังจากผ่านไปสามสัปดาห์กับโรคที่เร่งด่วนกว่าจะได้พบหมอที่จำเป็นต้องพบ หมอกลับไม่ได้มีความใส่ใจที่จะตรวจคนไข้อย่างละเอียดทั้งที่คนไข้ต้องการการดูแลใกล้ชิด หมอเหลือบดูเพียงผลตรวจบางส่วน และเพียงเตือนว่าไม่ควรรอนานเพื่อที่จะผ่าตัด เมื่อถามว่าจะได้คิวผ่าตัดเมื่อไหร่ หมอบอกว่าตอบไม่ได้ ให้ไปนัดกับพยาบาลและลูกศิษย์หมอ พยาบาลให้คิวตรวจสุขภาพกับลูกศิษย์หมออีก 1 เดือนข้างหน้า และให้คิวเอ๊กเรย์อีกเกือบ 2 เดือนข้างหน้า โดยยังไม่มีใครบอกได้ว่าคนไข้จะได้รับการรักษาเมื่อไหร่ ไม่มีใครสนใจว่าโรคจะลุกลามแค่ไหน ทุกอย่างเป็นไปตามคิวที่ไม่เร่งรีบของพยาบาลและลูกศิษย์หมอ (ไม่ใช่หมอที่ดูแลเรา)
ณ จุดนั้น ดิฉันมีความรู้สึกว่าชีวิตของคน ๆ หนึ่งไม่ได้มีความหมายสำหรับหมอที่โรงพยาบาลรัฐแห่งนั้น แม้จะเป็นโรงพยาบาลที่ดีและมีเครื่องมือที่ดี แต่ทุกอย่างคงจะสายเกินไปเพราะหมอไม่ได้มี “ใจ” ในการรักษาคนไข้ให้หาย ทุกอย่างขาดแคลนไปเสียหมด ไม่ว่าจะเป็นเวลาของหมอ เวลาของพยาบาล หรือจำนวนเครื่องมือทางการแพทย์สำหรับเคสเร่งด่วน
เนื่องจากดิฉันไม่ได้มี “เส้น” ในโรงพยาบาลรัฐที่จะขอความช่วยเหลือหรือรู้จักใครเป็นพิเศษ ดิฉันจึงตัดสินใจล้มเลิกความพยายามที่จะรักษาที่โรงพยาบาลรัฐและพาคนไข้ไปรักษาที่โรงพยาบาลเอกชนอีกแห่งหนึ่ง…ทันที
ความคิดเปลี่ยน ชีวิตเปลี่ยน ดิฉันโทรศัพท์จากในรถเพื่อนัดหมอ (โทรไปขับไปเพราะทนไม่ไหวและขับไปโรงพยาบาลเอกชนเลย) ดิฉันรอเพียง 1 ชั่วโมงเพราะเป็นคิวแทรก เมื่อพบหมอๆ ฟังเราอย่างตั้งใจ ดูผลที่ได้จากโรงพยาบาลรัฐ ตรวจเพิ่มอย่างถี่ถ้วน และอธิบายการวินิจฉัยจนเข้าใจ หลังจากนั้นก็เรียกพยาบาลให้จัดคิวเอ๊กซเรย์ภายในวันนั้น (เทียบกับโรงพยาบาลรัฐที่ต้องรอเกือบสองเดือน!) และกลับมาอธิบายผลให้ฟังอีกรอบในช่วงเย็น และนัดผ่าตัดคนไข้หลังจากนั้นเพียง 1 สัปดาห์
ในวันผ่าตัด โรงพยาบาลเอกชนใช้เวลาในการให้คนไข้พบหมอ 4 คน ตรวจเลือด ตรวจเอ๊กซเรย์และเตรียมร่างกายทั้งหมดภายใน 6 ชั่วโมงและผ่าตัดได้เลยภายในเย็นวันนั้น ใช้เวลาผ่าตัดตามที่แจ้งไว้ หมอโทรมาหาเองหลังผ่าตัด (ไม่ต้องตาม) และอธิบายจนเข้าใจ คนไข้ไม่เจ็บแผล มีหมอทุกด้านตามแต่ต้องการ คนไข้ไม่ถูกทอดทิ้ง ไม่พอใจบ่นได้และมีความพยายามจะรักษาให้ดีที่สุด
ดิฉันรู้สึกขอบคุณที่ดิฉันและครอบครัวเป็นหนึ่งในประชาชนส่วนน้อยที่ยังโชคดี ที่แม้ว่าครอบครัวของดิฉันจะเป็นเพียง 10 เปอร์เซ็นต์ของคนทำงานที่เสียภาษีให้รัฐและไม่เคยได้รับรัฐสวัสดิการในยามฉุกเฉินเลยแม้แต่ครั้งเดียว แต่ดิฉันและครอบครัวก็ยังสามารถเข้าถึงการรักษาที่ดีได้และมีทางเลือก……แต่ประชาชนคนไทยตาดำ ๆ เป็นสิบ ๆ ล้านๆ คนในประเทศนี้ล่ะ พวกเขาไม่มีสิทธิ์นี้ ในยามเจ็บป่วยร้ายแรง ถ้าไม่เลือกที่จะรอจนตาย ก็คงต้องตายทั้งเป็นเพราะไม่มีเงินจ่ายค่ารักษาที่แพงแสนแพงของโรงพยาบาลเอกชน
เลือกตั้งคราวนี้ ในฐานะประชาชนคนไทยคนหนึ่ง ดิฉันอยากจะบอกแทนครอบครัวและประชาชนที่มีโอกาสน้อยกว่าดิฉันว่า สิ่งที่ประชาชนต้องการมีไม่มาก เราเพียงต้องการสิ่งพื้นฐานในชีวิต มีที่อยู่ มีสวัสดิการให้ลูกของเราไปโรงเรียน มีเงินอุดหนุนให้ลูกและพ่อแม่ยามชรา มีโรงพยาบาลที่เข้าถึงได้และรักษาเราได้ในยามเจ็บป่วยอย่างทันท่วงที และที่สำคัญอย่าลืมคนชั้นกลางที่เขาเสียภาษีให้รัฐบาลเต็มเม็ดเต็มหน่วย (80% ของภาษีเงินได้มาจากมนุษย์เงินเดือน) ซึ่งนอกจากจะเสียภาษีรายได้แล้ว หากมีที่ดินก็ยังต้องเสียภาษีที่ดินอีกมากทั้งที่ไม่ได้มีรายได้จากที่ดินนั้นเลย โปรดอย่าลืมคนชั้นกลางที่แบกรับภาระของประเทศนี้ไว้ และในยามฉุกเฉินของชีวิตก็ต้องใช้เงินออมเกือบทั้งหมดมารักษาตนเอง เพราะระบบสาธารณสุขที่มีอยู่ไม่เอื้อที่จะช่วยเขาได้ทันท่วงที
แม้ระบบสาธารณสุขของไทยจะพัฒนาขึ้นมาก แต่ยังมีความเหลื่อมล้ำมากมายซึ่งควรได้รับการแก้ไข เช่น การเพิ่มบุคลากรโรงพยาบาลรัฐเพื่อลดภาระหนักในการบริการประชาชน เพิ่มคุณภาพการให้บริการและลดความเหนื่อยล้าอันส่งผลต่อคุณภาพบริการที่ล่าช้า ในส่วนของราคาค่ารักษาพยาบาล รัฐควรเข้ามาควบคุมไม่ใช่ปล่อยให้ธุรกิจทางการแพทย์เปิดเสรี ขาดการควบคุมราคาโดยเฉพาะโรงพยาบาลเอกชน รวมถึงการส่งเสริมให้โรงพยาบาลเอกชนเข้ามาอยู่ในระบบประกันสุขภาพ เป็นต้น
เราจะต้องไม่ลืมว่าประเทศไทยมีความเหลื่อมล้ำสูงมากเป็นลำดับต้น ๆ ในภูมิภาคนี้อยู่แล้ว ดิฉันจึงหวังว่ารัฐบาลใหม่ที่ได้รับเลือกตั้ง จะเข้ามาช่วยในจุดนี้ โดยเริ่มจากก้าวเล็ก ๆ แต่สำคัญในการลดความเหลื่อมล้ำขั้นพื้นฐานของชีวิตอย่างความเหลื่อมล้ำด้านระบบสาธารณสุข ดิฉันเชื่อว่าก้าวเล็ก ๆ ที่ยิ่งใหญ่นี้ จะนำไปสู่การค่อย ๆ ลดความเหลื่อมล้ำในด้านอื่น ๆ ของสังคมไทยต่อไปในอนาคต
ดร. เทียนทิพ สุพานิช
กลุ่มนโยบายสาธารณะเพื่อสังคมและธรรมาภิบาล
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ดร.เสรี เรียกร้องอย่าให้ 'กระแส' ชนะ 'ข้อมูลและเหตุผล'
ดร.เสรี วงษ์มณฑา นักวิชาการด้านการตลาดและการสื่อสาร โพสต์เฟซบุ๊กว่าอิทธิพลของการสื่อสารตามทฤษฎี hypodermic needle theory กำลังสำแดงหลักฐาน
‘พิธา’ ฟุ้งผลเลือกตั้งซ่อมสส.ระยอง กระดุมเม็ดแรก ในการหาเสียงครั้งต่อไป
'พิธา'นำทีมพรรคก้าวไกล ขอคุณชาวระยองเทคะแนนเลือก'พงศธร' ชนะเลือกตั้งซ่อมสส.ระยองเขต 3
‘เจี๊ยบ’ เริ่มเฮ! นับคะแนนเลือกตั้งซ่อมสส.ระยอง เขต 3 ผู้สมัคร ‘ก้าวไกล’ ยังนำ ‘ปชป.’
อมรัตน์ เริ่มเฮ คะแนนเลือกตั้งซ่อมระยองเขต 3 ก้าวไกลยังนำ
'ด้อมแดง' โชว์ตรรกะอวย 'หมอชลน่าน' เพิ่งนั่ง รมว.สธ. ก็ได้กลิ่นความเจริญแล้ว
นพ.อิราวัต อารีกิจ หรือ หมออั้ม กองเชียร์พรรคเพื่อไทย อดีตแนวร่วมม็อบสามนิ้ว โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก “อั้ม อิราวัต” วันนี้ได้มีโอกาส คุยกับพี่หมอชลน่าน บอกได้เลย ว่าดีใจกับประชาชนไทย
'พิธา' ประกาศเป็นนายกฯ คนที่ 31 ประชาชนไม่ใช่แค่ตัวประกัน แต่เป็นประธาน
พรรคก้าวไกล จัดเวทีปราศรัยใหญ่ทิ้งท้ายการเลือกตั้งซ่อม สส. เขต 3 จ.ระยอง ที่จะเกิดขึ้นในวันที่ 10 ก.ย.นี้ โดยพรรคก้าวไกลได้ส่ง นายพงศธร ศรเพชรนรินทร์ เป็นผู้สมัครสำหรับการเลือกตั้งครั้งนี้ โดยนอกจาก สส.ระยอง พรรคก้าวไกล ทั้ง 4 เขตแล้ว ยังมีแกนนำและ สส.พรรคก้าวไกล
จับโป๊ะ! 'เจี๊ยบก้าวไกล' ใช้ภาพเวทีขอนแก่น ปั่นหาเสียงระยอง ด้อมส้มอายหน้ามุดดิน
นางอมรัตน์ โชคปมิตต์กุล แกนนำพรรคก้าวไกล โพสต์ภาพและข้อความการหาเสียงเลือกตั้งซ่อม สส.ระยองผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวว่า ขอบคุณพี่น้องชาวระยอง 10 กันยาเข้าคูหา กาโย พงศธร เบอร์ 1