สุวัจน์-30 ปีพรรคชาติพัฒนา เราต้องคัมแบ็ก กลับมาใหญ่กว่าเดิม

พรรคชาติพัฒนา ที่ก่อตั้งพรรคและเข้าสู่สนามการเลือกตั้งครั้งแรกเมื่อปี 2535 ภายใต้การนำของพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ อดีตนายกรัฐมนตรี มาถึงปัจจุบันปี 2565  เท่ากับว่าพรรคชาติพัฒนาอยู่บนถนนการเมืองมา 30 ปีแล้ว ถือเป็นพรรคการเมืองที่มีตำนาน-ผ่านร้อนผ่านหนาว ผ่านประสบการณ์การเมืองการเลือกตั้งมาอย่างโชกโชน

สุวัจน์ ลิปตพัลลภ อดีตรัฐมนตรีหลายสมัย และในฐานะประธานที่ปรึกษาพรรคชาติพัฒนา ซึ่งอยู่ร่วมกับพรรคชาติพัฒนามาตั้งแต่ก่อตั้งพรรค กล่าวถึงการเตรียมพร้อมของพรรคชาติพัฒนาในการจะเข้าสู่สนามการเมืองการเลือกตั้งรอบหน้า ตลอดจนแสดงทัศนะต่อการแก้ปัญหาเศรษฐกิจของประเทศเพื่อแก้ปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน

ประธานที่ปรึกษาพรรคชาติพัฒนา กล่าวว่า กติกาการเลือกตั้งรอบหน้าซึ่งจะมีการใช้บัตรเลือกตั้งแบบบัตรสองใบ ในส่วนของพรรคชาติพัฒนามีความพร้อมสำหรับกติกาที่เปลี่ยนแปลงไปจากตอนเลือกตั้งปี 2562 โดยพรรคต้องมาปรับกลยุทธ์ ยุทธศาสตร์ เพื่อที่จะทำอย่างไรให้พรรคชนะเลือกตั้งได้ ส.ส.เข้าสภา จะได้เข้าไปผลักดันนโยบายที่พรรคเห็นว่าจะเป็นประโยชน์ต่อประชาชน

การเลือกตั้งครั้งหน้า พรรคชาติพัฒนาต้องคัมแบ็ก..คำว่าคัมแบ็กก็คือ เราต้องกลับมาใหญ่กว่าเดิม

สำหรับกติกาการเลือกตั้งแบบบัตรสองใบ ผมเห็นว่ามีความแฟร์ดี เพราะเป็นการแยกกันเลยระหว่างการเลือก ส.ส.เขตกับปาร์ตี้ลิสต์ ผมคิดว่าระบบบัตรสองใบ ในความเป็นพรรคชาติพัฒนา เนื่องจากเราเป็นพรรคเก่าแก่พอสมควร เพราะพลเอกชาติชายตั้งพรรคชาติพัฒนาตั้งแต่ปี 2535 หลังกลับจากต่างประเทศ เมื่อผ่านพ้นเหตุการณ์คณะ รสช.ทำรัฐประหารเมื่อปี 2534 ซึ่งด้วยความที่พรรคชาติพัฒนาเป็นพรรคเก่าแก่ เป็นที่รู้จักของประชาชน  เพราะตั้งมาตั้งแต่ปี 2535 จนถึงปัจจุบันปี 2565 รวมเวลา  30 ปี ผมจึงคิดว่าการเลือกตั้งในระบบบัตรสองใบ พรรคที่มีตำนาน พรรคที่มีความเก่าแก่จะได้เปรียบ เพราะเหมือนกับมีบทบาท มีผลงาน และอยู่ในความทรงจำของประชาชนมาตลอด ไม่เหมือนกับการเลือกตั้งบัตรใบเดียวแบบตอนปี 2562 ที่นำคะแนนของผู้สมัคร ส.ส.เขตมาคำนวณเป็นคะแนนของพรรค ทำให้การที่พรรคการเมืองจะได้คะแนนมากหรือน้อยเท่าใด ไม่ใช่เป็นความนิยมของพรรค แต่เป็นเรื่องคะแนนนิยมของผู้สมัครจากเขตเลือกตั้ง เพราะมีบัตรใบเดียว จึงชี้อะไรไม่ได้ว่าคนชอบพรรคมากหรือชอบพรรคน้อย เพราะคะแนนถูกกำหนดผ่านตัวผู้สมัคร ส.ส.เขต แต่ว่าการเลือกตั้งรอบหน้าที่ใช้บัตรสองใบ มันค่อนข้างชัดเจนคือ หากชอบพรรคการเมืองใดก็ลงคะแนนบัตรเลือกตั้งที่เป็นบัตรระบบบัญชีรายชื่อ หรือหากชอบผู้สมัคร ส.ส.เขตก็เลือกในบัตรเลือกตั้งระบบเขต

พรรคการเมืองที่มีความเก่าแก่และมีตำนาน หรือว่ามีผลงานจากอดีตจะอยู่ในความทรงจำ เป็นสิ่งที่ประชาชนรู้จัก เรื่องบัตรสองใบพรรคชาติพัฒนาไม่ได้รู้สึกว่าเสียเปรียบแต่อย่างใด พรรคพร้อมจะเล่นในกติกานี้ เพราะมีฐานคะแนนเก่าของเราอยู่แล้ว ที่เรารู้ได้จากตอนเลือกตั้งที่เคยใช้บัตรสองใบ ที่ทำให้เรารู้ว่าพรรคมีฐานคะแนนอยู่เท่าใด ซึ่งก็มีฐานคะแนนเก่าอยู่ประมาณล้านกว่าคะแนนในช่วงที่เคยมีการเลือกตั้งด้วยระบบบัตรสองใบ พรรคจึงไม่ได้หนักใจ ยืนยันว่าพรรคชาติพัฒนามีความพร้อม

สุวัจน์-อดีตรัฐมนตรีหลายสมัย มองปัญหาประเทศในปัจจุบันเชื่อมโยงไปถึงการทำนโยบายพรรคการเมืองเพื่อแก้ปัญหาให้ประชาชนว่า พรรคการเมืองต้องดูสถานการณ์ประเทศ สถานการณ์การเมืองให้ออกว่าประชาชนต้องการอะไร เช่นประชาชนมีความเดือดร้อนจากสถานการณ์ต่างๆ เราในฐานะพรรคการเมืองต้องคิดในสิ่งที่จะไปตอบสนองความต้องการของประชาชน ต้องจับจุดให้เจอว่าประชาชนเดือดร้อนเรื่องอะไร เขาอยากได้อะไร อยากได้ใครมาช่วยแก้ปัญหาให้ เราต้องมองให้ออก

อย่างวันนี้เราก็มองว่า สิ่งที่ประชาชนต้องการคือการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ น่าจะเป็นเรื่องสำคัญอันดับหนึ่งในการตัดสินใจของประชาชน เพราะที่ผ่านมาเศรษฐกิจเราถดถอยมานานพอสมควร แล้วยิ่งมาเจอปัญหาวิกฤตที่สร้างผลกระทบทางเศรษฐกิจไปทั่วโลก รวมถึงประเทศไทยที่ได้ผลกระทบหลายภาคส่วน

อย่างเช่นเรื่อง การท่องเที่ยว ที่นักท่องเที่ยวต่างชาติหายไปในช่วงสองปีที่ผ่านมาในช่วงโควิด จากที่เคยมีนักท่องเที่ยวต่างชาติมาเที่ยวไทยปีละ 40 ล้านคน ก็หายไป ที่ได้สร้างผลกระทบตามมา เพราะอย่างนักท่องเที่ยวต่างชาติมาเที่ยวประเทศไทย มีการคำนวณว่านักท่องเที่ยวหนึ่งคนที่เฉลี่ยจะอยู่ประมาณสิบวัน และใช้เงินในช่วงมาเที่ยวประเทศไทยประมาณวันละห้าพันบาทต่อหนึ่งคน  แบ่งเป็นเช่นค่าพักโรงแรม เงินที่ใช้ในการช็อปปิ้ง จึงเท่ากับนักท่องเที่ยวหนึ่งคนที่อยู่สิบวันและใช้เงินคนละห้าพันบาทต่อวัน ก็จะอยู่ที่คนละประมาณห้าหมื่นบาท เมื่อนำห้าหมื่นบาทไปคูณกับนักท่องเที่ยวที่มาปีละสี่สิบล้านคน จึงเท่ากับจะมีรายได้จากการท่องเที่ยวปีละ 2 ล้านล้านบาท  ซึ่งสมมุติจีดีพีเราประมาณ 15 ล้านล้านบาท เงินจากการท่องเที่ยว 2 ล้านล้านบาทเท่ากับประมาณ 15 เปอร์เซ็นต์ของจีดีพี เมื่อนักท่องเที่ยวหายไปสี่สิบล้านคน เงินสองล้านล้านบาทก็หายไปด้วย

ยิ่งรายได้จากการท่องเที่ยวเหมือนกับเราไปสู่เศรษฐกิจระดับรากหญ้า ทุกอาชีพได้หมด ทุกหมู่บ้าน-ตำบล โดยแม้การพัฒนาเศรษฐกิจที่อยู่บนพื้นฐานการท่องเที่ยว เงินอาจไม่เยอะเท่ากับการส่งออก แต่ว่าเงินกระจาย ไม่กระจุก และไปทุกพื้นที่ทั่วประเทศ ไปถึงมือประชาชนทุกอาชีพได้อย่างรวดเร็ว ทำให้เมื่อนักท่องเที่ยวต่างชาติหายไป ประชาชนหลายกลุ่มอาชีพต่างเดือดร้อนในเรื่องเศรษฐกิจ เราต้องมองบริบทดังกล่าวให้ออกว่าประชาชนและประเทศชาติกำลังเผชิญกับปัญหาอะไร พรรคการเมืองต้องนำความเดือดร้อนทางด้านเศรษฐกิจ เพื่อไปออกแบบแนวทางในการจะแก้ปัญหาให้ประชาชน

 การเลือกตั้งระบบบัตรสองใบ สิ่งสำคัญที่สุดคือ พรรคการเมืองต้องมีนโยบายที่ดี โดนใจประชาชน  การเลือกตั้งรอบหน้า จะแพ้-ชนะกัน ปัจจัยชี้ขาดจะอยู่ที่นโยบาย คือพรรคการเมืองใดจะออกแบบนโยบายด้านเศรษฐกิจที่ตอบโจทย์ ตรงใจประชาชน และประชาชนเชื่อมั่นว่านโยบายพรรคการเมืองนั้นจะแก้ปัญหาให้เขาได้”

 เราจึงต้องมองว่าตอนนี้ประเทศมีปัญหาอะไรบ้าง แล้วนำปัญหานั้นมาตีโจทย์ให้ออก แล้วก็เขียนเป็นนโยบายพรรคออกมา อย่างตอนนี้ปัญหาหลักๆ ที่มีก็เช่นเรื่อง หนี้สาธารณะ หรือเรื่อง หนี้ครัวเรือน ก็อยู่ที่ประมาณสิบสี่ล้านล้านบาท และเรายังมีปัญหาเรื่องความเหลื่อมล้ำ-เรื่องระบบการศึกษา ที่ต้องมีการปฏิรูป หรือการที่จะทำให้เราปรับตัวให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีอย่างไร โดยยี่สิบปีที่ผ่านมาขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศมีแต่ลดลง อย่างจีดีพีที่เคยโตปีละสิบเปอร์เซ็นต์ แต่ที่หล่นมาเหลือ 3-4 เปอร์เซ็นต์ก่อนโควิด เพราะเราไม่ทันเรื่องเทคโนโลยี และช่วงสิบปีที่ผ่านมาก่อนเจอโควิด ที่เรียกกันว่ายุคปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่สี่ ที่มีดิจิทัลเทคโนโลยีเข้ามา แต่เราปรับตัวไม่ทัน ทำให้ฐานการผลิต-ฐานการส่งออกของเรามีปัญหา ยิ่งตอนนี้ไม่ใช่แค่ดิจิทัลเทคโนโลยีแล้ว แต่นำไปสู่เรื่องของ Biotechnology AI หรือ Artificial Intelligence, Cryptocurrency, Blockchain, รถยนต์ไฟฟ้า เป็นต้น

วันนี้กระบวนการเปลี่ยนแปลงด้านเทคโนโลยีของโลก กำลังเป็นปัญหาใหญ่ เพราะแค่ดิจิทัลเทคโนโลยีอย่างเดียว เราก็ตามไม่ทันแล้ว ทำให้ขีดความสามารถด้านการแข่งขันของประเทศดร็อปลงมา และยังมีเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่แค่ของเก่าเราก็ตามไม่ทันแล้ว แล้วก็บวกกับผลกระทบโควิดเข้าไปอีก เราจึงเจอหลายปัญหา และวันนี้ทุกประเทศก็ให้ความสำคัญกับเรื่องการเป็นสมาชิกของเขตภูมิรัฐศาสตร์ที่เกิดการเปลี่ยนแปลง ที่กลุ่มประเทศต่างๆ ก็จะรวมกลุ่มทางการค้ากัน อย่างประเทศไทยก็เจอประมาณ 5-6 กลุ่มการค้าที่อยู่ล้อมรอบเราหมด เช่นการเป็นสมาชิกกลุ่มประเทศอาเซียน แล้วก็ยังมีอาเซียน+6 ที่มีข้อตกลง RCEP และยังมีเอเปก, อนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง, สามเหลี่ยมเศรษฐกิจตอนใต้ เป็นต้น จะเห็นได้ว่าไทยเราอยู่ในบริบทของการเปลี่ยนแปลง และอยู่ท่ามกลางเขตภูมิรัฐศาสตร์ที่จะมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจ การผลิต การส่งออก การลงทุน การท่องเที่ยว

ดังนั้นในฐานะที่เป็นพรรคการเมือง ต้องมองแล้วว่า ปัญหาของโลกที่จะมากระทบต่อประเทศคืออะไร บริบทของเทคโนโลยีที่จะมาเปลี่ยนโครงสร้างทางเศรษฐกิจคืออะไร เรื่องของกติกาของเขตการค้าทางภูมิรัฐศาสตร์ต่างๆ จะทำให้เราเสียเปรียบหรือได้เปรียบอะไร เทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไปจะทำให้สังคมไทยปรับตัวทันหรือไม่

ต้องรบบนจุดแข็ง จะชนะแบบยั่งยืน

สุวัจน์ ประธานที่ปรึกษาพรรคชาติพัฒนา ย้ำว่า  ในฐานะพรรคการเมืองด้วยกัน ผมอยากให้ทุกพรรคการเมืองเห็นปัญหา เห็นโอกาสของประเทศรวมถึงฐานใหม่ของประเทศ แล้วก็มาช่วยกันคิดจากประสบการณ์ของแต่ละพรรคการเมือง แล้วก็นำเสนอนโยบายดีๆ ต่อประชาชน

"ผมเองอยู่กับการเมืองมาสามสิบกว่าปี ผมบอกได้เลยว่ารอบนี้เป็นสถานการณ์ของประเทศที่หนักที่สุด ประชาชนเดือดร้อนมากที่สุด แล้วเราก็ยังเจอเรื่องข้าวยากหมากแพง ทุกคนต้องมาช่วยกัน ในการนำเสนอความคิดเห็นและนโยบายดีๆ ให้กับประชาชน"

ในส่วนของพรรคชาติพัฒนา เวลานี้เราก็ระดมสมองกันเป็นการภายใน สำหรับการจัดทำนโยบายด้านเศรษฐกิจ ซึ่งพรรคมีความมั่นใจ เพราะชาติพัฒนาผ่านร้อนผ่านหนาวมาแล้วสามสิบกว่าปี ในฐานะพรรคการเมืองเก่าแก่ มีประสบการณ์ คิดว่านโยบายของพรรคชาติพัฒนาที่เรากำลังดำเนินการจัดทำ จะเป็นนโยบายที่ทำให้ประชาชนสบายใจ และเป็นนโยบายที่เรามั่นใจว่าแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจได้ และสร้างแพลตฟอร์ม ฐานใหม่ให้กับระบบเศรษฐกิจของประเทศ เพราะวันนี้เราจะอยู่กับฐานเก่าไม่ได้แล้ว เราต้องสร้างฐานใหม่

"วันนี้หากจะรบ ต้องรบบนจุดแข็ง ถ้ารบบนจุดแข็งแล้วจะไม่แพ้ใคร แล้วจะชนะอย่างยั่งยืน อย่ารบบนจุดอ่อน เพราะที่ผ่านมาเหมือนกับเรารบบนจุดอ่อน เราเจอเทคโนโลยีที่เป็นจุดอ่อนของเรา แต่เราก็รบบนจุดอ่อน วันนี้เราจะต้องเอาจุดอ่อนมาเป็นจุดแข็ง เอาเทคโนโลยีมาใช้กับจุดแข็งของเรา"

สำหรับจุดแข็งของเรา ผมมองว่าประเทศไทยเราวันนี้มีจุดแข็งสองเรื่องในเรื่องเศรษฐกิจหากจะปรับฐาน

จุดแข็งเรื่องแรกคือ การที่ประเทศไทยเราเป็นอู่ข้าวอู่น้ำของโลก เป็นเมืองอาหาร เมืองเกษตรของโลก ประเทศไทยจึงสามารถที่จะเป็นประเทศที่มีบทบาทของโลกได้ด้วยอุตสาหกรรมอาหาร อุตสาหกรรมการเกษตร เพราะไทยเราก็อยู่ในอันดับท็อปไฟว์ของโลกในการผลิตและส่งออกทั้งข้าว อ้อย ยางพารา น้ำมันปาล์ม แต่ส่วนใหญ่ยังส่งออกในรูปของวัตถุดิบ เราต้องมาพิจารณาผลักดันกันว่าจะทำอย่างไรให้กลายเป็นสินค้าอุตสาหกรรมเพื่อเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์แล้วก็ส่งออก โดยใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการผลิต รวมถึงการทำมาร์เก็ตติงและการนำแพลตฟอร์มสมัยใหม่มาช่วยส่งเสริมสนับสนุนเพื่อแปรรูปสินค้าเกษตรให้เป็นสินค้าอุตสาหกรรมขั้นสูง ที่หากทำได้ก็จะเกิดทั้ง  Supply Chain, ธุรกิจ SME, ผู้ประกอบการ เกิดการจ้างแรงงาน เกิดขึ้นใหม่ๆ จนผลิตภัณฑ์มีมูลค่าเพิ่มมากขึ้นในการส่งออก ที่ก็จะนำรายได้เข้าประเทศไทยตามมา

จุดแข็งเรื่องที่สองคือเรื่อง การท่องเที่ยว ซึ่งรายได้จากการท่องเที่ยวจะกระตุ้นเศรษฐกิจได้เร็วที่สุด เพราะกระจายไปยังประชาชนทุกกลุ่มอาชีพ ทุกตารางนิ้วของประเทศ

การท่องเที่ยวที่ผ่านมา ผมมองว่าบางทีเราไปให้ความสำคัญกับเรื่องของการเพิ่มตัวเลขนักท่องเที่ยวอย่างเดียว เช่นเราบอกว่ามีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาไทยปีละ  40 ล้านคน ผมมองว่านอกจากจะมองเรื่องการเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวแล้ว อยากให้มองอีกมุมหนึ่งว่าอาจไม่ต้องไปเน้นการเพิ่มปริมาณ แต่ควรทำให้นักท่องเที่ยวอยู่ประเทศไทยนานขึ้น

ยกตัวอย่างเช่นแทนที่จะอยู่ 10 วัน ก็ทำให้เขาอยู่นานขึ้นเป็น 12 วัน โดยเราต้องพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวในประเทศให้สามารถตอบสนองให้นักท่องเที่ยวอยู่ยาวขึ้น  เพราะหากเขาอยู่ยาวขึ้นมาหนึ่งวัน เท่ากับเราก็จะได้รายได้จากจากนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นห้าพันบาท และหากเป็นสองวันก็ได้เพิ่มหนึ่งหมื่นบาท

หากคิดจากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เข้ามาเมืองไทยปีละ 40 ล้านคน ที่บอกไว้ตอนต้นว่านักท่องเที่ยวหากมาอยู่เมืองไทยสิบวัน จะมีค่าใช้จ่ายเฉลี่ยคนละห้าหมื่นบาทหรือวันละห้าพันบาท ซึ่งหากทำให้เขาอยู่เมืองไทยนานขึ้น จากสิบวันเป็นสิบสองวัน ก็จะใช้เงินเพิ่มอีกคนละหนึ่งหมื่นบาท ซึ่งถ้านำไปคูณกับตัวเลข 40 ล้านคนก็เท่ากับจะมีรายได้เพิ่มขึ้นปีละ 4 แสนล้านบาท แค่ทำให้เขาอยู่เพิ่มขึ้นอีกคนละสองวัน

ดังนั้นแทนที่จะคิดแค่ว่า แต่ละปีต้องทำให้มีนักท่องเที่ยวเข้ามาเที่ยวมากขึ้นปีละกี่เปอร์เซ็นต์ ทำไมเราไม่คิดว่าจะทำอย่างไรให้เขาอยู่เที่ยวประเทศไทยยาวขึ้น ซึ่งการจะทำให้เขาอยู่ยาวขึ้น เราต้องมี product เยอะๆ ให้มีความหลากหลาย ทำให้เขาเห็นว่ามาเที่ยวเมืองไทย ไปเที่ยวจุดไหนก็ไม่ซ้ำ มีแหล่งท่องเที่ยว แหล่งซื้อสินค้า มีวัฒนธรรมและอาหารการกินที่หลากหลาย แต่ทุกอย่างดีหมด อาหารอร่อยหมด วัฒนธรรมและแหล่งท่องเที่ยวสวยงามหมด แต่ดีคนละแบบ รวมถึงต้องทำให้แหล่งท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมต่างๆ อย่างกรุงเทพมหานคร เชียงใหม่  ภูเก็ต เกาะสมุย หัวหิน ต้องมีจุดเชื่อมโยงเรื่องระบบการคมนาคม เช่นเครื่องบิน ขนส่งมวลชนในการเชื่อมโยงแต่ละจุด

นอกจากนี้ แหล่งท่องเที่ยวที่เรียกว่าเมืองรอง จะพบว่าอันซีนไทยแลนด์ยังมีอีกเยอะในหลายจังหวัด ที่มีทั้งเรื่องของวัฒนธรรม อาหารการกิน ไลฟ์สไตล์ วิถีชีวิตต่างๆ  เพราะประเทศไทยอุดมสมบูรณ์ไปด้วย product ทางด้านการท่องเที่ยวที่มีความแตกต่างหลากหลายและสวยงาม  เมื่อนักท่องเที่ยวอยู่เมืองไทยยาวขึ้น ประเทศก็จะมีรายได้จากนักท่องเที่ยวมากขึ้น

และสุดท้าย เราต้องสร้าง product เราให้เป็นไฮเอนด์  ให้เมืองไทยเป็นเมืองท่องเที่ยวระดับบน เพื่อเพิ่มการใช้จ่ายต่อหัว ซึ่งหากทำแบบนี้การเพิ่มจำนวนวันในการมาเที่ยวให้อยู่นานขึ้นอาจไม่พอ อาจต้องพยายามทำให้นักท่องเที่ยวใช้จ่ายเงินในการมาเที่ยวเมืองไทยมากขึ้น เช่นจากค่าเฉลี่ยเคยใช้วันละห้าพันบาท ก็ต้องทำให้เพิ่มเป็นวันละหกพันบาทหรือเจ็ดพันบาท ซึ่งหากทำได้จากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศที่มาเที่ยวเมืองไทยปีละสี่สิบล้านคน  เอาแค่ให้ตัวเลขอยู่ที่จำนวนดังกล่าว แต่หากทำให้อยู่นานขึ้นจากสิบวันเป็นสิบสองวัน รายได้ก็เพิ่มขึ้นมาแล้วยี่สิบเปอร์เซ็นต์ และทำให้เพิ่มค่าใช้จ่ายจากวันละห้าพันบาทเป็นหกพันบาท ก็ทำให้มีรายได้เพิ่มขึ้นอีกยี่สิบเปอร์เซ็นต์  สองอย่างรวมกันก็เพิ่มขึ้นมาแล้วสี่สิบเปอร์เซ็นต์

ดังนั้น หากนำเรื่องการท่องเที่ยวมาทำแผนให้เป็นวาระแห่งชาติจริงๆ แล้วปรับแพลตฟอร์มทางเศรษฐกิจ-ให้ความสำคัญกับ raw material ที่เรามีอยู่ ทั้งเรื่องการเกษตรและการท่องเที่ยวที่เรามีอยู่ ผมว่าจะหาประเทศที่มาสู้กับเรายาก

"ผมถึงบอกว่าหากเราจะรบหรือต่อสู้ในเรื่องเศรษฐกิจ เราต้องหาตัวตนของเราให้เจอ แล้วสร้างฐานของเราให้แข็งแกร่ง สร้างแพลตฟอร์มใหม่ แล้วก็นำเทคโนโลยีและการทำมาร์เก็ตติงมาสนับสนุน"

ภารกิจสำคันำพรรค ชพน.คัมแบ็ก

สุวัจน์ ประธานที่ปรึกษาพรรคชาติพัฒนา กล่าวด้วยว่า การตัดสินใจของประชาชนในการเลือกตั้งครั้งหน้าที่จะมีขึ้น มองว่าประชาชนจะพิจารณาจากปัจจัยที่ประกอบด้วย 1.เรื่องนโยบายทางเศรษฐกิจที่แต่ละพรรคการเมืองนำเสนอ จะต้องปังและโดนใจประชาชน 2.เรื่องตัวผู้นำ ที่แต่ละพรรคการเมืองต้องเสนอชื่อแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคในช่วงหาเสียง รายชื่อดังกล่าวต้อง matching กับตัวนโยบายพรรคด้วย คือต้องทำให้ประชาชนมีความมั่นใจด้วยว่าชื่อที่ประกาศต้องได้รับการยอมรับ เช่นมีประสบการณ์ มีความรู้ความสามารถที่จะมาผลักดันนโยบายที่พรรคนำเสนอไปปฏิบัติได้

พรรคชาติพัฒนาก็มองสองส่วน คือนโยบายทางเศรษฐกิจ ที่จะแก้ไขปัญหาและสร้างแพลตฟอร์มใหม่ และสองคือตัวแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ซึ่งตอนนี้พรรคชาติพัฒนาทำอยู่ โดยพรรคมีความพร้อมเพราะเรามีประสบการณ์ ชาติพัฒนาเป็นพรรคร่วมรัฐบาลมาหลายยุค  ผ่านร้อนผ่านหนาวมามาก ผ่านประสบการณ์ทางการเมืองมามากมาย ผมคิดว่าด้วยความสำเร็จของนโยบายเศรษฐกิจที่เคยทำมาในอดีต บวกกับประสบการณ์ทางการเมือง และพรรคชาติพัฒนาอยู่ในจุดที่ว่าเป็นพรรคการเมืองที่มีความเป็น มิตรกับทุกฝ่าย ซึ่งพลเอกชาติชายเคยพูดอยู่เสมอว่า ความร่วมมือทางการเมืองจะเป็นพื้นฐานของเสถียรภาพทางการเมืองที่สำคัญ หากการเมืองขาดความร่วมมือกัน บางทีก็เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาเสถียรภาพทางการเมืองให้เกิดขึ้น จึงเห็นได้ว่าพรรคชาติพัฒนาทำงานการเมืองแบบสร้างสรรค์และหามิตร อย่างเราเคยพูดว่า "หันหน้าเข้าหากัน สร้างสรรค์เศรษฐกิจไทย" เราจะเข้าสู่สนามเลือกตั้งด้วยแนวคิดแบบนี้

เรามั่นใจสำหรับการเลือกตั้งที่จะมีขึ้นรอบหน้า  ผมเคยบอกกับประชาชนชาวโคราชไว้ว่า การเลือกตั้งครั้งหน้า พรรคชาติพัฒนาต้องคัมแบ็ก คำว่าคัมแบ็กก็คือ เราต้องกลับมาใหญ่กว่าเดิม”

เพราะต้องยอมรับว่าการเลือกตั้งเมื่อปี 2562 ที่ผ่านมา ซึ่งอาจเพราะด้วยกติกาการเลือกตั้งที่เป็นกติกาใหม่ และมีความตื่นตัวทางการเมืองที่มีคนรุ่นใหม่เข้ามามีบทบาท การปรับตัวของพรรคการเมืองก็ต้องปรับตัวให้ทันกับปัจจัยแวดล้อมทางการเมืองที่เปลี่ยนแปลงไป อย่างพรรคเคยมี ส.ส.ครั้งแรกตอนพลเอกชาติชายตั้งพรรค  ตอนนั้นพรรคมี ส.ส.หลังเลือกตั้งใหญ่ 60 คน จากนั้นการเลือกตั้งครั้งที่สองมี 52 คน ครั้งที่สามมี 27 คน ครั้งที่สี่มี ส.ส. 9 คน ครั้งที่ห้าได้ 7 คน และหลังเลือกตั้งปี 2562 ได้มา 3 คน แต่ขณะนี้เรามาตั้งหลักกันใหม่ ตั้งใจว่าจะทำให้ดีที่สุดเพื่อให้พรรคชาติพัฒนามีเสียง ส.ส.มากขึ้น เพราะเราเห็นความเดือดร้อนของประชาชนทางด้านเศรษฐกิจ และเราก็มั่นใจ เราอยากทำงาน อยากมาทำงานเพื่อช่วยเหลือประชาชน แต่บางทีเสียงเราน้อย การเมืองเมื่อเสียงน้อย บางทีก็ไม่ได้ยิน เสียงจึงต้องมีเยอะพอสมควร เพื่อที่เวลาพูดอะไรไปแล้วเขาได้ยิน หรือเพื่อที่จะได้ไปบริหารจัดการในเรื่องของความรับผิดชอบทางการเมือง ไปทำงานในกระทรวงที่มีบทบาทด้านเศรษฐกิจ

-การทวงคืนพื้นที่เลือกตั้งโคราชของพรรคชาติพัฒนา มีความมั่นใจมากน้อยแค่ไหน?

พื้นที่นครราชสีมา หากไปดูในยุคท่านพลเอกชาติชาย เป็นหัวหน้าพรรค ตอนนั้นพรรคชาติพัฒนารุ่งเรืองสุดขีด  เราเคยได้ ส.ส. 15 คน จากจำนวนที่มี 16 คน แต่ช่วงหลังก็ลดลงมาเหลือ 7 คน โดยก่อนเลือกตั้งปี 2562 เหลือ 3  คน ส่วนการเลือกตั้งปี 2562 พรรคมี ส.ส.เขตโคราชแค่คนเดียว เรามีความตั้งใจทำพรรคชาติพัฒนาให้เข้มแข็งขึ้น โดยเฉพาะที่โคราช เพราะโคราชก็เหมือนเป็นเรือนตายของพรรคชาติพัฒนา ต้องดูว่าเราจะทำได้สำเร็จหรือไม่ในการเลือกตั้งที่จะมีขึ้น.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

'สุวัจน์' หวนคืนชื่อเดิม 'พรรคชาติพัฒนา' แต่งตั้ง สส.แจ้ เป็นรองหัวหน้าพรรค

พรรคชาติพัฒนากล้า เปิดการประชุมใหญ่สามัญ ประจำปี 2567 นำโดยนายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ ประธานพรรคชาติพัฒนากล้า , นายเทวัญ ลิปตพัลลภ หัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า ที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี ,

‘อ้วยอันโอสถ’ภารกิจปั้นแบรนด์สู่นิวลุกส์ พัฒนาสินค้ารับเทรนด์สมุนไพรมาแรง

สำหรับ บริษัท อ้วยอันโอสถ จำกัด นั้น นับเป็นแบรนด์ยาสมุนไพรที่อยู่คู่คนไทยมายาวนาน 77 ปี ที่ปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์ยาสมุนไพรในหลายหมวดและมีมากกว่า 100 รายการ

“มิจฉาธรรม .. ในอสัตบุรุษที่น่ากลัวยิ่ง”

เจริญพรสาธุชนผู้มีจิตศรัทธาในพระพุทธศาสนา สงกรานต์ร้อนที่เข้าสู่จุลศักราช ๑๓๘๖ เถลิงศกตรงกับ ๑๖ เมษายน ๒๕๖๗ นับว่าร้อนแล้ง ตรงกับคำพยากรณ์ที่พร้อมเกิดพายุร้อนได้ในทุกพื้นที่ เป็นการแสดงสภาวะผันผวนที่เนื่องมาจากวิกฤตร้อนของโลก (Climate Change) ที่หลายฝ่ายเฝ้าสังเกตการณ์ด้วยความเป็นห่วงว่า มนุษยชาติจะผ่านวิกฤตโลกร้อนไปได้หรือไม่..

สู่.. โครงการพระคืนสู่ป่า น้อมถวายเป็นพระราชกุศลฯ

เจริญพรสาธุชนผู้มีจิตศรัทธาในพระพุทธศาสนา ในห้วงเวลาที่อากาศร้อนจัด จนเข้าสู่วิกฤตการณ์ โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคเหนือ ภาคอีสานของประเทศ

โคราชของแทร่! พ่นสีทางเท้าจองที่ขายของช่วงสงกรานต์ เลอะเทอะทั่วเมือง

นายไกรสีห์ หล่อธราประเสริฐ รองนายกเทศมนตรีนครนครราชสีมา พร้อมคณะผู้บริหาร ได้ลงพื้นที่ตรวจสอบพ่อค้าแม่ค้ามักง่ายฉีดสีสเปรย์พ่นจับจองพื้นที่ขา

เปิดประสบการณ์เยือน“แดนมังกร”แบบใจฟู! มนตร์เสน่ห์ครบเครื่องทั้งความอลังการทันสมัยและสถาปัตยกรรมสุดงดงาม

ถ้าพูดถึง “จีน” โดยเฉพาะเวลาไปท่องเที่ยว คนส่วนใหญ่จะยังติดภาพจีนในเวอร์ชันเดิมๆ คนเสียงดังๆ ห้องน้ำที่อาจจะไม่ค่อยสะอาด และเวลาเข้าจะต้องคอยลุ้นเสมอว่าจะเจอแจ็กพอร์ตหรือไม่