ประชาธิปไตยแบบไทยของพลเอก'แสวง เสนาณรงค์'

การได้มีโอกาสพลิก หนังสืองานศพ อ่านเล่มแล้ว เล่มเล่า ในช่วง ระยะพักฟื้น นอกจากจะให้คุณค่าในด้านจิตวิญญาณได้ตระหนักถึง มรณานุสติ กันในแต่ละช่วงแต่ละระยะๆ ยังแถมได้ เนื้อหา-สาระ จากสิ่งละอันพันละน้อย ที่ญาติมิตรของผู้ตายพยายามสอดแทรก นำเสนอ เพื่อยังประโยชน์ เพื่อให้เป็นข้อคิด อุทาหรณ์ เป็นเครื่องเตือนใจ ประดับสติปัญญาของผู้อ่านที่ยังมีชีวิตอยู่ให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้...

    รวมทั้งประวัติความเป็นมา วิถีชีวิตของผู้ที่ต้องลา-ละ-สละจากโลกนี้ไปในแต่ละราย แล้วถูกถ่ายทอดเอาไว้ในหนังสือแต่ละเล่มก็ยังก่อให้เกิดสีสันที่น่าตื่นตา ตื่นใจ มิใช่น้อย แม้ส่วนใหญ่จะนำเอา ส่วนดี มาสรรเสริญ ยกย่อง ไว้ตามแบบฉบับ ตามค่านิยมของสังคมเป็นหลัก แต่นั่นก็ไม่ได้ลดทอนความน่าสนใจ น่าคิดสะกิดใจลงไปเลยแม้แต่น้อย โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่ไม่เคยรู้จักมักจี่กันมาก่อน อย่างเช่นหนังสืออนุสรณ์งานพระราชเพลิงศพ พลเอกแสวง เสนาณรงค์ ผู้ซึ่งมรณภาพไปเมื่อเกือบ 50 ปีที่แล้ว หรือเมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2520 และได้ไปนำเอาข้อเขียน บทความ ของบุคคลผู้นี้ที่เขียนเอาไว้ตั้งแต่ปี พ.ศ.2500 หรือเมื่อ 60 กว่าปีที่แล้ว ขณะที่ยังมียศตำแหน่งเป็นแค่ พันเอก ว่าด้วยเรื่อง พุทธศาสนากับโลก มาเผยแพร่ ตีพิมพ์ ไว้ในท้ายเรื่อง ชนิดอ่านแล้วอดทึ่ง อดประทับใจ กับความเฉียบแหลม เฉียบคม ความก้าวหน้า ทันสมัย ของอดีตนายทหารที่เคยมีฐานะเป็นเสมือนหนึ่ง มือขวา ของอดีตผู้นำประเทศยุคโบราณ อย่าง จอมพลถนอม กิตติขจร ขึ้นมาไม่ได้..

    คือยุคที่บรรดาทวยทหารทั้งหลาย มักถูกมองเป็น เผด็จการ เป็น ไดโนเสาร์-เต่าพันปี จนสุดท้ายต้องนำไปสู่เหตุการณ์การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองครั้งประวัติศาสตร์ หรือ เหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 นั่นเอง แต่ถ้าใครมีโอกาสได้อ่านข้อเขียน บทความ เรื่อง พุทธศาสนากับโลก ของ พันเอกแสวง เสนาณรงค์ ผู้ไม่เพียงแต่เคยเป็นนักเรียนทหารที่พเนจรร่อนเร่ ศึกษาวิชาทหารอยู่ในประเทศแถบยุโรปตะวันตก ไม่ว่าฝรั่งเศส เยอรมนี เบลเยียม อิตาลี เมื่อช่วงสงครามโลกแล้วมีโอกาสกลับมาเป็นใหญ่-เป็นโต ทั้งในกองทัพ ในฝ่ายพลเรือน เป็นผู้เคยรับใช้ใกล้ชิดผู้นำประเทศอย่างจอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ไปจนถึงจอมพล ถนอม กิตติขจร เคยผงาดขึ้นเป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในยุครัฐบาลจอมพลถนอม และเป็นหัวเรี่ยว หัวแรง สำคัญในการจัดตั้งพรรคการเมืองชื่อ สหประชาไทย ขึ้นมารองรับรัฐบาล หลังการประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับปี พ.ศ.2511 ความรู้สึกที่เคยมีต่อบรรดาทวยทหารในยุคอดีตอาจต้องเปลี่ยนแปลงไปแบบ หลังตีน เป็น หน้ามือ เอาเลยก็ไม่แน่!!!

    พูดง่ายๆ ว่า...โดยความคิด ความเห็น ของอดีตนายทหารอย่าง พันเอกแสวง เสนาณรงค์ ที่มีต่อบทบาทพระพุทธศาสนา แม้จะได้รับการ ออกตัว ไว้ก่อนล่วงหน้าว่า เป็นเพียงความพยายามทำความเข้าใจในระดับ โลกียะ ไม่ใช่ในระดับ โลกุตระ แต่ต้องถือว่าเป็นอะไรที่ลึกซึ้ง ถึงแก่น ชนิดสามารถนำมาปรับใช้กับ โลกยุคใหม่ ไม่ว่าในอดีต ปัจจุบัน หรืออนาคตเบื้องหน้าได้อย่าง เข้าท่า เอามากๆ แม้แต่โลกยุคที่มหาอำนาจคู่แข่งอย่างรัสเซียและจีน กำลังฮึ่มๆ ฮั่มๆ กับมหาอำนาจสูงสุดแห่งโลกอย่างคุณพ่ออเมริกาและพันธมิตรตะวันตก จนอาจนำไปสู่ สงครามนิวเคลียร์ เอาง่ายๆ ดังเช่นทุกวันนี้ก็เถอะ บรรดาความเคลื่อนไหว ความขัดแย้งต่างๆ นานา ที่กำลังปรากฏในทุกวันนี้ ล้วนแต่มี คำตอบ-คำอธิบาย อยู่ภายในเนื้อหา สาระ ของบทความดังกล่าว ได้อย่างแจ่มแจ้ง-ชัดเจน...

    คือสรุปง่ายๆ ว่า...ในทัศนะของ พันเอกแสวง เสนาณรงค์ ท่านมองว่าบรรดา แนวความคิดตะวันตก ไม่ว่าจะฝ่ายซ้ายหรือฝ่ายขวา ฝ่ายเรียกตัวเองว่า ประชาธิปไตยเสรี หรือ ประชาธิปไตยประชาชน (สังคมนิยม-คอมมิวนิสต์) ก็แล้วแต่ ล้วนแต่เป็นแนวคิดที่ สุดขั้ว ไปในทาง วัตถุ ด้วยกันทั้งสิ้น ต่างไปจาก แนวคิดตะวันออก ที่ให้ความสำคัญกับสิ่งที่เรียกว่า จิต โดยเฉพาะจิตที่มีพื้นฐานอยู่บนแก่นสาระศาสนาอย่าง พุทธศาสนา นั่นเอง อันจะเป็นหนทางนำไปสู่ สันติภาพ-สันติสุข ของผู้คนไม่ว่าในระดับประเทศหรือทั่วทั้งโลก ได้มากกว่า ไม่ใช่เพียงแค่ สันติภาพชั่วคราว หรือสันติภาพเพื่อเตรียมการรบใหญ่ในเวลาต่อมา ประชาธิปไตยที่ออกจะเหมาะสม สอดคล้อง กับข้อเท็จจริงดังกล่าว ท่านจึงให้คำนิยามเอาไว้ว่า ประชาธิปไตยแบบไทย มาตั้งแต่นั้น แม้จะถูกทำให้ด้อยค่า เสื่อมค่า ด้วยคำว่า ประชาธิปไตยแบบไทยๆ ในช่วงหลังๆ หรือถูกทำให้กลายเป็นระบอบการเมือง-การปกครองที่พิลึกกึกกือ เป็น ข้ออ้าง ของใครต่อใครก็แล้วแต่...

    น่าเสียดาย...ที่ความรู้-ความเข้าใจของผู้คนยุคอดีต ที่มีต่อการเมืองภายใน หรือกระทั่งการเมืองโลก สุดท้าย...กลับมิอาจป้องกันและขัดขวาง ข้อเท็จจริง แห่งความเป็นไปของโลก ที่ต้อง สวิง หรือ สุดขั้ว ไปในทาง วัตถุ อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงและปฏิเสธได้ บรรดา ความเสื่อม ไม่ว่าในทางการเมือง เศรษฐกิจและสังคม มันจึงทำให้แทบทุกสิ่งทุกอย่าง หมุนลง หรือ เจริญลง ยิ่งเข้าไปทุกที ไม่ว่าจะเป็นนักการเมือง ข้าราชการ นักธุรกิจ พลเรือนใดๆ ฯลฯ ก็แล้วแต่ กลับมีสภาพไม่ต่างอะไรไปจาก ไดโนเสาร์-เต่าพันปี เมื่อเทียบกับความคิด ความอ่าน ของอดีตนายทหารอย่าง พลเอกแสวง เสนาณรงค์ เมื่อกว่า 60 ปีที่แล้ว การมีโอกาสกลับมาทบทวน หวนคิด ถึงบรรดาผู้ลา-สละจากโลกนี้ไปแล้ว จึงก่อให้เกิดข้อคิด-สะกิดใจว่านับจากนี้ไป...อาจต้องรอให้ทุกสิ่งทุกอย่างไหลไปสู่จุดที่นำมาซึ่งอาการอย่างที่ ท่านพุทธทาสภิกขุ ท่านเคยใช้คำว่า ต้องปล่อยให้มัน เข็ดฟัน ของมันไปเอง!!! หรือต้องรอให้ วิกฤต ต่างๆ นานา มันนำไปสู่การ หมุนขึ้น หรือการเจริญเติบโตจากประสบการณ์และข้อเท็จจริงด้วยตัวของมันเอง...

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

จะมาจากแหล่งไหน....ก็ไม่สบายใจทั้งนั้น

ก่อนการเลือกตั้ง เมื่อมีการหยั่งเสียงคะแนนนิยมว่าก้าวไกลมีคะแนนชนะเพื่อไทย ความร้อนรนกลัวแพ้ บนเวทีปราศรัยของพรรคเพื่อไทยก็มีการประกาศทันทีว่าจะแจกเงินดิจิทัล

ความแตกต่างระหว่าง'มนุษย์'กับ'สัตว์เดียรัจฉาน'

คำพูด บทสนทนา ในบทละครเรื่องพระเจ้า Richard ที่ 3 ของคุณปู่ William Shakespeare ที่กลายมาเป็นคำคม เป็นวาทะ อันถูกนำไปเอ่ยอ้างคราวแล้ว คราวเล่า คือคำพูดประโยคที่ว่า

ประวัติศาสตร์สีกากี

ต้องบันทึกเป็นประวัติศาสตร์อีกหน้าของ "กรมปทุมวัน" ที่มีการเซ็นคำสั่งให้ นายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ระดับ "รอง ผบ.ตร." ออกจากราชการไว้ก่อน ผลพวงจากการต้องคดีฟอกเงินเว็บพนันออนไลน์

สุขสันต์วันเกิดเมืองยาวหนึ่งปี

ดวงชะตาเมืองรัตนโกสินทร์ที่ถือกำเนิดจากพิธีวางเสาหลักเมือง หรือพระราชพิธีพระนครฐาน สมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัช

ยโสโอหังไม่ฟังใคร ไม่สนใจกระแส...คิดว่าแจงได้

อ่อนอกอ่อนใจจริงๆ กับสถานการณ์บ้านเมืองเวลานี้ ตั้งแต่ถ้อยคำ วาจา ท่าที ลีลาการหาเสียงของคนที่ถูกวางตัวว่าวันหนึ่งจะได้เป็นผู้นำประเทศ ตะโกนด้วยสุ้มเสียงมั่นอกมั่นใจในสิ่งที่พูด ท