'สติ'กับสังคมที่ไร้บังเหียน

    สำหรับ ม้า นั้น...ยังจำต้องมี บังเหียน ที่พอช่วยควบคุมให้เกิดอาการเอี้ยวซ้าย เอี้ยวขวา เดินหน้า ถอยหลัง หรืออยู่กับที่ ไปตามความปรารถนา-ความต้องการของผู้ที่ขับขี่ ยิ่งถ้าหากเป็น ช้าง ด้วยแล้ว ถึงขั้นต้องใช้ ขอสับ เอาเลยถึงขั้นนั้น!!! ไม่ต่างไปจากคนหรือสรรพสัตว์ใดๆ ก็ตาม อย่างน้อย...คงต้องมีอะไรคอยฉุด คอยรั้ง เอาไว้มั่ง ถึงพอเกิดขีดความสามารถในอันที่ดำเนินเจริญรอยไปตามวัตถุประสงค์-จุดมุ่งหมาย ไม่ว่าที่ตัวเองตั้งเป้าเอาไว้ หรือผู้อื่นตั้งให้...

    เหตุที่ต้องหยิบเอาเรื่องช้าง เรื่องม้า มาเกริ่นนำไว้ ณ ที่นี้...ก็คงไม่ถึงกับมีอะไรมากมายหรอกทั่น!!! เพียงแต่หลังๆ นี้ จะโดย อารมณ์-ความรู้สึก หรือโดย สัญชาตญาณ ก็แล้วแต่

ทำให้คิดๆ ขึ้นมาว่า สิ่งที่ออกจะ ขาดหาย ไปจากบ้าน จากเมือง จากสภาพสังคมโดยทั่วไป ก็คืออะไรก็แล้วแต่ ที่อาจพอช่วยถ่วงๆ รั้งๆ ไม่ให้เกิดการหมุนเหวี่ยง การไหลเตลิดเปิดเปิงไปในด้านหนึ่ง-ด้านใด จนควบคุมแทบไม่ได้ หรือแทบไม่เหลือ สติ ติดปลายนวมเอาไว้เลยแม้แต่น้อย เพราะแม้จะเหลือ สตังค์ อยู่เพียงใดก็เถอะ หรือแม้ว่าข้าว-ปลา-อาหารจะยังอุดมสมบูรณ์ จะเป็นสถานที่น่าเที่ยวอันดับ 1 ของโลก เป็นแหล่งดึงดูดให้ใครต่อใครต้องกรูมายังไทยแลนด์ แดนสยาม ชนิดหัวกระไดไม่แห้ง แต่ถ้าหากทุกสิ่งทุกอย่างมันดันเหวี่ยงไป-เหวี่ยงมา แบบไร้ทิศ-ไร้ทาง ไม่ว่าแขก หรือเจ้าของบ้าน ย่อมมีแต่ต้องปวดหัว เวียนเฮดไปเป็นแถบๆ อย่างมิอาจปฏิเสธใดๆ ได้เลย...

    จะเป็นเพราะเครื่องมือ-เครื่องใช้ ความก้าวหน้า-ก้าวไกลทางเทคโนโลยี อิเล็กทรอนิกส์ หรือไม่? อย่างไร? ก็มิอาจสรุปได้ ที่ดลบันดาลให้ทวยไทยทั้งหลาย มีแต่ต้อง ไหล ไปทางใด-ทางหนึ่งอย่างมิอาจหลีกเลี่ยงยิ่งเข้าไปทุกที คือถ้าหากไม่คิดจะเป็น ฝ่ายเรา ก็อาจต้องกลายเป็น ฝ่ายมัน ไม่งั้น...ก็แทบไม่เหลือโอกาสที่จะได้รับความอบอุ่น ได้มีเพื่อนฝูง มิตรสหาย ตามประสา สัตว์สังคม ที่มักอยู่ตัวคนเดียวไม่ค่อยจะได้ ด้วยความหวาดกลัวต่อความโดดเดี่ยว โฮมอโลน หรือกลัวต้องปอกกล้วยเปลี่ยวในบ้านร้างอยู่ตามลำพัง ฯลฯ หรือไม่? อย่างไร? ก็ยากจะอธิบาย เลยทำให้การไหลไปสู่ด้านใด-ด้านหนึ่งการแยกตัวเองออกไปเป็น ฝ่ายมึง และ ฝ่ายกู จึงเป็นอะไรที่แทบถือเป็น กระแสหลัก ของสังคมไปแล้วก็ว่าได้...

    อันนี้นี่แหละ...ที่ออกจะ อันตราย เป็นอย่างยิ่ง!!! หรือเป็นตัวสะท้อนให้เห็นถึงการขาดหายของสิ่งที่เรียกว่า สติ อันเป็นสิ่งที่สำคัญเอามากๆ สำหรับบรรดามนุษย์-มนาทั้งหลาย ไม่น้อยไปกว่าบังเหียนสำหรับม้า หรือขอสับสำหรับช้าง อะไรทำนองนั้น เพราะถ้าหากไม่มีสิ่งที่คอยหน่วง คอยรั้ง ใดๆ เอาไว้เลย โอกาสที่ ความรัก จะกลายสภาพไปเป็น ความหลง ชนิดที่อาจมองข้าม ความจริง แม้จะอยู่ต่อหน้า-ต่อตาก็ตาม ย่อมมีสิทธิเป็นไปได้ไม่ยาก แถมยังอาจเป็นตัวเร่ง ตัวกระตุ้น ทำให้ความไม่ชอบใจ ไม่ถูกใจ โดยทั่วๆ ไปต้องกลายสภาพเป็น ความเกลียด เป็นความโมโห โกรธา เคียดแค้น อาฆาต พยาบาท ริษยาและชิงชัง ทั้งที่ไม่น่าจะเป็นอะไรไปได้ถึงขั้นนั้น!!!

                                                                              (5)

    ดังนั้น...ถึงจะเก่งกล้า สามารถ ร่ำรวย มั่งคั่ง มีเงิน-มีทอง มีญาติ มิตร เพื่อนฝูง บริวาร ชนิดอุ่นแล้วอุ่นอีก หรืออุ่นจนร้อนเอาเลยก็ตามที แต่ถ้าลองไม่เหลือสิ่งที่เรียกว่า สติ ซะอย่าง ไม่ว่าจะชักม้า หรือไสช้าง ไปทางไหน โอกาสที่จะเตลิดเปิดเปิง เข้ารก-เข้าพง มองหาทางออก-ทางไปแทบไม่เจอ ย่อมมีสิทธิเป็นไปได้ยิ่งขึ้นไปเท่านั้น สิ่งที่เรียกว่า สติ จึงมีความสำคัญเอามากๆ เผลอๆ อาจสำคัญเหนือไปกว่าสิ่งอื่น-สิ่งใดอีกเยอะแยะมากมาย เพราะแม้แต่ ล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ 9 ขณะยังทรงพระชนม์ชีพอยู่ ท่านยังทรงเพียรพยายามย้ำแล้ว-ย้ำอีก ถึงความสำคัญของสิ่งที่ว่านี้ จนแทบถือเป็นพื้นฐานของ ธรรมะ ทุกๆ ชนิด หรือของ ทศพิธราชธรรม เอาเลยก็ว่าได้...

    และด้วยเพราะสิ่งที่เรียกว่า สติ นี่เอง...ที่ดลบันดาลให้เกิด ทางสายกลาง เกิดการ ไม่ตึงไป-ไม่หย่อนไป ไม่สุดโต่งไปในด้านหนึ่ง-ด้านใด หรือเกิด มัชฌิมาปฏิปทา ขึ้นมาในแก่นสาระแห่งพุทธศาสนาของบรรดาเราๆ-ทั่นๆ ขึ้นมาจนได้ หลังจากที่ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านทรงทดลอง ทรงค้นคว้า ด้วยพระองค์เอง จนเกิดพระพุทธรูปปางทรมานกายระหว่างบำเพ็ญทุกรกิริยา ให้เห็นเป็นหลักฐานอยู่ตราบเท่าทุกวันนี้ การควบคุมความสุดโต่ง ไม่ให้ตัวเองต้องไหลไปทางด้านหนึ่ง-ด้านใดจนเกินไป ไม่พยายามแยกตัวเองออกไปเป็นฝ่ายมัน-ฝ่ายเรา หรือฝ่ายมึง-ฝ่ายกู โดยอาศัยสิ่งที่เรียกว่า สติ นี่แหละเป็นตัวควบคุม บังคับ ในทุกเรื่อง ทุกราว ทุกๆ กรณี มันถึงจะพอช่วยลดๆ อันตราย ที่รอคอยอยู่เบื้องหน้าได้มั่ง...

    ด้วยเหตุนี้...ก็เลยต้องขออนุญาตส่งความรัก ความปรารถนาดี มายังเพื่อนฝูง มิตรสหาย ตลอดไปจนเพื่อนผู้ร่วมวัฏสงสาร ไม่ว่าฝ่ายมัน-ฝ่ายเรา หรือฝ่ายมึงและฝ่ายกู ให้จงได้หมั่นพยายาม พกสติ ติดปลายนวมเอาไว้เสมอๆ เพราะอย่างที่ว่าเอาไว้แล้วนั่นแหละว่า ไม่ว่าโดย อารมณ์-ความรู้สึก หรือโดย สัญชาตญาณ ก็ตามที แนวโน้มที่ อันตราย มันจะอุบัติขึ้นมาในบ้านนี้ เมืองนี้ เลยทำให้แม้จะ โชคดีที่ตายก่อน แต่ก็ยังอดที่จะรู้สึกเป็นห่วง เป็นใย ขึ้นมามิได้...

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ยโสโอหังไม่ฟังใคร ไม่สนใจกระแส...คิดว่าแจงได้

อ่อนอกอ่อนใจจริงๆ กับสถานการณ์บ้านเมืองเวลานี้ ตั้งแต่ถ้อยคำ วาจา ท่าที ลีลาการหาเสียงของคนที่ถูกวางตัวว่าวันหนึ่งจะได้เป็นผู้นำประเทศ ตะโกนด้วยสุ้มเสียงมั่นอกมั่นใจในสิ่งที่พูด ท

สูตรแต่งตั้งตำรวจ

กว่าจะเคาะ กว่าจะคลอด ก็นั่งนับนิ้วกันแทบหงิก เพราะ 180 วัน ตามเงื่อนไขการบังคับใช้กฎ ก.ตร.ว่าด้วยการแต่งตั้งข้าราชการตำรวจ พ.ศ. 2567

ฤาประเทศไทยจะไร้สีสวย มีแต่สีแสบ

ประเทศไทยอยู่ในสภาพความขัดแย้งระหว่างสีเสื้อมาเกือบ 2 ทศวรรษแล้ว แม้เวลานี้เราจะมีรัฐบาลผสมแบบข้ามขั้ว แต่เราก็ยังไม่เห็นบรรยากาศของความปรองดองเกิดขึ้นอย่างแท้จริง

โลกที่'อันตราย'กับภารกิจของ'คนรุ่นใหม่'

เห็นข่าวเรื่อง ดร. ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ นักวิชาการด้านทะเลและสิ่งแวดล้อม อาจารย์ภาควิทยาศาสตร์ทางทะเล มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ท่านออกมาโพสต์